บทที่ 22 ข้ามีเรื่องจะถาม
บทที่ 22 ข้ามีเรื่องจะถาม
การอบรมเด็กใหม่เริ่มต้นอย่างเป็นทางการวันที่ 1 เดือน 7 ตอนนี้เป็นเวลาสิบโมงครึ่งของเช้าวันที่ 4 เดือน 7 คำนวณดูแล้ว เท่ากับว่าสือเสี่ยวไป๋หนีการอบรมเป็นเวลาสามวันแล้ว วันที่สี่ก็สายถึงสองชั่วโมงครึ่ง หลีจื่อจงใจเน้นย้ำในจดหมายว่าไม่ให้สายและไม่ให้หนีการอบรม คิดไม่ถึงว่าการเข้าฌานลึกของสือเสี่ยวไป๋หนึ่งครั้งจะทำให้ฝ่ากฏทั้งสองข้อ
ตอนนี้ภารกิจเร่งด่วนคงจะเป็นรีบไปที่สถานที่ฝึกอบรม ไปอธิบายกับครูผู้ฝึกที่นิสัยแปลกๆ คนนั้นถึงเหตุผลที่ทำผิดกฏ แต่ดูเหมือนว่าสือเสี่ยวไป๋จะไม่รีบร้อน เขาค่อยๆ หากระเป๋าเป้ในห้องช้าๆ เติมขนมและน้ำดื่มลงกระเป๋าไม่หยุด ถึงขนาดที่คิดอย่างถี่ถ้วนว่าจะนำขนมอะไรติดตัวไปบ้าง
“สายนาทีนึงก็คือสาย สายสองสามชั่วโมงก็คือสาย ข้าจะรีบร้อนไปทำไม?”
สือเสี่ยวไป๋คิดเช่นนี้ เดินออกจากห้องพักอย่างไม่รีบร้อน ไม่นานก็ถึงถนนสาธารณะ สือเสี่ยวไป๋จำได้ว่าตอนที่หลีจื่อแนะนำไอรอนทาวน์ได้พูดหลายรอบว่า สถานที่อบรมเด็กใหม่นั้นอยู่ทางใต้ของอาณาเขตผู้ทำลาย ซึ่งก็คือทางใต้ของไอรอนทาวน์
แต่ว่า ทางใต้นี่มันทางไหนล่ะเนี่ย?
สือเสี่ยวไป๋มองทางแยกตรงหน้า แล้วก็หยุดโดยไม่ได้ตั้งใจ เขายืนตรงทางแยกอยู่นานมาก ในที่สุดก็มีคนเดินผ่านมา เขารีบเร่งรุดไปข้างหน้าเพื่อหยุดเขาไว้ และถามให้แน่ชัดว่าทางไหนคือทางใต้แล้วค่อยเริ่มเดินไปตามถนนของไอรอนทาวน์ ทว่าทุกครั้งที่สือเสี่ยวไป๋เจอทางแยกเขาจะหยุดคอยอย่างอดทน รอให้มีคนเดินผ่านมาและถามให้ชัดอีกครั้งถึงจะเดินต่อ
เดินๆ หยุดๆ ตลอดทาง ในที่สุดสือเสี่ยวไป๋ก็มาถึงประตูเหล็กบานใหญ่ ณ ใต้สุดของไอรอนทาวน์
“นี่คือประตูทักษิณไกอาสู่มิติมายา!”
สือเสี่ยวไป๋มองประตูไอรอนทาวน์ก็อุทานอย่างชื่นชม หันตัวเดินไปทางยามหน้ามึนหน้าประตู หมายจะถามตำแหน่งของสถานที่อบรมเด็กใหม่
ระยะห่างระหว่างสถานที่อบรมเด็กใหม่ถึงประตูทิศใต้ถือว่าใกล้ ยามบอกทางไปกับสือเสี่ยวไป๋อย่างสุภาพ สือเสี่ยวไป๋พยักหน้าขอบคุณ เดินตามทางที่ยามบอกต่อไป
แต่ว่าหลังจากเลี้ยวมาสามโค้ง…
“อื้ม ลุงยามหน้าประตูมิติมายาบอกว่าทางแยกที่สี่ ให้เลี้ยวซ้าย หรือว่าเลี้ยวขวานะ?”
