ตอนที่ 38 กระจกแห่งชะตากรรม
ตอนที่ 38 กระจกแห่งชะตากรรม
หลังจากคนร้ายลักพาตัวเฟย์นะแล้วหนีไปได้สำเร็จ ชาเกลก็ใช้พลังพาฟอแกนด์กับเอ็ดเวิร์ดตามมาถึงแทบจะในทันที แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะไม่ทันกาลเสียแล้ว
หัวหน้าหน่วยรีบโทรแจ้งเหตุฉุกเฉินไปยังกองปราบวิญญาณ ชาเกลรีบพายูทากะไปส่งให้ถึงมือแพทย์ เคนเซย์ที่ยังดูตื่นตระหนกสับสนอยู่ก็ได้ท่านรองของหน่วยช่วยเรียกสติให้กลับมา
หลังแจ้งเรื่องไปยังศูนย์บัญชาการเรียบร้อย ฟอแกนด์ก็จำเป็นต้องตามกำลังสำคัญที่สุดของหน่วยกลับมาทำงาน
“เฮคเตอร์กลับมาที่ออฟฟิศด่วน เฟย์นะถูกลักพาตัว”
คำสั่งสั้นๆ ของหัวหน้าหน่วยจากปลายสายโทรศัพท์ทำเอาชายหนุ่มแทบปรับอารมณ์ไม่ถูก เขาเพิ่งพาโซอีกลับมาถึงบ้าน กำลังคิดว่าอยากจะทำอะไรสักอย่างช่วยให้เธอสบายใจขึ้น แต่เหตุฉุกเฉินที่เกิดขึ้นนี้ก็ทำให้เขาจำใจต้องกลับไปทำงาน
ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยิ่งเฟย์นะถูกลักพาตัวไปแบบนั้นเขาจะปล่อยโซอีอยู่ที่นี่คนเดียวไม่ได้เด็ดขาด โซอียังคงนอนคว่ำหน้าร้องไห้อยู่บนโซฟาตัวยาว เห็นอาการแบบนั้นแล้วเขาก็แทบไม่อยากไปไหนเลย
“ฟังนะโซอี...มีเรื่องฉุกเฉินเกิดขึ้น เฟย์นะถูกลักพาตัว ฉันต้องกลับไปทำงานแล้วต้องพาเธอไปออฟฟิศด้วย”
คนร้องไห้อยู่ชะงักนิ่งไปก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาทั้งน้ำตา
“อะไรนะ”
“เฟย์นะถูกลักพาตัว ฉันยังไม่รู้รายละเอียดแต่เราต้องไปแล้วเดี๋ยวนี้”
หญิงสาวในร่างเด็กกัดฟันเม้มปากแน่นก่อนจะพยักหน้ารับอย่างไม่งอแง
“ขอเวลาสองนาที ฉันขอเก็บเสบียงก่อน”
โซอีลุกขึ้นกระโดดลงจากโซฟาวิ่งเข้าไปในห้องหยิบกระเป๋าใบใหญ่มาเก็บของกินบนโต๊ะกินข้าว และกวาดอะไรอีกหลายอย่างในตู้เย็นออกมา ก่อนจะเดินมายืนอยู่ตรงหน้าใช้แขนเสื้อปาดน้ำตา จับแขนเฮคเตอร์ไว้แสดงสัญญาณเตรียมพร้อม แล้วทั้งสองก็ออกเดินทางที่ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที
มีเพียงชาเกลที่อยู่ในออฟฟิศของหน่วยเมื่อเฮคเตอร์ไปถึง หัวหน้ากับเอ็ดจังคงจะกำลังเข้าประชุมด่วนวุ่นวายกันใหญ่
“เคนเซย์ล่ะ”
