ตอนที่ 38 ความจริงที่ปรากฏ
ตอนที่ 38 ความจริงที่ปรากฏ
ชายทั้งสองยังคงเฝ้าระวังอยู่ในมุมปลอดภัย ทุกครั้งที่ใครสักคนจะขยับเข้าใกล้โพรง นางงูยักษ์ก็จะรีบเลื้อยมาขวางทันทีจนเสวี่ยหงเยว่ไม่ติดสถานะสตั๊นท์ก็ยืนค้างกลับตัวไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง
หนึ่งก็คือควากลัวงูของเขาและสองคือเขาไม่มั่นใจว่ามันจะเกี่ยวข้องกับการลักพาตัวไหม หากไม่เกี่ยวการกระทำของเขาจะไม่ต่างจากตัวละครโง่ ๆ ไม่สนใจอะไรแล้วซัดแหลกแหกด่าน ตัวประกอบตายไม่แคร์ คนไม่รู้อิโหน่อิเหน่เจ็บไม่สนแล้ว งูตัวเท่านั้นมันน่าจะจับยัดเข้ารายชื่อสิ่งมีชีวิตพันธ์สงวนที่ไม่ควรเอาออกมาจากเขตอนุรักษ์พันธ์ุสัตว์ให้แดร๊บคุณลงท้อง
และที่น่าเศร้ากว่าก็คือ ต่อให้เขากลัวงูสักแค่ไหนก็ไม่อาจกรีดร้องได้อีกต่อไปแล้ว ดันมีคนอื่นอยู่ด้วย แถมยังเป็นเหอไป๋หลาน โวยวายไปนี่ภาพพจน์เสียหายไปถึงไหนต่อไหน กู้คืนก็ไม่ได้ ซากก็ไม่มีให้ประกอบ อึดอัดเป็นบ้าเลย!!
“มันไม่เปิดช่องให้แทรกเลย” เหอไป๋หลานว่า ดวงตายังคงจับจ้องไปทางนางงู ในมือของเขานั้นกำกระบี่ประจำตัวเอาไว้ พร้อมตั้งอยู่ในท่าเตรียมระวังภัยให้ตัวเอง “สัตว์ช่วงวางไข่ที่ดุร้ายเช่นนี้ เจ้าจะหาทางเอาตัวรอดอย่างไร?”
“ตัวข้านั้นไม่เท่าไรหรอกท่านไป๋หลาน ข้ากังวลถึงคุณหนูเฉวียนมากกว่า หากการคาดเดาของข้าถูก การที่อยู่ในดงนางงูและไข่ของมัน คุณหนผู้นั้นก็ตกอยู่ในสภาวะอันตรายนัก เราต้องรีบเข้า”
"แต่เจ้าไม่ชอบงูไม่ใช่หรือ"
"อืม--!!!" แล้วดวงตาของเสวี่ยหงเยว่ก็เบิกกว้างเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนั้น หันหน้าหาเหอไป๋หลานอย่างรวดเร็ว ถลึงตาทำหน้าน่ากลัวจนคนโดนมองเผลอขนลุกเพราะนึกว่าจะโดนเฟยฉีบั่นเข้ากลางคอ
"เจ้าไปรู้มาจากไหน" เสวี่ยหงเยว่กดเสียงต่ำ เขาจำได้ว่าแทบไม่เคยบอกจุดอ่อนนี้กับใคร คนที่รู้ก็มีแค่คนเดียว
...
...
หรือว่า
"จ้าวหานเคยบอกข้า"
และนั่นก็เกือบทำให้เขาวิ่งกลับไปยังที่นั่งผู้ชมแล้วเอาเลือดหัวไอ้นักบวชชั่วนั้นออกมาล้างแผ่นดิน!!
