ตอนที่แล้วตอนที่ 36 ความในใจของลินจิ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 38 การเผชิญหน้ากับเหล่าโอนิ (鬼)

ตอนที่ 37 หลังจากนี้…


ตอนที่ 37 หลังจากนี้…

 

รุ่งเช้า หลังจากเตรียมตัวเรียบร้อย ทั้งสองจึงตรงไปยังห้องรับรองเพื่อกล่าวลา

‘จิฮาดะ ริวไซ’ ในร่างของท่านชายอาเมะกำลังนั่งเท้าคางอย่างไม่มีอะไรทำ เมื่อเห็นทั้งสองเข้ามาจึงรีบปรับท่านั่งก่อนลุกยืน

“พวกท่าน จะไปกันแล้วหรือ”

เจ้าของเสียงมอบใบหน้ายิ้มแย้มให้ทั้งสองด้วยดวงตากระจ่างใส ชุนจึงพยักหน้าแทนคำตอบว่า ‘จะไปแล้ว’ส่วนบ่าวรับใช้ซึ่งนั่งพื้นก็มองทั้งสามตาปริบ ๆ

ลินจิปรายตามองไปยังอาผิงและบ่าวรับใช้คนอื่น ๆ ซึ่งเกิดขึ้นจากหุ่นอาคมกระดาษของท่านชายอาเมะ พลางคิดว่า…สีหน้าแววตาและการตอบสนองของคนพวกนี้ช่างดูมีชีวิตชีวาราวกับมนุษย์จริงเสียเหลือเกิน

แล้วชุนก็เอ่ยปาก

“ขอบคุณท่านมาก”

เด็กหนุ่มเห็นชุนแสดงการขอบคุณ จึงนึกได้ว่าตนก็ควรทำเช่นกัน จึงก้มศีรษะลงเล็กน้อย

“ขอบคุณมากนะครับ”

“แหม ๆ ไม่ต้องพิธีรีตองมากก็ได้”

ท่านชายอาเมะยิ้มเจื่อน ยกมือปัดด้านหน้าประมาณว่าไม่เป็นไร การช่วยเหลือผู้อื่นถือเป็นพื้นฐานของเซียนซึ่งกำเนิดมาจากผู้ที่มีจิตเมตตา หากมีพลังอำนาจแล้วไม่คิดจะใช้ประโยชน์เพื่อผู้อื่น คำว่า ‘เซียน’ คงไม่ต่างอะไรกับเครื่องประดับสวยงามไร้ซึ่งประโยชน์

เมื่อเสียงคล้ายสายลมพัดหวิวก็ดังขึ้น ทั้งสามพลันหยุดบทสนทนามองออกนอกหน้าต่าง

“อ๊ะ มีคนมาตามน่ะ”

หลังจากที่ท่านชายอาเมะเอ่ย ร่างอาชาอสูรสีขาวสง่าก็ปรากฏอยู่นอกหน้าต่าง แววตาลุกวาวดุจเปลวเพลิง

“เพกัส…”

ลินจิสะพายเป้วิ่งตรงไปยังหน้าต่าง ยื่นฝ่ามือออกสัมผัสใบหน้าของม้าอสูร ชุนเห็นเช่นนั้นจึงค้อมศีรษะลาก่อนเหลียวหลังตามลินจิไป

จู่ ๆ ท่านชายอาเมะก็ร้องเรียก

“เดี๋ยว… พวกท่านจะไปไหนกันต่อหรือ”

สิ้นสุดคำถาม ชุนจึงหยุดเดินแล้วหันกลับมา ลินจิซึ่งกำลังนั่งบนหลังม้าอสูรก็มองมายังท่านชายอาเมะเช่นกัน

ชุนตอบท่านชายอาเมะว่า…

“ข้ากำลังออกตามหาผลึกดวงดาว”

ท่านชายอาเมะได้ยินเช่นนั้นจึงเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ การรวบรวมผลึกดวงดาวไม่ใช่เรื่องง่าย หากตามหาอย่างไร้ทิศทางมีแต่จะเสียเวลาเปล่า เช่นนั้นจึงถาม

