บทที่ 20(1-2) ท่านอาจารย์หนอ ท่านอาจารย์!
บทที่ 20(1-2) ท่านอาจารย์หนอ ท่านอาจารย์!
ทุกวันหลังยามอู่[1]ช่วงที่แสงอาทิตย์แผดเผาร้อนแรงที่สุดนั้น เถี่ยซินหยวนจะนำน้ำผลไม้ที่ตนทำเองกับมือ เดินอ้อมแม่น้ำชิงเหลียงข้ามสะพานทงเทียนทางซ้ายของประตูซีสุ่ย เข้าไปในคฤหาสน์หลังหนึ่งที่ถูกปล่อยรกร้างว่างเปล่า
คฤหาสน์หลังนี้ใหญ่โตนัก เพียงแค่สิงโตหินขนาดมหึมาสองตัวตรงหน้าประตู ก็มากพอจะอธิบายฐานะเจ้าของคฤหาสน์ได้กระจ่างแล้ว
เพียงช่วงเวลายาวนานร่วมสิบปีที่ไม่มีคนอยู่อาศัย สถานที่แห่งนี้ก็ค่อยๆ มีหญ้าขึ้นจนรกเรื้อไปหมด
ท่ามกลางต้นไม้ใบหญ้าที่ไร้คนเหลียวแลในคฤหาสน์ มักมีสัตว์ตัวเล็กๆ จำพวกจิ้งจอกเข้ามาป้วนเปี้ยนในนั้น บนคานไม้ใหญ่มีใยแมงมุมอยู่ยุบยับไปหมด กระทั่งเห็นได้ชัดเจนว่ามีแมงมุมตัวใหญ่อวบอ้วนกำลังเดินไต่ไปมาอยู่บนใยของมัน
ในอดีตสถานที่แห่งนี้เคยเป็นจวนที่พักของอัครเสนาบดีจ้าวผู่[2] ต่อมาเมื่อตระกูลของท่านอัครเสนาบดีผู้ยึดถือหลักการของคัมภีร์หลุนอวี่ปกครองบ้านเมืองตกต่ำลง คฤหาสน์หลังงามก็ว่างเปล่าไร้ผู้อยู่อาศัยมาตลอด
ดูเหมือนไม่ว่าจะเป็นฮ่องเต้องค์ก่อนหรือฮ่องเต้องค์ปัจจุบันต่างลืมเลือนไปสิ้นแล้ว จึงปล่อยให้คฤหาสน์หรูหราโอ่อ่าโดนลมพัดฝนซัดสาดจนกลายเป็นคฤหาสน์ร้าง
เจ้าจิ้งจอกวิ่งได้รวดเร็วว่องไว ขอเพียงมันมุดเข้าไปในพงหญ้า ฝูงนกทั้งหลายจะพากันบินออกมา ส่งเสียงเจื้อยแจ้วให้วุ่นวายไปหมดด้วยความตกใจ
มีนกบางตัวไม่ทันระวังบินเข้าไปในตัวบ้าน ปีกกระพือดังพึ่บพั่บพัดให้ฝุ่นละอองบนคานไม้ฟุ้งกระจายไปในอากาศ
ทุกครั้งเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เถี่ยซินหยวนก็จะหิ้วตะกร้าใบเล็กมายืนยิ้มอย่างขบขันตรงหน้าเรือนเก่าๆ ที่ยังอยู่ในสภาพดีหลังหนึ่ง เพื่อรอคอยให้ใครบางคนที่อยู่ข้างในเดินออกมา
ลูกไม้นี้ใช้ได้ผลดียิ่ง เพียงไม่นานข้างในก็มีเสียงไอค่อกแค่กดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ชายคนหนึ่งที่หน้าตามอมแมมจากฝุ่นละอองส่งเสียงด่าทอแล้วเดินออกมาข้างนอก
เถี่ยซินหยวนจัดเสื้อผ้าของตนให้เรียบร้อย แล้วคารวะชายตรงหน้าอย่างนอบน้อม “ศิษย์น้อมคารวะอาจารย์”
หลังจากชายคนดังกล่าวหยุดส่งเสียงไอแล้ว ก็จะเอนกายนอนบนเตียงเก่าๆ นุ่มนิ่มด้วยความเคยชิน โดยไม่เหลียวแลเถี่ยซินหยวนเลยแม้แต่น้อย