สือเสี่ยวไป๋นิ่งคิดไปสามวิ ก็ตัดสินใจหยุดการคิดทบทวนที่แสนจะทรมานนี้ แล้วหยุดที่ทางแยกนั้นเฝ้าตอรอกระต่าย[1]
เวลานี้ก็เป็นเวลาเที่ยงแล้ว แสงแดดร้อนแรง สือเสี่ยวไป๋ยืนอยู่สักพักก็เริ่มทนไม่ไหว หมุนดูหน้าหลังซ้ายขวา เห็นห้องเหล็กเตี้ยๆ อยู่ไกลๆ ลักษณะเหมือนโกดังเก็บของ สือเสี่ยวไป๋ก็เลยรีบรุดไปหลบแดดตรงนั้น
ในขณะที่เดิน หูก็บังเอิญได้ยินเสียงชนดังขึ้น เป็นเหมือนเสียงวัตถุบางอย่างกระแทกกับเหล็ก แต่เพราะว่าอยู่ไกลเกินไป เสียงนั้นจึงเบามาก เบาซะจนเกือบจะไม่ได้ยิน
สือเสี่ยวไป๋เงี่ยหูฟัง คล้ายกับว่าเสียงกระแทกนั้นดังมาจากอีกฝั่งของห้องเหล็ก เขาเดินไปข้างหน้า ยิ่งเข้าใกล้ห้องเหล็ก เสียงนั้นก็ยิ่งดังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เดินถึงด้านข้างของห้องเหล็กเสียงกระแทกนั้นก็ยิ่งดังกึกก้อง
“ตึง! ตึง! ตึง!”
สือเสี่ยวไป๋เดินไปทางด้านหลังของห้องเหล็กทีละก้าวๆ เขาฟังเสียงกระแทกที่ลอยเข้าหู เหมือนเสียงค้อนหนักๆ กำลังทุบกำแพงเหล็กไม่หยุด เมื่อเดินเกือบจะถึงหัวมุม ก็คล้ายกับยินเสียงหอบหายใจหนักหน่วง
“แฮก! แฮก! แฮก!”
เสียงหอบหายใจนั้นราวกับลมพัดรุนแรงบนยอดเขา ให้ความรู้สึกเหมือนมีพลังทำลายล้างรุนแรง ทำให้สือเสี่ยวไป๋เดินช้าลงและหายใจก็ช้าลงอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ใกล้แล้ว ใกล้แล้ว ในที่สุดสือเสี่ยวไป๋ก็เดินมาถึงมุมของห้องเหล็ก เขาหยุดอยู่ตรงนั้นเพียงไม่กี่วิก็เดินต่อไปช้าๆ เอียงตัวน้อยๆ หันหน้าไปมอง แค่แวบเดียวก็มองทั่วด้านหลังของห้องเหล็ก
พบเพียงชายคนหนึ่งยืนอยู่ที่จุดตัดของแสงและเงา กล้ามเนื้อแน่นบนแผ่นหลังเปลือยเปล่ากลางแสงแดงของชายคนนั้นทำให้คนตะลึงจนอ้าปากค้าง ส่วนร่างกายด้านหน้าที่ซ่อนอยู่ในเงาให้ความรู้สึกเหมือนจะระเบิดออกมา ขณะนี้ชายคนนั้นกำลังทุบกำแพงห้องเหล็กด้วยหมัดแล้วหมัดเล่า จมูกพ่นเสียงหอบหายใจราวสัตว์ป่าดุร้าย
และสิ่งที่น่าตกใจคือ หมัดนั้นถึงแม้จะมีเสียงกระแทกกำแพงเหล็กอย่างดังและรุนแรง แต่สือเสี่ยวไป๋เห็นชัดๆว่า ทุกหมัดนั่นจะหยุดอยู่ห่างจากกำแพงราวสิบเซนติเมตร ไม่โดนกำแพงเลยสักนิด!
เมื่อมองอย่างละเอียด เมื่อหมัดนั้นถึงจุดสุดท้าย แสงสีขาวเป็นลูกคลื่นกลมปล่อยออกมาจากหมัด กระจายจากกำปั้นไปที่กำแพงหนึ่งระลอก เมื่อแสงลูกคลื่นนั้นกระแทกเข้ากับกำแพง ก็จะเกิดเสียงดังขึ้นพร้อมทั้งเกิดรอยร้าวบุ๋มที่กำแพงเหล็ก
“นี่มัน…”
สือเสี่ยวไป๋กลืนน้ำลายอึกใหญ่ ในดวงตามีแสงสว่างลุกโชน เขาจ้องไม่กะพริบ เขาสลักทุกหมัดของชายนักกล้ามไว้ในสมอง แล้วเขาก็เริ่มเลียนแบบท่าทางของชายนักกล้ามขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว แม้ว่าการเลียนแบบจะดูตลกน่าหัวเราะมากก็ตาม
ชายนักกล้ามชกไปกี่สิบหมัด สือเสี่ยวไป๋ก็ชกออกไปกี่สิบหมัดเช่นกัน ทั้งสองคนเทียบกันแล้วแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด คนหนึ่งราวสัตว์ป่าดุร้ายทุกหมัดสะท้านกำแพงให้สั่นไหว อีกคนแขนขาดูไร้เรี่ยวแรงอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่ชก แม้แต่ลมน้อยๆ ยังไม่มี
“ฮู่ว!”