เฮคเตอร์ถามชาเกลที่ทำท่าเหมือนกำลังรออยู่ เขาลุกขึ้นจากที่นั่งบนโต๊ะทำงาน ยกกาแฟเย็นกระป๋องขึ้นดื่มพรวดเดียวจนหมด
“น่าจะอยู่ที่แผนกพยาบาลรอฟังอาการคุณยูทากะ เอาไว้จะเล่ารายละเอียดให้ฟัง ตามไปที่ห้องบัญชาการก่อน”
“อื้อ” รับคำกับชาเกลจบเฮคเตอร์ก็หันมาทางผู้ติดตาม “ไปด้วยกันโซอี เธอไหวนะ ขอโทษทีแต่ฉันจะไม่ปล่อยให้เธออยู่คนเดียวเด็ดขาด”
“ฉันไม่เป็นไร ไปกันเถอะ”
“มีบาดแผลถูกฟันห้าจุด สี่จุดที่อยู่ตามแขนขาไม่ลึกมาก แต่ที่หนักหน่อยน่าจะเป็นที่ข้างลำตัว แต่โชคดีที่ไม่มีจุดไหนถูกอวัยวะสำคัญ ไม่มีอันตรายถึงชีวิตค่ะ”
แพทย์หญิงอนาเซียรายงานอาการบาดเจ็บของยูทากะให้กับเซไค--หัวหน้าหน่วยK-1 เมื่อได้ยินดังนั้น ทั้งหัวหน้าหน่วยทั้งเพื่อนร่วมงานที่รอฟังอาการต่างก็ถอนใจอย่างโล่งอก เช่นเดียวกับเคนเซย์ที่นั่งอยู่ตามลำพังคนเดียวในจุดที่ห่างออกมา
เคนเซย์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เฟย์นะเป็นคนในครอบครัวของเขาแล้ว นี่เป็นเรื่องสำคัญที่เขาต้องบอกกับทางบ้าน ชายหนุ่มกดโทรหาพ่อของตัวเองก่อนจะเล่าเหตุการณ์คร่าวๆ
“ตั้งสติให้ดีเคนเซย์ เราจะต้องช่วยเฟย์นะกลับมาให้ได้ ไม่ห่วงทางนี้เดี๋ยวพ่อจะจัดการให้เอง”
ทั้งสองตัดสายไปในช่วงเวลาสั้นๆ เคนเซย์เอาสองตบหน้าตัวเองแรงๆ แล้วลุกออกไปยังห้องบัญชาการใหญ่ที่ทุกคนน่าจะไปรวมตัวกันเพื่อรอคำสั่งปฏิบัติการ
เมื่อเฮคเตอร์พาโซอีมาถึงห้องบัญชาการ และกลับไปพาชาเกลมาอีกรอบ ในตอนนั้นเคนเซย์ก็เปิดประตูเข้ามาพอดี ฟอแกนด์กับเอ็ดเวิร์ดกำลังคุยหน้าเครียดกับผู้บัญชาการสูงสุดอยู่ที่นี่เช่นกัน
โดยปกติแล้วที่นี่คือห้องทำงานของหน่วยข่าวกรอง แต่เมื่อมีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้น มันจะถูกใช้งานเป็นห้องบัญชาการรบไปด้วย บนผนังมีจอภาพขนาดใหญ่หลายจอที่จะถูกส่งสัญญาณมาจากที่เกิดเหตุ บนโต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่างๆ นานา มีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ครบทุกโต๊ะและดูวุ่นวายกันไปหมด เพราะดูเหมือนจะมีสัญญาณเรียกรวมพลครั้งใหญ่ไปแล้ว
“มากันแล้วสินะ พวกนายตามมาทางนี้ ส่วนเอ่อ…”
เสียงของฟอแกนด์ดังค้างไว้เมื่อหันไปเห็นโซอีที่เฮคเตอร์ยืนจับมือไว้ตลอดเวลา