เถี่ยซินหยวนก็ไม่ใส่ใจอากัปกิริยาของชายผู้นี้ เขาหยิบผ้าขี้ริ้วผืนหนึ่งออกมา เช็ดโต๊ะหินที่ตั้งอยู่หน้าเตียงหลังนี้อย่างแข็งขันจนสะอาดเอี่ยมแล้วใช้น้ำสะอาดล้างลวกๆ จากนั้นถึงเปิดฝากล่องอาหาร หยิบเนื้อหมูพะโล้กับผัดหูหมูออกมาอย่างละหนึ่งจาน พร้อมด้วยผักน้ำมันคลุกเคล้าน้ำส้มสายชูส่งกลิ่นหอมฉุย และซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานหลายชิ้น ตบท้ายด้วยการหยิบผ้าที่ห่อน้ำผลไม้เอาไว้อย่างดีมาวางบนโต๊ะ
น้ำผลไม้ในวันนี้ก็คือน้ำแตงโม ซึ่งเถี่ยซินหยวนสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงมากมายกว่าจะคั้นออกมาได้ เขาเติมน้ำตาลกรวดลงไป จากนั้นนำไปแช่เย็นในกองน้ำแข็ง[3]ประมาณครึ่งชั่วยาม เวลานี้ถึงนำออกมาดื่มช่วยให้รู้สึกสดชื่นเป็นอย่างยิ่ง
ชายตรงหน้ายังไม่เหลียวแลเถี่ยซินหยวนเช่นเดิม หลังจากถลึงตามองเขาอย่างดุร้ายครั้งหนึ่ง ก็เอาหน้าหันซุกด้านในรวมถึงพลิกตัวไปอีกทางด้วย
ในที่สุดเถี่ยซินหยวนก็นำข้าวสวยขาวๆ เป็นเงาวาววับชามใหญ่ออกมา ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “อาจารย์ลองชิมดู นี่เป็นอาหารที่ท่านแม่ของข้าตั้งใจเตรียมให้ท่าน เนื้อหมูพะโล้เป็นเนื้อชั้นดีจากขาหลังของหมู ใช้เวลาต้มนานกว่าสี่ชั่วยาม รสชาติอร่อยล้ำเลิศนัก
ส่วนซี่โครงหมูยิ่งดีเยี่ยมเพราะใช้แค่ซี่โครงอ่อน ท่านแม่ยังราดน้ำผึ้งก่อนนำไปทอดในน้ำมันสองครั้ง สุดท้ายถึงเติมน้ำจิ้มลงไปแล้วผัดจนมีรสชาติเปรี้ยวอมหวาน วิธีผัดซี่โครงหมูเช่นนี้เป็นสูตรลับเฉพาะของตระกูลเถี่ยที่ไม่เคยเปิดเผยที่ใด ถ้าหากอาจารย์ไม่ยอมชิมดู คงน่าเสียดายมากนัก”
ชายที่เถี่ยซินหยวนพยายามโน้มน้าวใจลุกขึ้นนั่ง เหลือบมองอาหารเลิศรสตรงหน้าแล้วกลืนน้ำลายลงไปหลายอึกใหญ่ พออยากจะยื่นมือไปจับตะเกียบ ก็หันไปมองใบหน้ายิ้มแย้มของเถี่ยซินหยวนโดยไม่ทันระวัง เขาถึงกับต้องจับศีรษะของเด็กชายให้หันไปทางอื่นด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ตั้งแต่มาเจอไอ้ลูกเต่าอย่างเจ้า ตาเฒ่าอย่างข้าก็ไม่เคยได้อยู่อย่างสงบสุขเลย เจ้ามาเอะอะโวยวายที่นี่ได้ทุกวี่ทุกวัน อย่านึกนะว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าต้องการอะไร”
เถี่ยซินหยวนที่หันมองอีกทางอยู่เอ่ยยิ้มๆ ว่า “อาจารย์ต้องเปื้อนฝุ่น ศิษย์ทนดูไม่ได้จริงๆ นะขอรับ แค่เพียงความพ่ายแพ้ครั้งหนึ่ง มิได้สร้างความเสียหายร้ายแรงกับต้าซ่งของเรา เหตุใดอาจารย์ต้องนำมาใส่ใจด้วย