เหมือนว่าชายนักกล้ามจะเหนื่อยเสียแล้ว ในที่สุดก็เก็บหมัดยืนนิ่ง เขาหายใจเข้าออกลึกๆ หลายครั้ง ถึงได้หันมองมาทางสือเสี่ยวไป๋ ขณะนั้นสือเสี่ยวไป๋ก็เก็บหมัดมองไปทางชายนักกล้ามเช่นกัน
ภาพที่สะท้อนเข้ารูม่านตาสือเสี่ยวไป๋ คือใบหน้าที่ใช้คำบรรยายว่า “ดุดันเป็นบ้า” ก็ไม่ถือว่าเกินไป ผมสั้นสีดำที่ถูกโกนออกไปแล้วรอบหนึ่ง ตรงกลางมีผมสีเหลืองตั้งคล้ายหงอนไก่ นัยต์ตาทั้งคู่เปี่ยมไปด้วยเปลวไฟร้อนระอุ รอยแผลเป็นยาวจากหน้าผากขวางยาวจรดตาขวา หนวดเขี้ยวยุ่งเหยิง คางสองชั้นนูนขึ้นอย่างชัดเจนขับเน้นความน่ากลัวอย่างแปลกประหลาดของใบหน้า
สือเสี่ยวไป๋สูงเพียงหน้าอกของชายนักกล้ามเท่านั้น เวลาที่ทั้งสองเผชิญหน้ากันสือเสี่ยวไป๋ดูเหมือนต้นกล้าเล็กๆ ต่อหน้าภูผาลูกใหญ่
“มีอะไร?”
เสียงทุ้มแหบทรงพลังหอบเล็กน้อยถูกส่งออกมาจากปากของชายนักกล้าม ราวกับเสียงคำรามต่ำของสัตว์ป่า เผยความรุนแรงที่ไม่อาจทนทานได้
ในใจสือเสี่ยวไป๋ผุดความคิดที่ไม่อาจปฎิเสธได้วูบหนึ่ง ‘ผู้ชายคนนี้สามารถล้มเขาได้ในหมัดเดียว หรือกระทั่งชกเขาตายได้ในหมัดเดียวเช่นกัน’
นี่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ห้ามไปยั่วโมโหเด็ดขาดอย่างที่หลีจื่อเคยบอกไว้! ถ้าหากตอนนี้เขาอาจหาญแทนตัวเองว่า “ข้า” หรือพูดจาโอ้อวดยกตน ชายคนนี้จะใช้หมัดที่สามารถเขย่ากำแพงนั่นทุบหัวเขาอย่างไร้ความปราณี!
สือเสี่ยวไป๋เข้าใจสถานการณ์ของตัวเองในชั่วพริบตา ทางที่ดีเขาในตอนนี้ควรจะถ่อมตนไม่ลำพอง ไม่โอ้อวด
“ข้ามีเรื่องจะถาม”
ทว่าจิตใจของเขาฮึกเหิม ถึงขนาดที่คำพูดวางมาดโอหังยังคงพ่นออกจากปากของสือเสี่ยวไป๋ ไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย ไม่ลังเลเลยสักนิด
เพียงแต่เมื่อสิ้นเสียงลง ราวกับว่าแม้แต่เสียงลมก็หยุดพัดโชยในเวลานี้ แสงด้านหลังห้องเหล็กก็ดูสันติ
ชายนักกล้ามคิ้วขมวดเล็กน้อย คล้ายกับกำลังพิจารณาคำของสือเสี่ยวไป๋ หรือไม่ก็กำลังพิจารณาว่าจะปล่อยหมัดออกไปเมื่อไหร่ดี
สือเสี่ยวไป๋ยืดอก แหงนหน้าจ้องตากับชายนักกล้าม ในดวงตาไม่มีความหยิ่งผยอง ไม่มีความหวาดกลัว ไม่มีแม้แต่อารมณ์ความรู้สึก
มีเพียงความนิ่งสงบเป็นธรรมชาติ ราวกับว่าโบกมือทักทายธรรมดา
“ข้ามีเรื่องจะถาม” สือเสี่ยวไป๋พูดซ้ำอีกครั้ง
สือเสี่ยวไป๋ไม่เลือกถ่อมตนเพื่อเผชิญหน้ากับ ชายนักกล้าม “ดุร้าย” ไม่ใช่เพราะอยากอวดเบ่งจึงอวดดี แต่เป็นเพราะ นี่คือเขา นี่แหละคือสือเสี่ยวไป๋ หากถามว่าทำไมถึงทำแบบนี้? เพราะว่าไม่มีคำว่าทำไม!
แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะด้วยเหตุใด ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ เพราะชายนักกล้ามกำลังค่อยๆ ยกหมัดแข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้นขึ้นมา
[1] เฝ้าตอรอกระต่าย สุภาษิตจีน แปลว่า นั่งรอคอยผลประโยชน์จากโอกาสอำนวยโดยไม่ยอมลงทุนทำอะไร