"ช่างเถอะ จัดการมันก่อน" เสวี่ยหงเยว่แสร้งทำสงบไปตอบก่อนจะมองตรงไปทางด้านหน้า แค่เห็นหางงูขนก็ลุกชูชันไปถึงไหนต่อไหนทว่าเขาก็ต้องกลั้นใจ ให้เลือกระหว่างงูกับช่วยเหลือโลลิน้อย มันต้องช่วยโลลิสิ! ความสำคัญมันต่างกันเห็น ๆ เอาล่ะ พุทโธ ข่มใจกลั้นความกลัว หายสติแตกเพราะได้แล้ว!
ดวงตาสีแดงค่อย ๆ เปิดขึ้นจากการตั้งสติ มันฉายแววบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิม
เอาล่ะ ถึงเวลาหยุดเล่นขายของ...
เขาก็หันไปหาเหอไป๋หลาน ส่งสัญญาณให้คล้ายจะบอกว่าช่วยระวังหลังให้เขาด้วย และหลังจากนั้น เสวี่ยหงเยว่ก้าวเดินออกไปด้านหน้า บรรยากาศหนักอึ้งบางอย่างก็คลืบคลานเข้ามาอย่างรวดเร็ว แรงลมหนักพัดวู่จนต้นไม้รอบกายสั่นคลอน
ดวงตาสีแดงวาวโรจน์ขึ้นมาก่อนที่ฝ่ามือจะเอื้อมไปด้านหน้า ลมแรงเหล่านั้นถูกดึงให้ออวนในฝ่ามือของเขา ก้อนหินลอยผ่านปลายนิ้วให้ลอยขึ้นไปปะปนกับสายลม ทันทีที่เสวี่ยหงเยว่สลัดมือก็ก่อเกิดเป็นกระแสพลังมวลใหญ่พุ่งตัวตรงไปยังยังงูยักษ์ที่มุ่งตรงเข้ามาและซัดมันจนกระเด็นถอยไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว
เสวี่ยหงเยว่ปัดมือออกอีกครั้ง ซัดลมอีกชุดเข้าไปเพื่อให้มันเสียหลัก แล้วหยิบยันต์ออกจากอกเสื้อ สร้างข่ายยันต์อันแน่นหนาล้อมร่างงูนั้นเอาไว้อย่างรวดเร็ว ตรึงให้มันอยู่กับที่
พอหายสติแตกหัวก็แล่น หากไม่อยากฆ่าก็ต้องทำให้มันหยุดการเคลื่อนไหว และถ้าไม่อยากเข้าใกล้ก็ต้องซัดให้กระเด็นไปไกลๆ เสวี่ยหงเยว่คิดเช่นนั้น ระหว่างที่มองงูที่ถูกยันต์นับร้อยตรึงร่างเอาเอา มันดิ้นอย่างแรงเพื่อให้ตัวเองหลุดออกจากการพันธนาการ พอเห็นแบบนั้นดวงตาสีแดงหรี่ลงเล็กน้อยก่อนจะหลับลงเพราะเขาไม่อยากมองสิ่งที่ตัวเองกลัวนาน ๆ สักเท่าไร
ทุกสิ่งทุกอย่างจบลงอย่างรวดเร็วท่ามกลางสายตาของเหอไป๋หลาน ชายหนุ่มเม้มปากเล็กน้อย พอดูเหมือนเสวี่ยหงเยว่ตั้งสติได้แล้วก็จัดการทุกอย่างรวดเร็วเปลี่ยนอารมณ์ในทันตา อีกทั้งยังแรงกดดันของพลังนั่น ต่อให้กดลงต่ำเพื่อไม่ให้ทำร้ายนางงูนั้นเกินควรแต่ก็ยังทำให้สภาพบรรยากาศปรวนแปรได้ขนาดนั้นอีก
เหอไป๋หลานได้แต่ถอนหายใจพลางคิดว่าไม่จำเป็นต้องมาช่วยก็ได้นี่นา
ทว่าในระหว่างนั้นเอง!
