DC บทที่ 36: ตำหนักภารกิจ
อีกสองวันผ่านไปในพริบตา แต่ไม่มีทั้งซูหยางหรือหลานลี่ชิงออกมาจากห้อง เป็นเหตุให้บรรดาศิษย์ด้านล่างกังวลว่ามีอะไรผิดพลาดหรือเปล่าระหว่างการรักษา
“อาจารย์พูดว่ามันอาจจักใช้เวลาสักสองวัน แต่นี่มันปาเข้าไปสามวันแล้วตั้งแต่เธอขังตัวเองไว้ในห้องเพื่อรักษาซูหยาง”
“อัยหยา...ถ้ามีอะไรที่พวกเราพอทำได้เพื่อช่วยพวกเขา...แต่น่าเสียดาย...”
เหล่าศิษย์หญิงต่างพากันพูดคุยเกี่ยวกับซูหยางเรื่อยไปไม่ได้หยุดมาทั้งสามวันเป็นเหตุให้เซียวรู้สึกจะเป็นบ้า
“ซูหยางโน่นซูหยางนี่ ข้าเบื่อเหลือทนกับชื่อเขา” เซียวยืนขึ้นกระทืบเท้าออกไปจากอาคาร
บรรดาศิษย์พี่น้องของเธอพากันมองเธอจากไปด้วยรอยยิ้มสงสาร พวกเขาไม่รู้ว่าควรทำหรือพูดเช่นไรกับเธอดี
“ข้าเดาว่าพวกเราควรจะหมกมุ่นกับซูหยางน้อยลงกว่านี้แต่นี้เป็นต้นไป...”
“แต่ข้าอดไม่ได้...แค่เขามาที่นี่ก็ทำให้หัวใจข้าเต้นเร็วเป็นสองเท่ากว่าปกติ”
“ฮ้า...”
พวกเธอพากันถอนหายใจราวกับนัดกันไว้
ขณะนั้นเองก็มีเสียงฝีเท้าดังสะท้อนขึ้นมาจากบันได ทำให้ทุกคนพากันหันมองไปยังทิศทางนั้นโดยไม่รู้ตัว
“อะไรทำให้พวกเจ้าทุกคนถอนใจ”
ซูหยางปรากฏตัวขึ้นที่บันไดพร้อมรอยยิ้มสดชื่นบนใบหน้า
“ซูหยาง เจ้าสบายดี”
บรรดาศิษย์หญิงรู้สึกโล่งอกอย่างมากเมื่อพวกเธอเห็นหน้าเขา
“ทำไมข้าต้องไม่สบายด้วย” ซูหยางถามพวกเธอด้วยท่าทางสงสัยเล็กน้อย
หน้าตาสงสัยของเขาทำให้เหล่าศิษย์หญิงรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ
“เอ๋ แต่ชีวิตเจ้าเจียนอยู่เจียนตายเมื่อไม่กี่วันก่อน...มิใช่รึ...” พวกเธอถามเขาด้วยดวงตาเปี่ยมความสงสัย
ซูหยางพลันตระหนักว่าสิ่งใดที่พวกเธอพูดถึง เมื่อพวกเธอพูดถึงสภาพร่างกายของเขา เขาหัวเราะเสียงดัง “โอ เรื่องนั้นเอง ผู้อาวุโสหลานทำการรักษาข้าอย่างดีเยี่ยม ดีจนกระทั่งรู้สึกสุขสบายมากกว่าเจ็บปวดตลอดเวลาที่รักษา”
“เช่นนั้นหรือ...”
แม้ว่าพวกเธอไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้ซูหยางดูเปลี่ยนแปลง แต่พวกเธอรู้สึกว่าบางอย่างในตัวเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก ราวกับว่าเขาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
“ข้าคงเป็นเหตุให้พวกเจ้าทุกคนประสบปัญหาขณะที่อยู่ที่นี่ ข้าจักตอบแทนบุญคุณนี้สักวัน”
“มิเป็นไร เจ้ามิต้องเกรงใจ ซูหยาง พวกเราล้วนถือเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของตำหนักโอสถนี้ หรืออีกนัยหนึ่งเป็นครอบครัวเดียวกัน”
ซูหยางยิ้มและกล่าว “งั้นเอางี้ไหม คราวหน้าถ้าเจ้าไปให้ข้าช่วยดูแล ข้าจักทำให้ฟรี ข้ายังจักยอมบริการพวกเจ้าอะไรก็ได้ตามที่เจ้าต้องการ”
เมื่อบรรดาหญิงสาวได้ยินคำกล่าวของเขา สายตาของพวกเธอเบิกกว้างด้วยความสุข
“จริงนะ ข้ารับรองไม่เกรงใจถ้าข้าเจอเจ้าครั้งหน้า”
“อื้อ งั้นพบกันคราวหน้า” เขาผงกศีรษะ
และก่อนที่เขาจะเดินออกไปจากประตู เขากล่าวกับพวกเธอว่า “อ้อใช่ ผู้อาวุโสหลานใช้พลังมากเกินในการรักษาข้า ขอให้ข้าช่วยบอกพวกเจ้าว่าอย่าเพิ่งรบกวนเธอสักสองสามวัน”