ถึงกับปลีกวิเวกมานั่งกลัดกลุ้มอยู่ในบ้านร้างเพียงลำพัง”
ชายผู้นี้กินซี่โครงหมูไปคำหนึ่ง เขาหลับตาลงเพื่อลิ้มรสชาติอาหารอย่างดื่มด่ำ ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงเอ่ยขึ้นว่า “อดชมเชยสักประโยคไม่ได้จริงๆ มารดาเจ้าฝีมือดีเยี่ยม”
เถี่ยซินหยวนยิ้มแล้วเอ่ยว่า “แน่นอนขอรับ ท่านแม่อาศัยฝีมืออันยอดเยี่ยมเลี้ยงดูเถี่ยซินหยวนมาจนโตขนาดนี้ อีกทั้งไม่เคยต้องกังวลเรื่องความเป็นอยู่เรื่องใดเลย ส่วนการขายเนื้อหมูพะโล้นั้น ท่านแม่นับว่าเป็นอันดับหนึ่งในเมืองหลวง”
ชายตรงหน้าปรายตามองเถี่ยซินหยวนแล้วเอ่ยด้วยความหดหู่ว่า “นางตัดสินใจเด็ดเดี่ยวยอมครองตนเป็นหม้ายเพื่อบิดาเจ้า เรื่องนี้ทำให้ข้ารู้สึกนับถือมากทีเดียว มีสิ่งเดียวที่ข้ารู้สึกไม่พอใจก็คือหญิงที่มีคุณธรรมเพียบพร้อม[4]ทุกด้านอย่างนาง เหตุใดถึงคลอดบุตรชายที่เจ้าเล่ห์ปานจิ้งจอกออกมาได้?”
เถี่ยซินหยวนเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เรื่องนี้คงตำหนิท่านแม่ไม่ได้ เพราะว่าเพื่อนเล่นในวัยเด็กของศิษย์มีเพียงจิ้งจอกตัวนี้เท่านั้น ผ่านไปนานวันเข้าจึงติดนิสัยจิ้งจอกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ข้าถึงต้องเชิญอาจารย์ชี้แนะหนทางแก้ไข เพื่อมิให้วันหน้าข้าเจอธาตุไฟเข้าแทรกจนทำเรื่องเลวร้ายผิดหลักคุณธรรม”
ชายผู้นี้ยกขวดน้ำแตงโมขึ้นดื่มอึกใหญ่ จากนั้นก็พ่นควันสีขาวออกมาอย่างสบายอารมณ์ ตามด้วยคีบเนื้อหมูอีกหลายชิ้นเข้าปาก เขาเผยรอยยิ้มออกมาพร้อมเอ่ยว่า “ทุกวันนี้ข้าผู้คนออกห่าง ญาติมิตรหลีกหนี[5]แม้ว่าศึกหาวสุ่ยชวน[6]หานฉี[7]จะเป็นผู้เปิดศึก ส่วนข้าในฐานะผู้คุมเสบียงกองทัพจากเหอตงยากจะหนีความรับผิดชอบได้
ยอดทหารกล้าของต้าซ่งกว่าหกหมื่นนายต้องตายในสมรภูมิ แม้กระทั่งแม่ทัพผู้ห้าวหาญเช่นเหรินฝู[8]ก็ยืนพลีชีพอย่างเดียวดายกลางสมรภูมิเช่นนั้น เมื่อหานฉีกลับถึงบ้านเดิม ชาวบ้านมากมายเข้ามาดึงรั้งหัวม้าของเขาเอาไว้ เฝ้าถามว่าบุตรชายของพวกเขาอยู่ที่ใด? หานฉีละอายแก่ใจจนกระอักโลหิตสลบไป
หานฉีเพียงผู้เดียวไม่มากพอจะแบกรับไว้ได้ ความผิดร้ายแรงเช่นนี้ข้าไม่รับจะให้ใครมารับแทนเล่า? ถ้าหากวันพรุ่งนี้ประกาศเรียกชื่อข้าขึ้นมา ก็คงเป็นวันที่ศีรษะของข้าต้องหลุดจากบ่า เจ้าหนู...นี่เจ้าไม่กลัวว่าสิ่งที่ทุ่มเทมาทั้งหมดจะสลายหายไปกับตาหรือไร?”