“ไปด้วยกันนี่แหละครับ แถวนี้จะฝากใครไว้ได้”
สุดท้ายฟอแกนด์ก็หันหน้าไปหาผู้บัญชาการสูงสุดอีกครั้ง ก่อนจะได้รับสัญญาณอนุญาตเป็นการพยักหน้า คนทั้งหมดเริ่มออกเดินตามผู้มีตำแหน่งใหญ่สุดไป ผ่านห้องหลายห้องผ่านทางเดินยาวอีกหนึ่งครั้ง ในที่สุดพวกเขาก็เดินมาถึงห้องทำงานของผู้บัญชาการสูงสุดนั่นเอง
ผนังห้องด้านหนึ่งถูกกดปุ่มลับทำให้เปิดแยกออกและภายในนั้นก็มีลิฟต์ส่วนตัว เจ้าของห้องหยิบการ์ดประจำตำแหน่งออกมา ก่อนจะรูดเปิดประตูลิฟต์แล้วทุกคนก็เดินตามเข้าไปข้างใน
ลิฟต์เลื่อนลงชั้นล่างด้วยความลึกประมาณ และเมื่อประตูลิฟต์เปิดออกอีกครั้ง ภาพที่อยู่ตรงหน้าทุกคนก็ทำเอาผู้ไม่เคยมาเยือนเบิกตาโตขึ้นอย่างตกตะลึง
กระจกรูปวงรีที่มีขนาดใหญ่บานหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ตามขอบกระจกเป็นกรอบไม้สีแดงคล้ายสีเลือด แม้จะมีลวดลายสวยงามแต่ก็ให้ความรู้สึกน่าขนลุกมากกว่า มิหนำยังมีอะไรที่คล้ายกับเส้นเลือดเล็กๆ มากมายที่โผล่ออกมาจากใต้กระจก ซึ่งถูกโยงมาเชื่อมกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ชุดหนึ่งที่อยู่ด้านหน้า รวมถึงมีโยงไปด้านหลังอีกมากมายหลายเส้น
ชาเกลขนลุกวาบทั้งตัว น้ำตาไหลออกมาอย่างที่ไม่มีใครไม่ทราบสาเหตุในทันที
“นี่คือกระจกแห่งชะตากรรม”
ในขณะที่ท่านผู้นำสูงสุดแนะนำสิ่งนี้ ชาเกลกลับพุ่งตัวออกไปข้างหน้าทะลุผ่านม่านกั้น เพื่อมองสิ่งที่อยู่น่าจะมีอยู่ด้านหลังกระจกบ้านนั้นให้ชัดเจนขึ้น
“ชาเกล!”
เอ็ดเวิร์ดเอ่ยเรียกเจ้าของชื่อนั้นอย่างตื่นตกใจ ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะกลายเป็นเด็กซนแบบนี้
“ไม่เป็นไรหรอก ตอนเข้ามาครั้งแรกผมก็อยากรู้อยากเห็นเหมือนกัน ไหนๆ ก็ยังพอมีเวลา เรื่องนี้ก็เป็นปัญหาสำคัญเหมือนกัน พวกคุณแหวกผ้าม่านไปดูที่ด้านหลังกระจกสิ”
ทุกคนเดินผ่านผ้าม่านเข้าไปดูสิ่งที่อยู่ด้านหลังของกระจก สิ่งที่อยู่บนแท่นปูนสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่สูงขึ้นจากพื้นคือสิ่งที่คล้ายกับโลงศพ มันมีความใสลักษณะพื้นผิวเหมือนแก้ว ที่สำคัญที่สุดคือมีหญิงสาวผมยาวสีดำคนหนึ่งที่นอนอยู่ในนั้น แม้จะเหมือนคนนอนหลับที่สวมเสื้อผ้าคล้ายกับชุดโบราณสีขาวล้วนทั้งตัว แต่รูปหน้ากับผิวพรรณอันหมดจดก็แสดงให้เห็นถึงความงดงามของผู้ที่นอนหลับใหลนี้