เมื่อเจ้างูนั้นเห็นหน้าของเเสวี่ยหงเยว่ชัดๆ มันก็ชะงักไปทั้งตัว หยุดการทำกระทำทุกรูปแบบซ้ำยังมีทีท่าที่สงบสุภาพโค้งให้จนสุดตัวอย่างสำนึกผิด แว่วเสียงหนึ่งดังขึ้นมาในหัวของเขา
"ต้องขออภัยที่ผู้น้อยเกือบทำร้ายท่านจินหรง...ผู้น้อยเกือบทำให้ท่านเหวินจวิ้นพิโรธอีกแล้ว"
ชื่อแรกนั่นคือชื่อของพ่อเขามันกำลังเข้าใจว่าเขาคือเสวี่ยจินหรง มันจึงได้มีทีท่าเรียบร้อยเช่นนั้น แม้เสวี่ยหงเยว่จะรู้สึกดีใจปนแขยงใจที่งูหยุดจู่โจมสักแค่ไหน แต่การได้ยินอีกชื่อนั้นก็ทำให้คิ้วเขาเลิกขึ้นสูง
เหวินจวิ้นอีกแล้ว...
“ท...ท่านหง!!” แต่แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมา แม้จะเป็นเสียที่ได้ยินไม่บ่อยทว่าเสวี่ยหงเยว่ก็จำได้ทันทีถึงวิธีการเรียกอย่างนั้น เขารีบหันขวับไปหาแล้วพบกับเฉวียนซือเสียนในชุดสีม่วงอ่อนเลอะเทอะเลนไปทั้งตัวอยู่ในอีกมุมหนึ่งไม่ไกลจากที่พวกเขาอยู่
เมื่อมองไล่เลยไปด้านหลังก็พบกับชายสองคนที่เละเทะพอกันซึ่งมองจากหน้าตาที่ดูกลาง ๆ แล้วคงเป็นชนชั้นตัวประกอบและหนีไม่พ้นโจรลักพาตัวเป็นแน่
ทว่า...เมื่อมองต่ำลงไปอีกนิ๊ดดด ต่ำลงจนเกือบติดพื้น สบสายตาหวานปิ๊งขนตาวับ ๆ ส่งเสียงร้องอู๊ด ๆ อย่างน่ารัก แล้ว เสวี่ยหงเยว่ก็ทำหน้าเหมือนโดนยาขมทั้งขวดกรอกใส่ปาก
ไอ้หมูกาลกิณี!!!
เมื่อเห็นเฉวียนซือเสียนอยู่ตรงนั้น ซ้ำยังปลอดภัยดีไร้ซึ่งรอยขีดขวดใดนอกจากชุดเลอะ เขาก็ (รีบชิ่งให้ไว) ละตัวจากนางงูยักษ์ตรงไปหาเด็กหญิง พร้อมกับปลดพันธนาการยันต์ทันที ซึ่งพอแม่งูเห็นว่าดังนั้น ก็ทำท่าโค้งคำรบแทนคำบอกลาก่อนที่จะเลื้อยกลับไปยังรูที่มีไข่ของตัวเอง
“ผู้น้อยทำหน้าที่จบแล้ว ผู้น้อยขอตัวเจ้าค่ะ”
นั่นคือคำพูดสุดท้ายของนาง ก่อนที่จะเลื้อยหายลับไป
แล้วเรื่องราวการต่อสู้อย่างกล้าหาญ (แสนเจ็บปวด) ระหว่างเสวี่ยหงเยว่กับงูยักษ์เพื่อช่วยเหลือโลลิน้อยก็เป็นอันจบลงด้วยดี ไม่มีใครบาดเจ็บ ไม่มีใครตาย ไม่มีความวิบัติใด ๆ เกิดขึ้น แสนสุขสันต์ใจนัก เพราะเสี่ยวจูนั้นได้ช่วยนำทางพวกเฉวียนซือเสียนให้ออกมายังโพรงอีกโพรงหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากแม่งูให้นั่นเอง