“พวกท่านทราบหรือ ว่าผลึกดวงดาวอยู่ที่ไหน”

คำถามตรงจุดชวนให้ชุนหยุดคิดทันที จากนั้นจึงตระหนักได้ว่า แท้จริงแล้วตนไม่ทราบอะไรเลย

ท่านชายอาเมะเห็นสีหน้าของชายหนุ่มก็เดาออกว่าคงไม่รู้ จึงยิ้มหยีหัวเราะฮะฮะ เอ่ยว่า…

“มีตำนานเล่าว่า ต้นไม้ปีศาจ ‘เก็นจา’ ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกในป่าโยไก สามารถให้คำตอบของคำถามซึ่งเกิดในระยะเวลาหมื่นปีที่ผ่านมาได้”

“ต้นเก็นจางั้นเหรอ”

ชายหนุ่มร่างสูงพึมพำ ท่านชายอาเมะจึงยิ้มพร้อมพยักหน้าให้แทนคำตอบว่า ‘ใช่แล้ว’ ตอนนั้นลินจิหันมองทั้งคู่สนทนา เมื่อไหร่จะไปสักทีน่ะ ส่วนม้าอสูรก็หรี่ดวงตาสีอาทิตย์อัสดงหันมองท่านชายอาเมะ

ระหว่างนั้นท่านชายอาเมะก็เล่าต่อ…

เก็นจาเป็นพรรณไม้ปีศาจซึ่งกินของเหลวในร่างกายของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดเป็นอาหาร ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ หรือปีศาจ หากมีของเหลวในร่างกายล้วนเป็นอาหารของมันทั้งสิ้น เมื่อมันสูบสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นเข้าไป มันจะออกผลเป็นศีรษะของสิ่งนั้น”

ขณะที่ท่านชายยังเล่าไม่จบ ลินจิก็สะดุ้งร้อง “อึ๋ย…” ออกมา ของน่าขยะแขยงแบบนั้นใครจะอยากเข้าไปใกล้กัน

“ทั้งนี้อายุของต้นเก็นจาก็ล่วงเลยมาหลายหมื่นปีแล้ว ทำให้มีพลังปีศาจที่แข็งแกร่งยิ่งนัก การจะได้คำตอบจากมันไม่ใช่เรื่องง่าย หากพวกท่านคิดจะไปก็โปรดระวังตัวด้วยเถิด”

ชุนพยักหน้า ดวงตาหรี่ลงจับจ้องผู้พูดอย่างไม่วางตา เอ่ยว่า…

“ไม่ว่าด้วยวิธีไหน ข้าก็จะรวบรวมผลึกดวงดาวมาให้ครบ”

น้ำเสียงเรียบ เยือกเย็น แต่ทรงพลัง ไม่ปรากฏแม้วี่แววของความกังวลหรือลังเลเลยสักนิด

จากนั้นชุนจึงก้มศีรษะลาก่อนตรงขึ้นหลังเพกัสซึ่งลินจินั่งอยู่ด้านหน้า ท่านชายอาเมะมองตามด้วยความเมตตา ยกมุมปากเล็กน้อย

“ขอบคุณท่านชายมากนะคร้าบ”

ลินจิยิ้มหวานพลางตะโกนโบกมือลา เหล่าบ่าวรับใช้เห็นก็โบกตอบเช่นกัน เสียงสดใสไร้ซึ่งการโป้ปดกระทบโสตประสาท ม้าอสูรพลันร้องเสี่ยงต่ำ ดวงตาหรี่ลงคล้ายกับยิ้ม มาถึงตอนนี้ รอยยิ้มก็ผุดบนใบหน้าของทุกคนอย่างเลี่ยงไม่ได้ ชุนเองก็เช่นกัน

“ขอให้พวกท่านโชคดี”