“อย่าแตะต้องโลงนะ มันมีระบบป้องกันภัย ไฟอาจจะช็อตจนหัวใจวายเลยก็ได้”
ชาเกลยั้งมือของตัวเองที่กำลังจะเอื้อมไปแตะไว้ได้ทัน ก่อนที่ฟอแกนด์จะเดินเข้าไปดึงแขนให้เขาถอยหลังห่างออกมา
“พวกเธอคงพอเดาได้แล้ว นี่คือเจ้าหญิงคิเรอา… ผู้ให้กำเนิดพลังวิญญาณทั้งหมดของพวกเรา ก็คล้ายๆ กับของวิเศษของตระกูลยูคิฮารุ ท่านคิเรอาเองก็ถูกสะกดทั้งๆ ที่ยังมีชีวิตเพื่อให้พลังการให้กำเนิดพลังวิญญาณของท่านยังคงกระจายสู่ผู้คนทั่วไปได้”
แม้จะเคยเห็นนกไฟของเคนเซย์มาบ้างแล้วแต่เฮคเตอร์ก็ขนลุกไม่น้อยเมื่อเห็นภาพนี้ โดยเฉพาะเส้นเลือดที่โยงกับกระจกเหมือนสายไฟ ชายหนุ่มหันไปมองชาเกลที่ยืนนิ่งอึ้งเหมือนเจอเรื่องช็อกอะไรสักอย่างเข้า น่าสงสัยว่าหมอนี่เป็นอะไรหรือเปล่า เฮคเตอร์แทบไม่เคยเห็นเพื่อนรักหลุดอาการใจร้อนทำอะไรผลีผลามแบบนี้เลย
“แต่โดยปกติร่างสะกดที่เป็นกระจกกับร่างจริงที่เป็นกายหยาบมนุษย์ ไม่น่าจะปรากฏออกมาพร้อมกันได้นะครับ หรือมีอะไรที่พิเศษกว่านั้นอีก”
“ไม่หรอก อย่างที่เคนเซย์พูดนั่นแหละนี่คือเรื่องผิดปกติ เมื่อก่อนก็มีแค่กระจกจริงๆ นั่นแหละ บันทึกของผู้บัญชาการกองปราบวิญญาณประมาณสองรุ่นก่อนบันทึกไว้ว่า เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับกระจกแห่งชะตากรรม อยู่ๆ ก็มีร่างของหญิงสาวปรากฏขึ้นมา ตอนแรกก็ยังดูลางเลือน แต่นับวันกลับยิ่งเห็นชัดขึ้นทุกวันๆ จนกระทั่งเจ้าหญิงเฌอรีนเกิดนั่นแหละ ที่ทำให้สภาพเจ้าหญิงคิเรอาเด่นชัดขึ้นจนเหมือนคนนอนหลับเฉยๆ แบบนั้น ถ้าวิเคราะห์เทียบกับอัตราการปะทุพลังวิญญาณที่น้อยลงทุกที ยิ่งมีเจ้าหญิงเฌอรีนเกิดขึ้นมาแถมยังมีพลังแบบนั้น แสดงให้เห็นได้ชัดว่าพลังของเจ้าหญิงคิเรอาอ่อนแรงลงทุกทีแล้ว”
ทุกคนที่เพิ่งเคยได้ยินเรื่องนี้อึ้งจนพูดไม่ออก จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากพลังของกระจกแห่งชะตากรรมหมดไป
“ก่อนถูกสะกดมาเป็นแบบนี้เธอเองก็น่าจะเป็นคนเหมือนพวกเรามาก่อนไม่ใช่เหรอครับ ถูกใช้งานหนักมาตลอดเกือบสองพันปีแบบนี้ ต่อให้มีพลังวิญญาณเยอะแค่ไหนเป็นใครก็คงมีหมดแรงบ้างเหมือนกัน”