เถี่ยซินหยวนช่วยคีบกับข้าวให้ชายตรงหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ แล้วเอ่ยตอบด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ศิษย์อายุยังน้อย จึงกล่าววาจาไปตามประสา ท่านลองฟังดูว่าเป็นไปตามเหตุผลนี้หรือไม่
การกระอักเลือดครั้งนี้นับว่าหานฉีกระอักออกมาเหมาะเจาะ ประการแรกเพื่อปกปิดความละอายใจ ประการที่สองสามารถดึงตัวเองออกจากวังวนความวุ่นวายนี้ได้ชั่วคราว
ขุนนางทัดทานคงไม่อาจเอาความอะไรกับคนที่กระอักเลือดเกือบสิ้นใจ แต่ความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่เช่นนี้ต้องถามหาความรับผิดชอบจากใครสักคน ผู้ที่ร่างกายแข็งแกร่งกำยำเช่นท่านก็เหมาะจะแบกโอ่ง[9]ใบนี้ไว้พอดี ตำแหน่งไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไปเหมาะสมเป็นที่สุด”
ชายตรงหน้าตบโต๊ะหินอย่างเกรี้ยวกราดในทันใด “หานจื้อกุย(ชื่อรองหานฉี)ไม่มีทางใช้แผนต่ำช้าเช่นนี้แน่ เจ้าต่างหากเล่า อายุยังน้อยกลับมีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต ถ้าหากไม่ใช่เพราะข้ารู้เท่าทัน ซากกระดูกของหนิวเอ้อร์คงกลายเป็นไม้ตีกลองไปแล้วกระมัง?
หึ หึ หึ คำพูดเหล่านี้เหตุใดข้าถึงฟังแล้วคุ้นเคยนัก คำพูดที่เจ้าใช้ยุยงหนิวเอ้อร์ให้ไปชิงตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มขอทานนั่น ข้าก็ฟังจนเลือดในกายเดือดพล่านไปหมด เจ้าว่าอะไรนะ...ต้องผงาดเหนือใครในใต้หล้า อิ่มตายอาจหาญหิวตายตาขาว อะไรอีกนะ..ชีวิตมีเพียงชาติเดียว ไม่ลองเสี่ยงตอนนี้จะรอไปถึงเมื่อใด? คำพูดพวกนี้เจ้าไปฟังมาจากไหนกันแน่?
วันนั้นถ้าหากมิใช่ข้าตะคอกให้หนิวเอ้อร์ตกใจหนีไป เกรงว่าเจ้านั่นคงถือมีดหูวัวไปสู้ตายกับหัวหน้าของตัวเองแล้ว”
เถี่ยซินหยวนยิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะเอ่ยว่า “อาจารย์ ท่านเห็นเพียงฉากสุดท้าย กลับไม่เคยเห็นว่าหนิวเอ้อร์คนนี้วางก้ามใหญ่โตข่มเหงผู้คนเช่นไร ท่านแม่ข้าเปิดร้านขายเนื้อหมูร้านเล็กๆ สองร้าน ทุกเดือนต้องมอบเงินให้หนิวเอ้อร์หนึ่งพวง พ่อค้าแถวประตูซีสุ่ยเกลียดชังเขาจนอยากจะกินเลือดกินเนื้อ
ท่านแม่เป็นหญิงชาวบ้านธรรมดา ศิษย์เป็นเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ก็ได้แต่เอ่ยวาจาวิงวอนขอร้องดีๆ จะมีความคิดทำร้ายคนได้หรือ?”