จิฮาดะ ริวไซ ในร่างท่านชายอาเมะโค้งคำนับพร้อมเหล่าบ่าวรับใช้ เพลิงสีส้มบนเกือกม้าอสูรลุกโชติช่วงสว่างไสวก่อนพุ่งตรงไปยังทิศตะวันออก เหลือทิ้งไว้เพียงละอองเพลิงสีส้มโปรยประกายปกคลุมหน้าต่างห้องรับรองของปราสาทจิฮาดะ

ขอให้พวกท่านปลอดภัย 

 

ทั้งสองกำลังมุ่งหน้าไปยังป่าโยไกซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกโดยต้องข้ามเกาะยุยไป ลินจิได้ฟังเรื่องราวของพรรณไม้ปีศาจเก็นจาก็รู้สึกไม่ค่อยดี ของอันตรายเช่นนั้นเป็นไปได้ตนก็ไม่อยากยุ่ง แต่เพื่อรวบรวมผลึกดวงดาวให้ครบก่อนอุรามิ วิธีนี้อาจเป็นเพียงหนทางเดียวที่จะได้เบาะแสทั้งหมดมา

ท้องฟ้าสีคราม หมอกเมฆสีขาวลอยพัดผ่าน ชุนซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังเห็นลินจิเงียบจึงเอ่ยถาม

“เจ้า… คิดอะไรอยู่”

“อ๊ะ…”

เด็กหนุ่มสะดุ้งก่อนหันไป

“เปล่าครับ”

รอยยิ้มที่สดใสมอบให้กับคนข้างหลัง ทว่าเมื่อหันกลับมาสีหน้ากลับเปลี่ยนไป

ตนมาทำอะไรที่นี่

หากรวบรวมผลึกดวงดาวแล้วจะต้องจากที่นี่ไปเหรอ

ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง

สุดท้ายจะต้องจากกันเหรอ

“นี่… เจ้าเป็นอะไรกันแน่”

เสียงทุ้มถามจากด้านหลังอย่างแผ่วเบา เมื่อหันไปสองสายตาก็ประสานกันอย่างไม่ทันตั้งใจ ความรู้สึกภายในสื่อออกมาอย่างไม่อาจต่อต้าน ความผูกพันก่อตัวขึ้นโดยทั้งสองไม่ทันตั้งตัว

หนึ่งวินาที… สองวินาที…

นัยน์ตาคู่นั้นสั่นไหว ลินจิรีบหันกลับมา ปิดตาปี๋แล้วส่ายหน้า

“ก็เป็นเทพอัญเชิญของคุณชุนไงครับ”

รอยยิ้มผุดบนใบหน้าอีกครั้ง

“หืม”

ชุนมองด้านหลังของคนข้างหน้า พวกเขาผ่านเรื่องราวมามากมาย ความทุกข์ ความสุข อุปสรรค อันตราย แม้บางครั้งอาจจะทะเลาะกัน แต่วันนี้กลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันอย่างปฏิเสธไม่ได้

“ถ้ารวบรวมผลึกดวงดาวแล้วเจ้าจะ…”

ประโยคจากคนข้างหลังยังไม่ทันจบ ลินจิก็เอ่ยแทรก…

“ทุกอย่างก็คงจะกลับมาสงบสุขเหมือนเดิมมั้งครับ”

เหมือนเดิมงั้นเหรอ

เสียงนั้นดังขึ้นในใจ คำตอบของตัวเองแท้ ๆ แต่กลับไม่มั่นใจเสียอย่างนั้น

แม้ริมฝีปากจะยกยิ้ม แต่ใบหน้าของเด็กหนุ่มกลับก้มลงช้า ๆ ดวงตาชุ่มน้ำสั่นไหว พอเงยหน้าขึ้นมา สายรุ้งสวยงามก็ปรากฏสะท้อนอยู่ในแววตาคู่นั้น

“อ๊ะ! สายรุ้งนี่ ต้องรีบอธิษฐานแล้ว”