ชาเกลพูดออกมา เขายังคงจ้องมองเข้าไปภายในโลงแก้วนั้นด้วยสายตาเศร้าสร้อย
“พูดไปก็จริงนั่นแหละ แต่ก็ต้องยอมรับว่าถ้าไม่มีพลังของท่านคิเรอากองปราบวิญญาณจะต้องสั่นคลอนแน่ๆ เอาเถอะ...ปัญหานี้เอาไว้ก่อน ตอนนี้เรายังมีอีกปัญหาเร่งด่วนที่ต้องจัดการ ทุกคนตามมาทางนี้”
แม้จะดูไม่เต็มใจนักแต่ชาเกลก็ยอมเดินตามทุกคนออกมาด้านหน้าแต่โดยดี ผู้มีอำนาจสูงสุดในห้องกดอะไรบางอย่างบนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่ตรงหน้ากระจก ก่อนที่อยู่ๆ กระจกจะเกิดปฏิกิริยาบางอย่างขึ้นมา ในนั้นแสดงภาพขึ้นเหมือนจอภาพแผนที่โลก จนกระทั่งเกิดจุดสีแดงกะพริบออกมา
หน้าจอคอมพิวเตอร์ก็ปรากฏแผนที่เช่นเดียวกัน ก่อนที่จะถูกซูมเข้าอย่างละเอียดและบันทึกพิกัดไว้ เอ็ดเวิร์ดถูกไหว้วานให้จัดการส่งสัญญาณพิกัดนี้เข้าไปที่มือถือของเฮคเตอร์กับชาเกล
“นี่คือพิกัดที่อยู่ของคุณเฟย์นะ เฮคเตอร์ ชาเกล ให้พวกคุณทั้งสองแอบไปสำรวจข้อมูลที่นั่นคร่าวๆ มา ระวังให้มากอย่าให้อีกฝ่ายรู้ตัวก่อน”
คำสั่งโดยตรงจากผู้บัญชาการกองปราบวิญญาณทำให้เจ้าหน้าทั้งสองขานรับ
“ผมไปด้วย”
“ไม่ได้”
ฟอแกนด์ขัดเคนเซย์ขึ้นมาในทันที
“ถึงจะเคลื่อนไหวสะดวกแต่นกไฟของนายเตะตาเกินไป แถมฉันไม่คิดว่านายจะยั้งสติได้พอ เดี๋ยวจะไปทำแผนใหญ่เราแตกเปล่าๆ”
“แผน...แผนอะไรครับ”
เคนเซย์ขมวดคิ้วหันมาทางอย่างข้องใจถึงที่สุด
“ฟังนะเฮคเตอร์ ชาเกล พวกนายแค่ไปสำรวจสถานที่เพื่อเตรียมแผนบุกหากที่นั่นเป็นฐานที่มั่นของพวกมัน ต่อให้เจอเฟย์นะก็อย่าเพิ่งพากลับมา เราจะใช้โอกาสนี้บุกทำลายฐานทัพของศัตรู”
เคนเซย์ได้แต่จ้องมองหัวหน้าของตัวเองอย่างเหลือเชื่อ เฟย์นะถูกนำไปเป็นเหยื่อล่อไปแล้ว
“ใจเย็นก่อนนะเคนเซย์ พวกมันคงต้องการตัวคุณเฟย์นะจริงๆ ถึงได้กล้ามาลักพาตัวไป เธอต้องมีความสำคัญมากจนรับประกันได้ว่าน่าจะยังปลอดภัยแน่ๆ”
เอ็ดเวิร์ดหาคำพูดปลอบใจน้องเล็กของหน่วยขึ้น
“ใครจะรู้ล่ะครับ! ถ้าเฟย์นะไม่ได้มีพลังแบบวันนั้นเหมือนที่เจ้าพวกนั้นอาจจะต้องการตัวแล้ว เธออาจจะหมดประโยชน์ทันทีเลยก็ได้!”
“เคนเซย์!”