“ดี! หน้าด้านไร้ยางอายได้ดี มีความสง่างามเหมือนข้าในปีนั้นหลายส่วนทีเดียว” ชายสวมชุดเก่าซอมซ่อเอามือตบโต๊ะหินโดยพลันแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าหากเจ้าสามารถวางอุบายกำจัดหนิวเอ้อร์ได้จริง ผู้เฒ่าอย่างข้าก็จะยอมรับเจ้าเป็นศิษย์
อย่างไรเสียข้าโดนปลดออกจากตำแหน่งเป็นที่แน่นอนแล้ว สิ่งที่ข้ามีก็คือเวลาว่างจะสั่งสอนปีศาจน้อยที่กำเริบเสิบสานเช่นเจ้า”
สีหน้าเถี่ยซินหยวนเปลี่ยนแปลงในทันใด รีบประสานมือคารวะแล้วกล่าวว่า “อาจารย์กล่าวเกินไปแล้ว เรื่องทำร้ายคนถึงชีวิตจะเป็นเรื่องที่เด็กน้อยอย่างข้าทำได้หรือ? ข้ามีใจมุ่งมั่นอยากเรียนหนังสือมาตลอด อาจารย์ไม่สอนข้าก็ช่างเถิด แต่เสี้ยมสอนให้ข้าไปวางอุบายทำร้ายคนได้อย่างไรกัน?”
เพียงครู่เดียวอาจารย์ของเถี่ยซินหยวนก็กินข้าวปลาอาหารบนโต๊ะหินจนหมดเกลี้ยง จากนั้นเขาก็ตบหน้าท้องตัวเองเบาๆ เอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “หนิวเอ้อร์ไม่ตาย เจ้าเลิกคิดจะเป็นศิษย์ของข้าไปได้เลย”
เถี่ยซินหยวนเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “อาจารย์กำลังบีบให้ข้าต้องลำบากใจ”
ท่านอาจารย์เอนกายลงนอนบนเตียงนิ่มๆ อีกครั้ง ยืดเหยียดแขนขาออกรับแสงแดด เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยว่า “ในเมื่อรับปากแล้ว ก็รีบไปจัดการเสียเร็วๆ จะมีราชโองการอภัยโทษข้าออกมาในไม่กี่วันนี้ แต่ข้าหวังว่าคงไม่โดนส่งตัวไปอยู่เขตทหารแถบชายแดน”
เถี่ยซินหยวนรู้สึกโมโหยิ่งนัก เขาเร่งเก็บกวาดจานชามบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เรียกเจ้าจิ้งจอกเตรียมออกไปจากสถานที่รกร้างแห่งนี้อย่างเดือดดาล
เสียงของชายสวมชุดซอมซ่อยังลอยไล่หลังมาเบาๆ ว่า “เจ้าหนู ถึงเวลาตัดสินใจแล้วต้องทำใจกล้าๆ หน่อย ในดินแดนต้าซ่งผู้มีจิตใจโฉดชั่วนั้นน้อยนัก ผู้มีคุณธรรมกลับมากมาย ผู้คนเช่นนี้เต็มราชสำนักหาใช่วาสนาของต้าซ่ง ดินแดนของผู้เปี่ยมคุณธรรมไม่มีวันเป็นคู่ต่อสู้ของคนป่าเถื่อนโหดร้ายได้หรอก
เหลียวมองรอบอาณาเขตต้าซ่งสิ มีพวกคนป่าเถื่อนจับจ้องตาเป็นมัน คอยส่งคนมาสอดแนมเขตที่ราบภาคกลางตลอดเวลา ดินแดนต้าซ่งดูเหมือนมั่นคงดั่งเขาไท่ซาน เนื้อแท้กลับเผชิญอันตรายราวอยู่บนกองไข่ไก่เรียงซ้อนกัน
เจ้าอายุยังน้อย แต่ในใจกลับมีแผนการบางอย่างไว้แล้ว ข้าอยากเห็นนักว่า จิ้งจอกอย่างเจ้าจะมีสิ่งใดทำให้ผู้คนในใต้หล้าตกตะลึงกันแน่”
หลังจากย่างเท้าออกนอกประตู ใบหน้าเถี่ยซินหยวนกลับมายิ้มแย้มเช่นเดิม เจ้าจิ้งจอกสะบัดพวงหางเดินนำทางอยู่เบื้องหน้า ส่วนเขาก็หิ้วตะกร้ากวัดแกว่งไปมา เดินตามหลังมันกลับไปที่ร้านทังปิ่งพี่ชี
มีบางเรื่องที่ทำได้ กลับไม่สะดวกจะหลุดปากออกไป...
ชาวบ้านบริเวณประตูซีสุ่ยคุ้นชินกับภาพที่ปรากฏตรงหน้ามานานแล้ว เมื่อเห็นเถี่ยซินหยวนเดินมาแต่ไกล ทุกคนต่างส่งเสียงทักทายถ้วนหน้า ดังนั้นเจ้าจิ้งจอกขี้โอ่จึงติดตามเสียงเจ้านายเข้าออกแผงของผู้อื่นสูดกลิ่นฟุดฟิดไปทั่ว ทันทีที่เจออาหารถูกปาก ก็ดื้อแพ่งไม่ยอมไปไหน จนกว่าเจ้านายจะทำให้มันพอใจเสียก่อนถึงยอมเดินต่อ
ชาวบ้านนอกเขตเมืองหลวงและคนต่างถิ่นต่างจ้องมองเจ้าจิ้งจอกขนสีขาวปลอดดั่งหิมะ เห็นมันเดินโอ้อวดความสง่างามของตัวเองบนถนนใหญ่ก็พากันส่งเสียงชื่นชม
พวกผู้หญิงที่ไม่อาจหักห้ามใจตนเองกับสิ่งอ่อนนุ่ม ขาวสะอาด และปุกปุยเดินล้อมวงเข้ามาโดยไม่รู้ตัว พวกนางลูบคลำขนหางยุ่งเหยิงของเจ้าจิ้งจอกเบาๆ ถึงยอมจากไป
เถี่ยซินหยวนมองเห็นมารดาใช้มือเท้าคางงีบหลับอยู่ตรงโต๊ะหน้าร้าน ก็เดินเข้าไปโดยไม่พูดไม่จาสักคำ เขาหยิบขวดน้ำแตงโมอีกขวดออกมาจากกล่องอาหาร แล้ววางลงตรงหน้ามารดาอย่างระมัดระวัง ปล่อยให้เจ้าจิ้งจอกนอนเล่นอยู่ในพื้นที่ร่มเย็นทำตัวเป็นป้ายเรียกลูกค้า ส่วนเขาเดินไปหยิบผ้าขี้ริ้วมาเช็ดทำความสะอาดโต๊ะเก้าอี้
มือเคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่ง ความคิดก็หมุนวนเร็วรี่
สิ่งที่ราชครูผัง[10]กล่าวไว้มีเหตุผลหนักแน่นทีเดียว เพียงแต่เมื่อตาเฒ่าเหลี่ยมจัดนั่นนำมากล่าวอ้างแล้วกลับมีกลิ่นไอแปลกออกไป
ฉะนั้นเหตุผลที่เขาละทิ้งชีวิตอันหรูหราสุขสบาย ยอมไปอาศัยอยู่ที่คฤหาสน์ร้างของจ้าวผู่อย่างลำบาก เพราะมีเป้าหมายเพื่อแสดงให้ฮ่องเต้และขุนนางในราชสำนักเห็นว่า เขามีใจจงรักภักดีกับต้าซ่งมากเพียงใด จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ยอมเปิดเผยความคิดเห็นทางการเมืองของตัวเอง ต่อให้คนเผชิญหน้าด้วยจะเป็นเด็กอย่างเถี่ยซินหยวนก็ตาม
แม้ศึกหาวสุ่ยชวนประสบความพ่ายแพ้ ต้าซ่งต้องเผชิญความเสียหายร้ายแรง แต่ว่านี่เป็นความพ่ายแพ้ของบ้านเมือง หาใช่ความพ่ายแพ้ของผู้ใดผู้หนึ่งไม่ เขากลับทำให้ทุกคนเชื่อว่าตัวเองจงรักภักดีต่อบ้านเมืองไม่ต่างจากจ้าวผู่ ไม่ว่าราชสำนักจะลงโทษสถานใดก็ยินยอมพร้อมใจทั้งสิ้น
เมื่อคิดถึงตรงนี้เถี่ยซินหยวนก็หัวเราะออกมาเล็กน้อย ตัวละครสำคัญทั้งหลายช่างน่ารำคาญเสียจริงๆ เขาเพียงแค่อยากหาอาจารย์ที่เข้าใจเรื่องต่างๆ อย่างกระจ่างแจ้ง เพราะเขาไม่คิดจะอุทิศทั้งชีวิตของตนมอบแด่ต้าซ่ง ต่อให้เป็นจ้าวเจินมีบุญคุณกับพวกเขาสองแม่ลูกก็ไม่มีทางแน่
ติดค้างผู้อื่นไว้ชดใช้คืนก็จบแล้ว เรื่องขายชีวิตเพื่อใครนั้นช่างมันเถิด...