นับว่าจบดี จบได้สวย หมูกาลกิณีมีประโยชน์ก็วันนี้
เฉวียนซือเสียนเดินเข้ามา กอดแขนเสวี่ยหงเยว่ เอ่ยกล่าวคำขอบคุณซ้ำไปซ้ำมาน้ำตาไหล สีหน้าเด็กหญิงนั้นดูปลื้มปริ่มดีใจ ดวงตากลมโตจ้องมองคนที่ตัวโตกว่า ประดุจดังได้รับประสบการณ์อะไรบางอย่างที่ใกล้เคียงกับคำว่า ‘ฝันที่เป็นจริง’ หรือไม่ก็ ‘วันนี้ที่รอคอย’ ก็ไม่ผิดนัก
ราวกับได้เจอพระเอกในนิยายรัก…
พอคิดได้ดังนั้นหัวใจนางก็เต้นแรงขึ้นมาทันทีพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างเขินอาย
ซึ่งแน่นอนว่าคนอย่างเสวี่ยหงเยว่ไม่มีทางเข้าใจ ไม่มี ไม่มีเลยสักนิด ในตอนนี้เขาคิดแค่ว่าดีใจจังที่พ้นจากดงงูแล้วเท่านั้นล่ะนะ
เขาได้เจอเฉวียนซือเสียนแล้ว จัดการมัดโจรลักพาตัวสองหน่อพร้อมเตรียมส่งเข้าซังเตก็แล้ว แถมอะไรต่อมิอะไรลงตัวประจวบเหมาะ เสร็จเรียบร้อยก่อนการแข่งขันจะเลิก นับว่าเป็นการจบเนื้อหาช่วงนี้ได้ดี ไม่มีเรื่องยากอะไรให้ปวดหัวตามมา
ง่ายกว่าที่คิด...ง่ายจนรู้สึกว่ามันทะแม่ง ๆ แปลก ๆ คลับคล้ายคลับคลาว่าเขากำลังลืมเรื่องอะไรที่สำคัญมาก ๆ บางอย่างไป
และใช่...เมื่อเขาหันไปสบสายตากับเจ้าหนูจำไมของชายที่ยืนข้างหลังเขาแล้ว อีกทั้งเฉวียนซือเสียนที่จ้องหน้าเขามาพักใหญ่ ๆ ก็มีทีท่านึกอะไรบางอย่างออก ความรู้สึกเสียววูบวาบก็เกิดขึ้นมาในใจ และมันน่ากลัวจะชนิดที่หย่อนเขาลงไปในบ่องูยังดีเสียกว่า
เมื่อมีคำถามสองคำถามที่ทำให้เขาเหงื่อแตกพรากออกมาจากทั้งสองคนนั้น
“เหตุใดท่านหงจึงมีผมสีขาวกันล่ะเจ้าคะ?” นี่คือคำถามจากเฉวียนซือเสียน
“หงงั้นหรือ?” นี่คือเสียงของเหอไป๋หลาน ซึ่งเสวี่ยหงเยว่านั้นขนลุกชูชันมากกว่าเดิมอีกไม่รู้กี่สิบเท่า
ทว่า…
การถูกถามเช่นนั้น มันยังไม่ทำให้เขาขนลุกได้เทียบเท่ากับประโยคถัดมาจากปากของเหอไป๋หลาน...มันทำให้เสวี่ยหงเยว่แทบอยากจะมุดดินหนีหายไปจากสถานที่แห่งนั้นให้ไวที่สุด
“หงเกอ?”
เสวี่ยหงเยว่ถึงกับหลุดแจกฟักในใจ!
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ คุณชายเป็นเพื่อนของท่านหงสินะเจ้าคะ ซือเสียนขอขอบคุณที่มาช่วยเหลือ” แทนที่เสวี่ยหงเยว่จะเป็นฝ่ายตอบ เฉวียนซือเสียนกลับเป็นฝ่ายพูดแทน น้ำเสียงสาวน้อยนั้นช่างร่าเริงดังคนไม่คิดร้าย ทว่านั่นกลับทำให้เสวี่ยหงเยว่เหงื่อแตกพรากกว่าเดิม
...งานงอกแล้ว...
หลังจากนั้นเขาก็พาตัวของเฉวียนซือเสียนกลับมาได้ทันพิธีจบงาน พอจัดการส่งตัวโจรลักพาตัวให้เจ้าหน้าที่ได้ ทำเรื่องนั่นนี่เสร็จ ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของนายเมืองเฉวียนและกฏหมายจัดการ แม้จะมีสายตาคลางแคลงใจจากเด็กหญิงคนนั้นส่งมาเป็นระยะๆ ทว่า...เขาก็เลือกที่จะตีเนียนแล้วเงียบเสีย
หลังจากนั้น พอรู้ตัวอีกทีก็แยกย้าย เพราะเฉวียนซือเสียนต้องกลับบ้านไปจัดการล้างเนื้อล้างตัวล้างโคลนออกจากตัวให้เป็นที่เรียบร้อยก่อนงานเลี้ยงช่วงค่ำจะเริ่ม...แม้จะเป็นการจบคดีลักพาตัวได้ด้วยดี
แต่หัวใจของเสวี่ยหงเยว่จะเต้นไม่เป็นระสับอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่อะไรนะ คิดมุกโกหกไม่ทัน!!
เขาก้าวเดินไปนิ่ง ๆ และเงียบ ๆ โดยมีเหอไป๋หลานเดินตามขนาบข้าง บรรยากาศนั้นมีแค่ความสงบราบเรียบ เรียบมาเสียจนร้อน ๆ หนาว ๆ หนาวมากจนเสวี่ยหงเยว่ทำใจเลิกเก็กแล้วหันหน้าไปมองคนข้างตัว
"ไม่มีอะไรจะถามข้าหน่อยหรือขอรับ?"
"ข้ารอเจ้าพูดเองมากกว่า" เหอไปหลานตอบ และนั่นก็ทำให้เสวี่ยหงเยว่ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย เอาวะ โป๊ะแตกแล้วก็มีแต่ต้องเดินหน้าให้สุด ขึ้นหลังเสือมาไกลขนาดนี้จะลงมาก็หมาเกินทน
"ข้าและชายที่ชื่อหงนั้นคือคนเดียวกัน" เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง ข่มอาการสั่นไหวในอก กดใจเต้นพร่ำๆ จะหลุดออกมานอกเบ้าให้มิด "เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ท่านจะยังคิดว่าน้องชายท่านอยู่กับคนไม่ดี ไม่มีหัวนอนปลายเท้าอีกหรือไม่"
เมื่อเหอไป๋หลานได้ยินเช่นนั้นเขาก็ชะงักไปเล็กน้อย คล้ายกับว่าคำที่เขาเคยพูดคุยกับเสวี่ยหงเยว่ที่ศาลาในเย็นวันนั้นจะวกกลับเข้ามาหา และนั่นทำให้เขาถึงกับเงียบลง ชายหนุ่มเพ่งมองชายคนที่เป็นเพื่อนของตนเล็กน้อย ทีท่าครุ่นคิดไม่นานก็วางตัวใจเย็นดังเดิม
"ข้ารู้แล้วว่าชายคนนั้นไม่ใช่ผู้ไม่มีหัวนอนปลายเท้า..." เหอไปหลานพ่นลมหายใจออกมาก่อนที่จะหยุดเดิน เขาหันมาประจันหน้ากับเสวี่ยหงเยว่อย่างตรงไปตรงมา
"เป็นคนดี คอยดูแลทุกอย่าง สอนให้รู้จักสิ่งต่าง ๆ มากมายที่ในรั้วตำหนักเหอไม่เคยสอน ทำให้ทุก ๆ วันมีความสุขแม้จะไม่ได้เจอกันบ่อยนัก ทว่าก็สามารถยิ้มออกมาได้ ถ้าทำได้ก็อยากจะเก่งเช่นนั้น อยากจะเข้มแข็งมากขึ้นเพื่อที่สักวันจะได้อยู่เคียงข้าง" เขาค่อย ๆ พูดออกมา และนั่นทำให้เสวี่ยหงเยว่เลิกคิ้วเล็กน้อย คล้ายกับสิ่งที่ได้ยินมันจะทำให้เขาเหมือนเป็นไข้ขึ้นมาด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด
"นั่นคือสิ่งที่ไป๋เทียนเขียนในจดหมายที่ส่งมาหาข้า"
เสวี่ยหงเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อยเขารู้สึกแปลกมากจริง ๆ นั่นแหละ
ก็ไอ้สิ่งที่เหอไป๋เทียนเขียนส่งนี้มันเหมือน ไอ้หนุ่มบ้านนาวัยใสส่งจดหมายหาครอบครัวว่าเจอสาวที่ชอบแล้วและอยากใช้ชีวิตอยู่ด้วย บรรยายสรรพคุณว่าที่เมียเสียดิบดี ตบท้ายด้วยการบอกว่าพ่อครับเตรียมเงินสินสอดเอาไว้ให้ด้วยนะเดี๋ยวพาไปขอ ...อะไรแบบนี้เลย
พอคิดได้แบบนั้นเขาก็เกือบหลุดหัวเราะออกมาเพราะเอ็นดูในเนื้อความของจดหมายนั้น
"เป็นจดหมายที่น่าเอ็นดูนะขอรับ“เขากล่าว กลืนคำหัวเราะของตนลงคออย่างเลี่ยงไม่ได้เพราะอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ควรหัวเราะ เสวี่ยหงเยว่ทำทีท่าคิดเล็กน้อย”หากน้องชายท่านมีความรู้สึกเช่นนั้น ตัวข้าเองก็ดีใจขอรับ”
“ไม่ใช่แบบนั้นสิ” เหอไป๋หลานแย้งเล็กน้อย
“แบบนั้น...แบบไหนหรือขอรับ” เสวี่ยหงเยว่แสร้งทำซื่อ เขาวางกริยาอาการอย่างสุภาพไม่ตอบโต้ เพราะรู้ดีว่าตอนนี้ตัวเองพูดอะไรไปก็มีแต่จะยิ่งเพิ่มความสงสัย
"ทำไมถึงทำเช่นนั้น" เหอไป๋หลานเอ่ยถาม หรี่ตาลงเล็กน้อย จับจ้องใบของเสวี่ยหงเยว่อย่างคนไม่เข้าใจ คนด้านข้างเขานั้นไม่น่าจะใช่คนประเภทที่ว่า 'นึกสนุกก็เลยอยากปลอมตัวเป็นสามัญชน' ชายคนนี้นับตั้งแต่รู้จักกันมา ไม่เคยซน ไม่เคยทำผิดกฏระเบียบ ในสายตาเขาแล้ว เสวี่ยหงเยว่แทบจะอยู่ในกรอบแทบทุกอย่างจนไม่อาจจะเชื่อได้ว่าจะทำอะไรเช่นนี้
โดยหารู้ไม่ว่าสิ่งที่เหอไป๋หลานมองนั่นคือสิ่งที่เจ้าตัวแสดงให้คนอื่นเห็นเพื่อปิดบังนิสัยที่แท้จริงต่างหาก
"ถึงข้าจะปกปิดตัวตนกับน้องชายท่าน ทว่าข้าไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อไป๋เทียนเลยแม้แต่น้อย ขอให้ท่านโปรดจำคำนี้ไว้" ดวงตาสีแดงสบกับดวงตาของเหอไป๋หลาน เสวี่ยหงเยว่อยากกล่าวออกมาด้วยความจริงใจว่าสุดท้ายแล้วต่อให้ปิดบังตัวตน ต่อให้หลอกหลวง
ทว่าเขาก็จริงใจกับเหอไป๋เทียน...