สองมือพลันประสานกลางอก สองตาปิดลงอย่างแผ่วเบา

…ขอให้ได้อยู่กับคุณชุนตลอดไป…

ทำอะไรอยู่น่ะ คิ้วของชุนเคลื่อนเข้าหากัน มองอย่างสงสัย

“เรียบร้อย”

ริมฝีปากยกขึ้นเล็กน้อยขยับพึมพำ สองมืออธิษฐานกลางอกคลายออกจากกัน ดวงตาเปิดขึ้นรับแสงสว่างอีกครั้ง คนด้านหลังเฝ้ามองเด็กหนุ่มโดยแช่สายตาไว้อย่างนั้น

จู่ ๆ เสียงโครกครากก็ดังขึ้นมา

“อ๊ะ”

ลินจิลูบท้องตนเอง หันไปยิ้มแหยให้คนข้างหลัง

“ขอพักหน่อยได้ไหมครับ”

สายตาอ่อนโยนของชุนพลันเปลี่ยน หัวคิ้วกระตุกหงึก ก่อนจะกอดอกเบือนหน้าหนี ประมาณว่าอยากทำอะไรก็เชิญ

“หิวเจ้าก็พักสิ ใครบังคับเจ้ากัน”

“…”

ลินจิยู่หน้า อะไรกัน เมื่อครู่ยังดี ๆ อยู่เลย จู่ ๆ ก็ทำท่าเหมือนเด็กเอาแต่ใจเสียอย่างนั้น แต่เมื่อเห็นสีแดงฟาดใบหน้าของอีกฝ่ายตนจึงหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนหันกลับไป

“เพกัส หาที่พักให้หน่อยสิ เอาที่ร่ม ๆ นะ”

สักครู่จึงมีเสียงร้องของม้าอสูร เห็นดังนั้นชุนจึงเอียงคอแล้วหลับตาข้างหนึ่ง

“…ข้าสงสัยมานานแล้ว”

“หืม?”

ลินจิเหลือบมองใบหน้าด้านข้างของชุน

“ว่าไงเหรอครับ คุณชุน”

“เจ้าเพกัสนี่เชื่อฟังเจ้าเหลือเกินนะ”

เพกัสเป็นสัตว์อสูรผู้ซื่อสัตย์ ก่อนหน้านี้เคยเป็นสัตว์อสูรคู่ใจของเปี๊ยกโกะมาก่อน หลังจากที่เปี๊ยกโกะผนึกเพกัสไว้ เทพบุตรคิกิก็ได้กลายเป็นนายของมันโดยการปลดผนึก ทว่าเมื่อเทพบุตรคิกิได้พ่ายแพ้ต่อชุนจนสลายไป เพกัสจึงถือนับถือคนที่อยู่ใกล้ชิดมันที่สุด ณ เวลานั้นเป็นเจ้านาย

“จะว่าไปก็ใช่ พอเทพบุตรคิกิตายไป เพกัสอาจจะเหงาก็ได้มั้งครับ”

“อะไรจะสนิทกันไวขนาดนั้น คิกิเพิ่งจะปลดผนึกเพกัสมาเองนะ”

ลินจิยกนิ้วชี้จิ้มคางเงยหน้านึก

“อืม… ไม่รู้สิครับ”

ขณะที่ทั้งคู่คุยเรื่องสัพเพเหระใบหน้าของม้าอสูรพลันบิดเบี้ยวเป็นเชิงสงสัย

เมื่อรู้ว่าถูกมอง ลินจิจึงเอียงคอในองศาเดียวกับเพกัสแล้วกะพริบตาปริบ ๆ

ชุนเองก็ทำท่าเดียวกัน

ผ่านไปสักพักม้าอสูรจึงสะบัดหางเพลิงดังขวับแล้วลดระดับต่ำลง เป็นสัญญาณว่าพวกเขากำลังร่อนสู่พื้น

“เหวอ…”

ลินจิไม่ทันตั้งตัวจึงเกือบหล่นจากหลังของเพกัส ทว่ามือหนาจากด้านหลังก็ช่วยพยุงร่างนั้นเอาไว้