–
–
–
หลังจากออกจากตำหนักโอสถด้วยจิตแจ่มใส ซูหยางมุ่งตรงไปยังตำหนักภารกิจ
“พลังปราณข้าข้ามไปอีกเขตหลังจากฝึกฝนเพียงสามวัน นี่จักสะดุดตาเกินไปและนำพาปัญหามิสิ้นสุดถ้านิกายรู้เข้า ข้าจักรับภารกิจบางอย่างเพื่อจักได้มีข้ออ้างเผื่อใครถาม”
ซูหยางรู้ว่าเขาไม่สามารถซ่อนพลังการฝึกปรือที่พุ่งพรวดขึ้นรวดเร็วราวท้าทายสวรรค์จากนิกายได้ตลอดไป นั่นจะต้องเปิดเผยขึ้นไม่ช้าก็เร็ว เพื่อให้มั่นใจว่าพวกเขาจะไม่ถามไถ่มากเกินไปเมื่อเวลานั้นมาถึง เขาตัดสินใจที่จะเตรียมการบางอย่าง
ตำหนักภารกิจเป็นอาคารที่บรรดาศิษย์และผู้อาวุโสรับทำภารกิจที่ยุทธภพเสนอให้กับนิกาย ภารกิจเหล่านี้ล้วนสำคัญต่อนิกายเมื่อพวกมันล้วนช่วยเพิ่มชื่อเสียงของนิกายที่มีต่อยุทธภพ อีกทั้งเพิ่มความเชื่อถือจากผู้ที่เสนอภารกิจตั้งแต่ต้น
ภายในตำหนักภารกิจ มีเหล่าศิษย์นอกจำนวนมากเดินไปมาขณะที่มองดูประกาศที่ติดไว้ที่ผนัง
ภารกิจล้วนจัดเป็นหมวดหมู่ตามเนื้อหาภายในภารกิจ เช่นภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการล่าก็จะอยู่ในหมวดการล่า ภารกิจที่ต้องการให้เหล่าศิษย์ทำเรื่องจุกจิกทั่วไป เช่นงานทำความสะอาดก็จะจัดอยู่หมวดงานเบ็ดเตล็ด
ซูหยางเดินไปดึงภารกิจจากผนังของหมวดการล่าอย่างสุ่มๆ ไม่สนใจจะมองดูมันแม้แต่น้อย
เขาเดินไปยังโต๊ะด้านหน้าเพื่อบันทึกภารกิจที่จะทำโดยผู้อาวุโสนิกาย
“หืม ล่าแมวสายฟ้าที่หุบเขาฟ้าคำราม” เมื่อผู้อาวุโสที่ทำหน้าที่บันทึกภารกิจเห็นภารกิจที่ซูหยางเลือกทำ เขามองดูซูหยางด้วยความประหลาดใจ
“เจ้าต้องการรับภารกิจนี้รึ แมวสายฟ้าปกติมีพลังการฝึกปรืออยู่ที่ระดับแปดถึงเก้าปฐมวิญญาณ และการเคลื่อนไหวที่เร็วดุจสายฟ้านั่นยังยากแม้กระทั่งศิษย์ในจักรับมือไหว อีกทั้งสภาพแวดล้อมเปี่ยมอันตรายที่หุบเขาฟ้าคำราม...เจ้ามั่นใจว่าเจ้าต้องการทำภารกิจนี้ พลังฝีมือของเจ้าอยู่ที่ระดับเท่าไร”
“เขตคัมภีร์วิญญาณระดับหนึ่ง” ซูหยางโกหกหน้าตาย
“เจ้าอยู่ที่เขตคัมภีร์วิญญาณรึ แต่เจ้ายังเป็นศิษย์นอกอยู่” ผู้อาวุโสมองเขาด้วยความประหลาดใจกว่าเดิม
“ข้าวางแผนที่จักรับการทดสอบเป็นศิษย์ในหลังจากที่ข้าปรับฐานการฝึกฝนให้มั่นคงจากภารกิจนี้ ข้าเพิ่งทะลวงผ่านเมื่อมินานมานี้ ดังนั้นฐานพลังฝีมือข้ายังไม่เสถียร”
น้ำเสียงที่ชัดเจนและลื่นไหลของซูหยางไม่ทำให้เกิดข้อสงสัยใดต่อผู้อาวุโส เหมือนว่าเขาคุ้นเคยกับการพูดไร้สาระ
ผู้อาวุโสมองเขาอย่างเงียบๆอีกพักหนึ่งก่อนพยักหน้า “ดี ข้าขอให้เจ้าโชคดี อย่าฝืนตัวเองถ้าเจ้าตกอยู่ในอันตราย เรามิอาจรับการสูญเสียอนาคตศิษย์ในเช่นเจ้า”
“ชื่อเจ้า” ผู้อาวุโสพลันสอบถาม
“ซูหยาง”
“ซูหยางรึ” ผู้อาวุโสรู้สึกเหมือนเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน แต่เขาไม่อาจจะจำได้ว่าที่ไหนหรือเมื่อไรที่เขาเคยได้ยิน “นั่นหวังว่าเจ้าจักไปได้ดี” เขาพูดหลังจากเขียนชื่อซูหยางลงในสมุดบันทึก
“ขอบคุณผู้อาวุโส” ซูหยางประสานมือคารวะก่อนเดินออกไปจากตำหนักภารกิจ