หลังจากเช็ดโต๊ะจนสะอาดเรียบร้อยดีแล้ว เถี่ยซินหยวนก็เหลือบมองชายรูปร่างเจ้าเนื้อผิวพรรณดำคล้ำที่พิงกำแพงโงนเงนด้วยความเคยชิน จากนั้นพลันถอนหายใจยาวๆ เฮือกหนึ่ง...
----------------------------
[1] หลังยามอู่(午后)คือช่วงเวลาตั้งแต่บ่ายโมงหรือ 13.00 น.เป็นต้นไป เนื่องจากยามอู่(午时)คือช่วงเวลา11.00 - 12.59 น.
[2] จ้าวผู่(赵普)ขุนนางคนสำคัญในสมัยซ่งไท่จู่(宋太祖)หรือจ้าวควงอิ้น(赵匡胤)ฮ่องเต้องค์แรกแห่งราชวงศ์ซ่ง จ้าวผู่เป็นผู้แนะนำให้ซ่งไท่จู่รวบรวมกำลังทหารเป็นหนึ่งเพื่อสยบความวุ่นวายในแผ่นดิน จนเป็นที่มาของงานเลี้ยงปลดอำนาจทหาร(杯酒释兵权)เพื่อถ่ายโอนอำนาจทางทหารของแม่ทัพรักษาชายแดนเข้าสู่ส่วนกลาง
[3] ชาวจีนค้นพบวิธีการเก็บรักษาน้ำแข็งจากในฤดูหนาวมานานแล้ว แต่ช่วงก่อนสมัยราชวงศ์ซ่งมีเพียงเชื้อพระวงศ์ ชนชั้นสูง ขุนนางผู้ใหญ่ และคหบดีผู้มั่งคั่งถึงจะมีน้ำแข็งเก็บไว้รับประทาน
[4] มีคุณธรรมเพียบพร้อม(忠孝节义)คือผู้ที่มีความภักดี(忠)ต่อชาติบ้านเมือง มีความกตัญญู(孝)ต่อบิดามารดา มีความซื่อสัตย์(节)ต่อสามีหรือภรรยาและมีคุณธรรม(义)ต่อมิตรสหาย
[5] ผู้คนออกห่าง ญาติมิตรหลีกหนี(众叛亲离)การกระทำไม่ได้รับการสนับสนุนจากคนส่วนใหญ่ ถูกตีตัวออกห่างจนมีจุดยืนโดดเดี่ยว
[6] ศึกหาวสุ่ยชวน(好水川一战)ต้าซ่งพ่ายแพ้ให้กับซีเซี่ย(西夏)ในปีค.ศ.1041 หลังจากสงครามใหญ่เริ่มมาตั้งแต่ปีค.ศ.1038
[7] หานฉี(韩琦)เป็นขุนนางคนสำคัญในสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ มีบทบาททางการเมืองต่อเนื่องสามรัชกาลคือตั้งแต่ซ่งเหรินจง(宋仁宗) ซ่งอิงจง(宋英宗)จนถึงซ่งเสินจง(宋神宗)
[8] เหรินฝู(任福)แม่ทัพในสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ เริ่มจากการเป็นทหารองครักษ์ในรัชกาลซ่งเจินจง(宋真宗)พระราชบิดาของซ่งเหรินจง ต่อมากลายเป็นแม่ทัพที่มีชื่อเสียงและพลีชีพในศึกหาวสุ่ยชวน
[9] แบกโอ่ง น่าจะหมายถึง การแบกหม้อดำ(背黑锅)หรือแพะรับบาป
[10] ราชครูผัง(庞太师)ในละครโทรทัศน์มักเป็นตัวร้ายคู่ปรับกับเปาบุ้นจิ้นหรือเปาเจิ่ง แต่ยังไม่ปรากฏข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่แน่ชัดรับรองว่าราชครูผังผู้นี้มีความชิงชังในเปาเจิ่งจริง