“นั่งให้มันดี ๆ หน่อยสิ”

“ขอบคุณครับ”

เด็กหนุ่มเหลียวหลังยิ้มเจื่อนหัวเราะแฮะ ๆ เป็นการขอโทษ ก่อนจะมองไปยังสายรุ้งซึ่งปรากฏก่อนหน้านี้

น่าเสียดายสายรุ้งหายไปเสียแล้ว เขาจึงเลื่อนสายตาลง หันเหความสนใจไปยังภาพใบไม้ปลิวลู่ลมเป็นคลื่นสวยงาม เด็กหนุ่มกำมือแน่นด้วยความดีใจ นี่เป็นครั้งแรกของเขาที่จะได้ปิ๊กนิกกลางป่า ถ้าตัดเพกัสออกไปจะเรียกว่าเดทก็คงได้

เมื่อเพกัสร่อนสู่พื้น ทิวทัศน์ก็เปลี่ยนเป็นทุ่งหญ้าสลับกับสีน้ำตาลของลำต้นของไม้ใหญ่นานาพรรณ ตรงพื้นเห็นหย่อมหญ้าสีเขียวสลับกับสีเหลือง ถึงอย่างนั้นก็เผยหน้าดินเป็นเส้นทางคดเคี้ยวอยู่เบื้องหน้า อาจเพราะมีคนสัญจรไปมาทางนี้บ่อย จึงทำให้ต้นหญ้าถูกเหยียบตายแห้งจนเหลือแต่พื้นดิน พวกเขาลงจากหลังของม้าอสูร ลินจิยกเป้สัมภาระสะพายขึ้นหลังช้า ๆ

“เจ้าหนู…”

เสียงแข็งเล็กน้อยของชุนเกือบโดนเสียงฮี่ ๆ ของเพกัสกลบ

“ว่าไง อะไรครับ”

“ไม่มีอะไรหรอก แต่ว่า…”

ถ้อยคำขาดหายเหมือนลังเล ผ่านไปสักพักเสียงแผ่วเบาจึงดังขึ้นราวกับเกรงใจ

“…ไหวหรือเปล่า”

“อืม… ไหวสิ”

“งั้นเหรอ”

“ครับ”

ลินจิตอบพลางเดินไปใต้ร่มไม้พร้อมกับชุน พอเหลียวหลังก็เห็นเพกัสกำลังเล็มหญ้าข้างทาง ตอนแรกเด็กหนุ่มอยากจะชวนเพกัสมาด้วย แต่เห็นท่าทีผ่อนคลายของม้าอสูรก็คิดว่า …คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง

เมื่อเดินมาถึงใต้ต้นไม้ใหญ่เขาก็ปลดเป้สัมภาระวางลงพื้น ทั้งสองก้มมองลงวัตถุสีดำซึ่งใส่ของมากมายไว้จนป่องราวกับจะแตกออก สำหรับชุนคงเรียกสิ่งนี้ว่าถุงผ้า

ลินจิหย่อนตัวนั่งลงบนผืนหญ้า ดึงสายสะพายเป้ขยับขึ้นมาตั้งบนตักแล้วรูดซิปรื้อของด้านใน

“อยู่ไหนนะ”

ก่อนออกจากตำหนักโมโมะ เขาได้เตรียมข้าวของเครื่องใช้ที่สำคัญ ขนม บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และของใช้จิปาถะ

“อ๊ะ”

เหมือนจะเจอแล้ว ลินจิดึงบะหมี่ถ้วยออกมาจากเป้ ทว่ามีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น

ชุนเพ่งมองอย่างสนใจ นั่นอะไรน่ะ

สองมือกุมบะหมี่ถ้วยไว้อย่างคิดถึง ของสิ่งนี้ถือว่าเป็นของหายากในโลกนี้ไปเสียแล้ว เขาเงยหน้ามองชายหนุ่มที่ยืนอยู่สลับมองอาหารสำเร็จรูปในมือของตัวเอง คิดในใจว่า …ต้องแบ่งสินะ

“อ๊ะ!”