เมื่อเห็นถึงสายตาที่มองมานนั้น เหอไป๋หลานชะงักไปเล็กน้อย เขาคิดอะไรหลายต่อหลายอย่างในหัว ทบทวนถึงความทรงจำที่มีระหว่างเพื่อน ทบทวนความทรงจำถึงจดหมายที่เขียนอย่างมีความสุขของน้องชายตัวเอง...เขารู้ดีว่าเสวี่ยหงเยว่ไม่มีทางมีเจตนาร้าย
เขาแค่ไม่เข้าใจว่าทำไม...
“แม้ว่าการโกหกจะไม่ใช่เรื่องดี...เจ้าก็ยังจะทำงั้นหรือ”
“บางครั้ง...คนเราก็ย่อมมีเรื่องแหกกฏให้ทำสักข้อสองข้อไม่ใช่หรือ?” เสวี่ยหงเยว่กล่าว แม้จะสับสนและรู้สึกผิดแต่ท้ายที่สุด สิ่งที่เรียกว่าความจริงใจเท่านั้น ที่จะทำให้เขาได้อธิบายถึงเหตุผลของตัวเอง “ท่านปรารถนาให้เขามีความสุขฉันท์ใด ตัวข้าเองก็เช่นกัน...เพราะฉะนั้นแล้วเมื่อถึงเวลาที่จะเปิดเผยความจริง ข้าจะบอกเขา”
เหอไป๋หลามองคนตรงหน้า ความสับสนหลายอย่างนั้นปรากฏชัดออกมาทั้งสีหน้า ทั้งแววตา เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้มันเรื่องบ้าอะไร ทว่า...
ทั้งสิ่งที่เสวี่ยหงเยว่พูด
ทั้งความสุขของเหอไป๋เทียน
ทุกอย่างล้วนเป็นความจริง
“หากเป็นเช่นนั้น...จงสัญญา ว่าเจ้าจะต้องบอกความจริงกับไป๋เทียน...” เขาเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่อ่อนลง
“เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ข้าจะบอกขอรับ” เสวี่ยหงเยว่ตอบ พลางคิดในใจว่า เออ เดี๋ยวแม่มก็ต้องมาโป๊ะแตกกลางงานบรรลุนิติภาวะอยู่แล้ว ที่ทำไปเนี่ยแค่ยื้อเพื่อซื้อเวลานี่แหละ
พอได้ยินการรับปากเช่นนั้นเหอไป๋หลานจึงยิ้มออกมา พลางเริ่มเดินอีกครั้งเพื่อกลับไปฟังผลประกาศคะแนนในรอบคัดเลือก
เขาหลุดหัวเราะกับตัว อารขึ้นมาอย่างน่าประหลาด แม้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้จะดูเป็นความสัมพันธ์ที่แปลกประหลาดสักแค่ไหน แต่เมื่อมองในมุมกลับการที่เพื่อนสนิทของตนได้เข้ามาดูแลน้อยชาย นั่นอาจจะเป็นเรื่องที่ดีแล้วก็ได้
และอีกอย่าง...
“หากมีอะไรขาดเหลือ...ก็บอกข้าได้ทุกเมื่อ” เขากล่าวเช่นนั้น ด้วยรอยยิ้มดังเช่นทุกที “ข้าพร้อมสนับสนุน”
เพราะในตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกมั่นใจแล้วว่า สิ่งเหล่านี้จะทำให้พวกเขาจะสามารถกลับไปเป็นเพื่อนได้ดังเมื่อก่อนได้
สามารถติดตามอ่านตอนต่อไปได้ที่ Fictionlog