จนท้ายก็เป็นฟอแกนด์ที่ขึ้นเสียงตักเตือน
“ความจริงพวกนายไม่มีสิทธิ์เข้ามาที่นี่ด้วยซ้ำ จากหลายเหตุการณ์ที่ผ่านมาตอนนี้เรากำลังสงสัยอย่างหนักว่าในกองปราบอาจจะมีสปายแฝงตัวอยู่ เราจะไม่ส่งพิกัดนี้ไปที่ห้องบัญชาการจนกว่าพวกนายจะไปถึง แต่เราปรึกษากันแล้วว่าอย่างน้อยถ้าไม่ได้ไปด้วย นายควรจะรู้ก่อนว่าเฟย์นะอยู่ที่ไหน กลับไปออฟฟิศแล้วนั่งสงบอารมณ์เตรียมตัวซะ อีกไม่เกินสี่ชั่วโมงข้างหน้ารับรองว่านายจะได้อาละวาดสมใจแน่ๆ”
“......เข้าใจแล้วครับ”
เคนเซย์กำหมัดเข้าแน่นทั้งสองมือ ก่อนจะกัดฟันตอบรับกลับไป
“พวกผมคงต้องไปเตรียมตัวสักหน่อยแล้วจะรีบไปทันทีครับ”
ชาเกลเอ่ยขึ้น เขาดูพร้อมที่จะเข้าสนามรบแล้ว
“ผมมีเรื่องจะขอร้องนิดหน่อย ให้โซอีอยู่ที่นี่จนกว่าผมจะกลับมาได้มั้ยครับ ดูแล้วที่นี่คุ้มกันภัยหนาแน่นที่สุด ยิ่งถ้าสงสัยว่ากำลังมีสปายจริงรึเปล่า ยิ่งไม่ควรให้คนอื่นรู้ว่าเธออยู่ที่ไหนจริงมั้ย ถึงเฟย์นะจะโดนลักพาตัวแต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร พวกมันก็น่าจะยังต้องการตัวโซอีแน่นอน ผมต้องแน่ใจว่าเธอจะปลอดภัยที่สุดก่อนจะออกไปตั้งสติทำงานได้ ยิ่งถ้ารู้ว่าโซอีมีพลังแบบไหนแล้ว ถึงไม่นับเรื่องส่วนตัวของผม แต่กองปราบก็เสียโซอีไปไม่ได้เด็ดขาดนะครับ”
เฮคเตอร์ยื่นข้อเสนอก่อนออกไปปฏิบัติงาน หากว่ากันตามเหตุผลไม่นับเรื่องส่วนตัว เหตุผลของเฮคเตอร์ก็ฟังขึ้นทีเดียว
“โซอีมีพลังแหกกฎพวกนักสะกดวิญญาณครับ เธอคลายสะกดของคนอื่นได้”
ฟอแกนด์รายงานข้อมูลใหม่กับเจ้านายที่ยศสูงกว่า ผู้บัญชาการสูงสุดขมวดคิ้วหันมามองโซอีอย่างตื่นตกใจทีเดียว
“นั่นสินะ...เข้าใจแล้ว ให้คุณโซอีอยู่ที่นี่ก็ได้ แต่สุดท้ายหน่วยเคซีโร่น่าจะต้องไปออกปฏิบัติการกันหมด ผมเองก็ต้องไปประจำการอยู่ห้องบัญชาการ อยู่ในนี้คนเดียวมันก็ออกจะ...โหวงเหวงไปนะ”
มองบรรยากาศรอบตัวแล้วทุกคนก็แทบจะเห็นด้วยว่าจริงทีเดียว
“ฉันพออยู่คนเดียวได้ค่ะ ไม่เป็นไร อยู่ที่ไหนก็ได้แค่มีของกินก็พอแล้ว”
โซอียืนยันออกมากับทุกคน แต่เคนเซย์กลับนึกถึงคนคนหนึ่งขึ้นมาได้ ชายหนุ่มดูใจเย็นลงมากแล้ว
“ถ้าต้องหาคนที่พอจะไว้ใจได้ งั้นให้ธาวินมาอยู่เป็นเพื่อนก็น่าจะพอได้นะครับ เพราะถ้ารวมพลกันจริงๆ คุณโซเฟียก็อาจจะต้องไปด้วย ธาวินเองก็เป็นนักสะกดวิญญาณที่เหลือน้อยที่เราต้องดูแลให้ดีเหมือนกัน แต่อาจจะต้องฝากคุณโซอีเตือนหมอนั่นให้มากๆ ว่าอย่าซนไปจับโน่นนี่ ห้องนี้คลื่นพลังวิญญาณแรงมาก ดีไม่ดีเดี๋ยวจะสลบจนต้องหามไปแผนกแพทย์วิญญาณอีกรอบ”
ดูเหมือนจะไม่มีใครแย้งข้อเสนอนี้อีก
“เฮคเตอร์ ไปรับตัวธาวินมาที่นี่ก่อนแต่อย่าให้ใครเห็นล่ะ ตกลงตามนี้ แยกย้ายได้”
ฟอแกนด์ปิดประชุมลับอันเร่งด่วนนี้ลง ก่อนจะเดินกลับไปขึ้นลิฟต์กับท่านผู้นำสูงสุด เอ็ดเวิร์ด และเคนเซย์
“เดี๋ยวพวกผมจะออกไปเอง”
เฮคเตอร์บอกกับคนในลิฟต์ก่อนที่ประตูจะปิดลงไป
“ฉันจะไปตามหาธาวินมาส่งที่นี่ นายอยู่เป็นเพื่อนโซอีก่อนนะ”
“ถ้าไม่มีกุญแจเปิดลิฟต์ที่นี่ก็ห้องขังดีๆ นี่เอง คงเข้าออกได้แค่พลังแค่นายนั่นแหละ รีบไปเถอะ”
ร่างของเฮคเตอร์หายไปจากตรงนั้น ทิ้งให้ชาเกลกับโซอีอยู่กันตามลำพัง
“นึกไม่ถึงเลยว่ามั้ย ถ้าต้องอยู่ในนี้คนเดียวมาสองพันปีจะเหงาแค่ไหนนะ”
ชาเกลพูดขึ้นมาอย่างเลื่อนลอย ก่อนจะเดินกลับเข้าไปยืนมองอยู่ที่หน้าโลงแก้วอีกครั้ง
เมื่อแยกย้ายกับคนของหน่วยเคซีโร่ที่ต้องกลับไปเตรียมตัว มือถือของผู้บัญชาการกองปราบวิญญาณก็ดังขึ้น เห็นชื่อที่ขึ้นแสดงอยู่บนหน้าจอแล้วชายวัยใกล้เกษียณก็แทบไม่อยากกดรับสายเลย
“สวัสดีครับท่านผู้บัญชาการกองปราบปราม”
“ส่งพิกัดที่อยู่ของเฟย์นะมา”
ผู้รับสายไม่แปลกใจกับคำขอนั้น แต่ถึงจะเป็นเพื่อนกันก็เถอะ เรื่องงานแบบนี้เขาคงต้องแยะแยะ
“ขออภัยด้วยครับท่าน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับฝ่ายมนุษย์ เราขอรบกวนให้รายงานข่าวที่เกี่ยวข้องกับผู้ก่อการร้ายก็พอ”
“นี่ไม่เกี่ยวกับงาน ไม่เกี่ยวกับกองปราบปรามหรือกองปราบวิญญาณทั้งนั้น ฉันขอร้องนายในฐานะเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายกันมา นี่เป็นเหตุผลส่วนตัวของตระกูลยูคิฮารุที่จะไปเอาตัวลูกสะใภ้ของเราคืน!”