ตอนนั้นเพกัสก็ส่งเสียงร้องขึ้นมา ดวงตาสีพระอาทิตย์ของม้าอสูรวาวโรจน์ เปลวเพลิงบนเกือกทั้งสี่ลุกโชนโดยพลัน เช่นนั้นชุนจึงรีบจับดาบ

“…”

พื้นดินสั่นสะเทือนราวกับมีแผ่นดินไหว ลินจิรีบเก็บถ้วยบะหมี่ใส่เป้แล้วสะพายแล้วลุกขึ้นทันที

“ขึ้นเพกัส!”

ชุนเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด คว้าเสื้อลินจิที่วิ่งเงอะงะไปยังเพกัสอย่างรวดเร็ว ทว่าจังหวะนั้นวัตถุคล้ายกิ่งไม้ขนาดใหญ่ก็หมุนปลิวมายังเพกัส เมื่อสังเกตจึงพบว่าเป็นกระบองหนาม

“เพกัส!”

เด็กหนุ่มตะโกน ยื่นสองมือไปด้านหน้าคล้ายจะบอกให้หลบ ทว่าสองเท้ากลับหยุดชะงักพร้อมกับชุน

วินาทีนั้นม้าอสูรพลันพุ่งหลบขึ้นกลางอากาศ ต้นไม้ในป่าทยอยหักโค่นลง สัญชาตญาณของชุนเตือนภัยทันที ดวงตาของเขาหรี่อัตโนมัติ มือหนึ่งกระชับดาบออกจากฝัก

“อ๊ะ!”

ลินจิเบิกตากว้าง ปรากฏตัวประหลาดคล้ายมนุษย์รูปร่างสูงใหญ่ แต่มีบางส่วนที่ไม่เหมือนมนุษย์ธรรมดาทั่วไป เขี้ยวเล็บของพวกมันคมกริบ สวมหนังเสือปกปิดร่างกาย บางตัวมีสามตา บางตัวมีสองเขางอกจากหน้าผาก บ้างมีผิวหนังสีแดง สีฟ้า และสีน้ำตาลคละ ๆ กันไป

[ทักษะ ‘หยั่งรู้’ เริ่มทำงาน]

[โอนิ ยักษ์/ปีศาจ เพศชาย] [โอนิ ยักษ์/ปีศาจ เพศชาย] [โอนิ ยักษ์/ปีศาจ เพศชาย] [โอนิ ยักษ์/ปีศาจ เพศชาย] [โอนิ ยักษ์/ปีศาจ เพศชาย] [โอนิ ยักษ์/ปีศาจ เพศชาย] [โอนิ ยักษ์/ปีศาจ เพศชาย] [โอนิ ยักษ์/ปีศาจ เพศชาย] [โอนิ ยักษ์/ปีศาจ เพศชาย] [โอนิ ยักษ์/ปีศาจ เพศชาย] [โอนิ ยักษ์/ปีศาจ เพศชาย] [โอนิ ยักษ์/ปีศาจ เพศชาย]

ข้อมูลหลั่งไหลมากมายจนลินจิรู้สึกปวดหัว เขาจึงรีบหยุดใช้ทันที

“ยักษ์โอนิ ! เจ้าต้องการอะไร?”

ชุนแผดเสียง คว้าลินจิมาหลบอยู่ด้านหลัง

“มอบตัวเทพเจ้ามา”

เสียงใหญ่ก้องกังวานจากบริเวณดงไม้ เมื่อทั้งสองเหลียวหันตามเสียงไปก็พบยักษ์สีเขียวร่างสูงใหญ่มีสี่เขา หากเทียบกับตัวอื่น ๆ ตัวนี้อาจถือว่าใหญ่ที่สุด ในมือของยักษ์อสูรถือกระบองหนามขนาดใหญ่ซึ่งเปล่งประกายสีแดง

 

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด