ตอนที่แล้วบทที่ 35: ความตายครั้งแรกที่หุบเขาซ่อนมมังกร
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่37: เตือนภัยสู่อันตราย

บทที่36: เดรัจฉานสีเทา


บทที่36: เดรัจฉานสีเทา

ภายในป่าเงียบสงัดไร้สรรพเสียงสำเนียงของสิ่งใด ไม่ใช่แค่กับสัตว์หรือแมลง แต่กระทั่งเสียงของป่าก็ยังไม่มี ราวกับว่าชีวิตทั้งหลายในแผ่นดินผืนนี้ถูกชะล้างไปด้วยฝนเลือดและโดยกลืนกินไปจนหมดสิ้นพร้อมเสียงโหยหวนที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้

ไป่เลี่ยนและพวก อันประกอบไปด้วย กวนถง ชายร่างเล็ก กรามใหญ่ โหนกแก้มสูงมีนิสัยชอบแสดงความเห็น หากไม่มีไป่เลี่ยนเขามักชักจูงผู้อื่นให้คล้อยตามตน

คนที่สอง จิ้นซา รูปร่างสูง ผอม ท่าทางไร้เรี่ยวแรง แต่แท้จริงเป็นคล่องแคล่วว่องไว เชี่ยวชาญการสะกดรอยและวางกับดัก เคยจับเสือโคล่งยักษ์ที่ตระเวนฆ่าชาวบ้านด้วยการวางกับดักซ้อนกันห้าชั้น โดยที่ตัวเองไม่ต้องเสี่ยงชีวิตเผชิญกับเสือตนนั้นซึ่งๆ หน้า

คนที่สาม หลิวสง ใบหน้านิ่งเรียบ ไร้อารมณ์ เงียบขรึมพูดน้อย มีรูปร่างสันทัด เสียงส่วนใหญ่ว่าอย่างไร เขาก็เห็นด้วยเช่นนั้น เป็นเหมือนผีในกลุ่มที่สถานะเจือจางไร้ความสำคัญ เป็นคนที่ไม่มีความโดดเด่นในด้านใดเป็นพิเศษ ทว่าสามารถทำได้ทุกอย่าง

คนสุดท้าย อู่หยาง เป็นคนตัวสูงใหญ่รูปร่างใกล้เคียงกับไป่เลี่ยน มีแรงเยอะ ทว่านิสัยกลับต่างกันราวฟ้ากับเหว เพราะเขาค่อนข้างขี้กลัว ชอบกังวล นอกจากไม่มีความเด็ดขาดในการตัดสินใจ ยังมีนิสัยโลเล ขาดความเชื่อมั่น ทำให้มักถูกทุกคนในกลุ่มข่มอยู่เสมอโดยเฉพาะกับกวนถง มีเพียงไป่เลี่ยนเท่านั้นที่ปฏิบัติต่อเขาอย่างเท่าเทียม นั่นจึงเป็นเหตุผลให้เขาชอบที่จะตามติดอีกฝ่าย

ทั้งหมดออกเดินทางเข้ามาในป่าได้ราวครึ่งชั่วยามแล้ว (ประมาณหนึ่งชั่วโมง) จุดหมายแรกอยู่ที่กับดักที่จิ้นซาวางเอาไว้แถวน้ำตกเกล็ดมังกร

สาเหตุที่ป่าชางหลงถูกชาวบ้านเรียกกันว่าหุบเขาซ่อนมังกร และมีชื่อเรียกสถานที่ตามอวัยวะของสัตว์ในตำนาน เพราะลักษณะเทือกเขาแห่งนี้ หากมองจากด้านนอกป่ามันจะมีรูปร่างเหมือนกับมังกรตนหนึ่งขดตัวนอนหลับอยู่ โดนส่วนหัวจะหันไปทางด้านทิศตะวันออก และส่วนที่คล้ายหางจะหันไปทางตะวันตกเฉียงใต้

พื้นที่ป่าส่วนใหญ่อยู่ส่วนกลางใกล้กับที่ไป่เลี่ยนกับพวกเพื่อนบ้านสร้างกระท่อมเพื่ออยู่อาศัย และน้ำตกเกล็ดมังกรนับเป็นส่วนหัวใจที่ใช้เวลาเดินเข้าไปไม่ไกลนักก็จะถึง ที่นี่นับเป็นจุดศูนย์กลางสำคัญเพราะมันเป็นแหล่งน้ำหลักของทั้งคนและสัตว์ป่าที่อาศัยอยู่ที่นี่

ทางดินที่ใช้เดินสัญจรไปมาเป็นประจำกลายเป็นโคลนเหลวสีแดงเข้ม ต้นไม้บางส่วนใบร่วงจนหมดสิ้น เหลือเพียงกิ่งก้านยืนตายราวกับศพผอมโซที่มีเพียงร่างเน่าเปื่อย เมื่อทุกคนเดินเข้าใกล้จุดหมาย ไป่เลี่ยนส่งสัญญาณมือให้ทุกคนอยู่ในสภาวะเตรียมพร้อม

กวนถงนึกสงสัยเพราะตลอดทางทุกอย่างเงียบสงัดกระทั่งในเวลานี้ แล้วทำไมลูกพี่ใหญ่ถึงได้ทำท่าทางระแวง ทั้งที่ไม่มีอะไร หรือเขาจะเห็นอะไร

“พี่เลี่ยน ท่านเห็นอะไรอย่างนั้นหรือ?” ชายร่างเล็กขยับเข้าใกล้อีกฝ่ายแล้วกระซิบถาม

“...” ไป่เลี่ยนไม่ตอบทำเพียงส่ายศีรษะ

“หรือท่านได้ยินเสียงอะไร?” กวนถงกระซิบถามอีกครั้งแล้วมองรอบกายอย่างหวาดหวั่น ทำเอาคนอื่นๆ ที่รอฟังคำตอบกลัวขึ้นมาด้วย

“...” ทว่ากลับเป็นอีกครั้งที่ไป่เลี่ยนไม่ได้ตอบ แต่สั่นศีรษะแทน

กวนถงเริ่มหงุดหงิด ทั้งไม่เห็น ทั้งไม่ได้ยิน เมื่อเป็นเช่นนั้นจะทำท่าระวังเพื่อสิ่งใด

“พี่เลี่ยน ข้าว่า...” ครานี้ชายร่างเล็กไม่ได้กระซิบ แต่ก็ไม่ได้พูดดังเกินปกติ ทว่ายังเอ่ยไม่ทันจบประโยค ไป่เลี่ยนกลับตะปบปากอีกฝ่ายให้เงียบเสียงลง

“เจ้าไม่สังเกตเหรอ เราไม่ได้ยินเสียงอะไร ทั้งที่ข้างหน้าเป็นน้ำตก” สิ้นคำกระซิบบอกที่แผ่วเบาแต่ได้ยินชัดกันทุกคน ทำเอาทั้งกวนถง จิ้นซา หลิวสงและอู๋หยางผวากลัวขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

จริงอย่างที่ไป่เลี่ยนกล่าวไว้ ปกติแม้จะยืนไกลจากจุดนี้ไปอีกหลายลี้ (หนึ่งลี้เท่ากับห้าร้อยเมตร) ก็ยังคงได้ยินเสียงน้ำตกดัง แต่นี่พวกเขาทั้งหมดอยู่ไม่ห่างเกินร้อยย่างก้าวจากสถานที่ว่า น้ำตกที่มีขนาดใหญ่เช่นนั้นไม่ส่งเสียงต่อให้ไม่เดินไปดู ก็พอจะรู้ว่าไม่ใช่เรื่องดี

“ขะ ข้าว่า... พวก... พวกเรา... กลับกันเถอะ” เป็นอู๋หยาง ยักษ์ใหญ่ใจปลาซิวที่กล่าวขึ้นก่อนใครเพื่อน

หากเป็นเวลาปกติเช่นทุกครา จิ้นซาคงตวาดลั่นเป็นเอ็ดอู๋หยางก่อนจะให้กวนถงที่เป็นคู่หูตามทับถมซ้ำ แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เวลาปกติเช่นที่เคย จิ้นซาหันไปมองหน้ากวนถงคล้ายจะให้สนับสนุนความเห็นดังกล่าวของอู๋หยาง

“พี่เลี่ยน ข้าว่า...” ชายร่างเล็กเอ่ยขึ้น แต่ไป่เลี่ยนยกมือขึ้นห้าม

ดวงตาของพรานหนุ่มเบิกกว้าง ก่อนจะหยิบเกาทัณฑ์ขึ้นมาในท่าเตรียมพร้อม เวลานี้ตำแหน่งที่ทุกคนยืนคือไป่เลี่ยนหันหน้าไปทางที่จะไปน้ำตกเช่นเดียวกับหลิวสงที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาห่างออกไปประมาณสามก้าว กวนถง จิ้นซากับอู๋หยางยืนอยู่ด้านซ้าย กลางและขวาของไป่เลี่ยนตามลำดับ ทั้งสามหันหน้าเข้าหาไป่เลี่ยน ซึ่งดูจากท่าทางตอนนี้ของไป่เลี่ยน ทำให้พวกเขารู้แล้วว่าอีกฝ่ายเจอตัวอะไรบางอย่างยิ่งเมื่อเห็นสีหน้าตื่นตระหนกของคนที่ไม่ค่อยแสดงความรู้สึกอย่างหลิวสง พวกเขายิ่งรู้ว่ามันเป็นอันตรายต่อชีวิต

อู๋หยางตัวสั่นหน้าซีดหวาดกลัวสุดขีด ไป่เลี่ยนรีบกำชับเสียงแผ่วเบา

“อย่าขยับ!” ก่อนที่พรานหนุ่มจะยกเกาทัณฑ์ขึ้นง้างอย่างช้าๆ

เสียงหนึ่งคำรามดังอยู่ในลำคอ ห่างจากทั้งสามไม่ไกล ทว่าในช่วงเวลาเป็นตาย คนขาดเขลาอย่างอู๋หยางกลับจะขยับตัววิ่งหนี กวนถงรีบตะปบคว้ามืออีกฝ่ายเพื่อรั้งไว้อย่างเท่าทัน แค่เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

เพียงพอแล้วที่จะทำให้เดรัจฉานตนนั้นพุ่งกระโจมเข้าใส่พวกเขาทั้งสามคน!!

ไป่เลี่ยนเสียจังหวะในการยิง เขาตัดสินใจพุ่งไปข้างหน้าผลักกวนถงกับจิ้นซาให้ล้มลงเพื่อหลบคมเขี้ยวของสัตว์ร้าย อู๋หยางในตอนนั้นสะบัดมือที่รั้งตนไว้แล้ววิ่งหนีไปก่อน กงเล็บของสัตว์ร้ายเกี่ยวกระชากจนเสื้อของไป่เลี่ยนฉีกขาดเป็นทางยาว

“ไอ้ยักษ์ขี้ขลาด!” กวนถงตวาดลั่นด่าเพื่อนด้วยโทสะ เพราะทั้งโกรธแค้นและตื่นตระหนก ก่อนที่จะพบกับความหวาดกลัวเมื่อได้เห็นร่างของเดรัจฉานตนนั้น

มันเป็นหมาป่าสีเทา สูงราวสี่ศอก (หนึ่งศอกเท่ากับห้าสิบเซนติเมตร) ขนยาวลำตัวหนา มีสี่ขา สองหาง สามศีรษะ ทันทีที่ได้ยินเสียงกวนถงสบถด่าอู๋หยาง มันก็หันกลับมาจ้องอย่างสนใจ

ชายร่างเล็กถดร่างขยับถอยทั้งที่ยังนั่งอยู่ จิ้นซาก็เช่นกันถึงขั้นคลานสี่ขาราวกับตนเป็นเดรัจฉานเสียเอง สองคนไม่เหลือท่าทีองอาจอย่างที่เป็นในตอนก่อนที่จะเย้ามาในป่า

หมาป่าสีเทาย่างเท้าเข้าใกล้จ้องจะตะครุบเหยื่อ อยู่เกิดเสียงดังขึ้น

“อาสง!!” ไป่เลี่ยนตวาดลั่น จนเดรัจฉานสามหัวชะงักและก้าวถอยไปหนึ่งก้าว

หลิวสงตะโกนร้องสุดเสียงก่อนที่จะโดดลงมาจากต้นไม้สูงพร้อมกับใช้หินก้อนใหญ่ฟาดใส่ศีรษะด้านซ้ายของหมาป่าสีเทา เพราะกะทันหัน และเพราะเสียงร้องดัง มันจึงหลบไม่ทันและโดนกระแทกอย่างเต็มแรงจนทั่งร่างเซถอยก่อนจะล้มลง

คนเงียบขรึมอาศัยจังหวะชุลมุนเมื่อครู่รีบคว้าหินก้อนใหญ่แล้วปีนขึ้นไปดักรอบนต้นไม้อย่างเตรียมพร้อมเช่นทุกที

มันเป็นกลยุทธ์ที่เขากับไป่เลี่ยนรู้กันโดยไม่ต้องบอกและมักจะได้ผลทุกครั้งในการลงมือ ด้วยเพราะหลิวสงเป็นคนไร้จิตสังหาร เขาสามารถนิ่งรอด้วยความใจเย็นกระทั่งงูเลื่อยมาเจอยังเคลื่อนผ่านเพราะคิดว่าเป็นเพียงก้อนหิน

ทว่าครั้งนี้เขาคำนวณพลาด เพราะเดรัจฉานทั่วไปมีหนึ่ง แต่สัตว์ร้ายตนนี้มีถึงสาม และตอนนี้หนึ่งในสองที่ยังอยู่สะบัดศีรษะเข้าใส่หมายขย้ำศัตรูให้ตายคาคมเขี้ยวของมัน

พริบตานั้นธนูดอกหนึ่งพุ่งเข้าเสียบที่กลางดวงตาข้างซ้ายของหมาป่าหัวนั้น ความเจ็บทำมันผงะหงายขยับศีรษะไปด้านหลังแล้วส่งเสียงร้องอย่างทรมาน

ไป่เลี่ยนที่เป็นคนยิงไม่รอช้า รีบง้างเกาทัณฑ์อีกครั้งแล้วยิงธนูอีกดอกเพื่อให้แน่ใจว่าหัวทางด้านขวาสุดจะไม่ขยับขึ้นมาได้อีก

หลิวสงที่ตอนแรกเสียหลักล้มลงรีบขยับตัวหนีพาร่างของตนออกจากจุดอันตราย หมาป่าสีเทาที่บัดนี้เหลือเพียงศีรษะกลางเพียงหนึ่งเดียวรีบยันร่างขึ้นแล้วจะกระโจนตามเข้าใส่หลิวสงอีกครั้ง แต่ครานี้ทั้งกวนถงและจิ้นซาต่างรีบคว้าทั้งท่อนไม้และก้อนหินแถวนั้นคว้าใส่อย่างต่อเนื่อง

ศีรษะทั้งซ้ายขวาที่แหงนหงายคอพับไปคนละทางมีเลือดไหลนอง สุดผลให้ศีรษะที่เหลือรู้สึกถึงความเจ็บปวดจนสุดท้ายมันเลือกที่จะหนีไปตามสัญชาตญาณมากกว่าที่จะอยู่สู้จนตัวตาย

ทั้งสี่คนทรุดลงไปนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง จิ้นซายังมีอาการตื่นตะลึงอยู่ไม่น้อยสังเกตได้จากมือที่ยังสั่นเทา

“ไอ้นั่นมันตัวอะไรกันแน่?” คนร่างผอมกล่าวขึ้น กระทั่งเสียงก็ยังสั่นเครือ

“ปีศาจไง! มันต้องเป็นเพราะไอ้อาเพศที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อนแน่ๆ” กวนถงกล่าวเสียงดังท่าทางยังคุมสติไม่อยู่

“ละ... แล้ว... แล้วแบบนี้เราจะทำยังไงดี แล้วมันมีกี่ตัวกัน ข้าว่าพวกเราตายแน่ๆ รีบออกจากที่นี่กันเถอะ ใช่ๆ ข้าต้องรีบกลับไป ท่านแม่ข้าอยู่บ้าน โธ่เว้ย รู้งี้เมื่อเช้าข้าอพยพไปพร้อมกับคนอื่นๆ ก็ดี เพราะเจ้าแท้ๆ รั้งให้ข้าอยู่” จิ้นซาเริ่มสติแตก หันไปโทษกวนถง ชายร่างเล็กได้แต่อึกอักเพราะอีกฝ่ายพูดความจริง

“อาซาใจเย็นก่อน อย่างเพิ่งตีโพยตีพาย ถึงเจ้าจะออกจากที่นี่ไป ก็ใช่ว่าจะปลอดภัย ตอนนี้ที่สำคัญคือหาคำตอบให้ได้ว่าทำไมพวกมันถึงเปลี่ยนไป” ไป่เลี่ยนกล่าวพร้อมลุกขึ้น เขาเดินไปหาหลิวสงแล้วถามอาการ “เจ้าบาดเจ็บหรือเปล่า?”

อีกฝ่ายส่ายศีรษะแทนคำตอบ แต่ไป่เลี่ยนเห็นอยู่ว่าที่แขนเสื้อของคนหน้านิ่งมีรอยขาด คงไม่อยากให้ต้องเป็นห่วงจึงปฏิเสธมาเช่นนั้น เท่าที่สังเกตไม่น่าจะบาดเจ็บมาก ไป่เลี่ยนจึงปล่อยเลยตามเลย เพราะสิ่งสำคัญในตอนนี้คือ พวกเขากำลังอยู่ในป่าที่เปลี่ยนไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะมีตัวอะไรมาอีกไหม แต่ที่แน่ๆ คือมันอันตรายและไม่ควรอยู่นาน

“เปลี่ยนไป! พี่เลี่ยนหมายความว่าไง แล้วที่ว่าถึงออกนอกป่าก็ไม่ปลอดภัยหมายความว่าไง” จิ้นซายังคงหมกหมุ่นอยู่กับเรื่องนี้ แต่ทั้งกวนถงและหลิวสงก็อยากรู้เช่นกัน เพราะที่กระท่อมนอกป่า พวกเขาต่างก็มีครอบครัวรออยู่

“พวกเจ้าไม่ได้สังเกต ที่ศีรษะกลางของหมาป่าตัวนั้นไม่มีใบหูขวา ถึงมันจะเปลี่ยนไป ตัวใหญ่ขึ้น มีสามหัวแต่ข้ามั่นใจ”

“พี่เลี่ยนหมายความว่ามันคือไอ้เทาแหว่งตัวนั้น!” กวนถงกล่าวอย่างตะหนก

เทาแหว่งที่พวกเขาพูดถึงคือหมาป่าชราที่ถูกฝูงทอดทิ้งให้อยู่เดียวดายเพราะบาดเจ็บ ก่อนนี้มันเป็นจ่าฝูงที่มีบริวารหมาป่าในฝูงเกือบห้าสิบตัว เรียกได้ว่าเป็นเจ้าถิ่นของป่าแห่งนี้

เหตุนั้นเองที่ทำให้กวนถงต้องการกำจัดมัน จึงชวนทุกคนในตอนนี้ออกล่า ไป่เลี่ยนเห็นว่าหมาป่าฝูงนี้มีจำนวนมากจนทำให้ป่าเสียสมดุลจึงยอมเข้าร่วม

การล่าครั้งนั้นจบลงที่มันถูกกวนถงยิงธนูใส่หวังปลิดชีพ แต่พลาดถากไปโดนขาทำให้มันตกเขา ขาพิการและเป็นบาดแผลใหญ่ที่ศีรษะ หูขวาขาด อาการสาหัส กวนถงเห็นอย่างนั้นก็ยอมปล่อยมันไปเพราะเชื่อแน่ว่ามันจะไม่มีทางกลับเป็นเหมือนเดิมได้อีก

ไป่เลี่ยนไม่เห็นด้วย คิดว่าควรฆ่ามันให้ตายจะได้ไม่ต้องทรมาน แต่กวนถงไม่ยอม ไป่เลี่ยนจนใจ เพราะไม่อยากหักหน้าเพื่อน

ไม่นานนัก หมาป่าตัวอื่นในฝูงก็แย่งอำนาจ เนรเทศมันออกจากฝูงตามที่กวนถงคาด มันใช้ชีวิตหลบๆ ซ่อนๆ จากผู้ล่าตนอื่น ได้แต่หาปลาหาลูกกระต่ายกินเพื่อประทังชีวิตกลายเป็นหมาป่าหมดสภาพ ไป่เลี่ยนนึกสงสารจึงเข้ามักเข้าป่ามาให้อาหารมันบ่อยๆ ไม่คิดว่าการเจอกันอีกครั้งหลังเกิดอาเพศ จะทำให้มันกลายสภาพเป็นเช่นนี้

“ไม่จริง! ข้าไม่เชื่อ” กวนถงกล่าว

“นั่นเป็นเรื่องของเจ้า ที่ข้าอยากจะบอกคือ สัญชาตญาณของมันคืออยู่ในป่าก็จริง แต่ตอนนี้เรารู้แล้วว่าป่าไม่เหมือนเดิม มีสัตว์ตัวหนึ่งที่ไม่เหมือนเดิม ซึ่งนั่นแปลว่า สัตว์ตัวอื่นๆ ก็อาจจะเปลี่ยนไปเช่นกัน”

ไป่เลี่ยนกล่าวถึงตรงนี้ก็นิ่งเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะกล่าวขึ้นอีกรั้ง

“บางทีเลือดที่เปื้อนดินจนกลายเป็นโคลนเหม็นคลุ้งไปทั่ว มันอาจจะไม่ได้มาจากฝนเลือดทั้งหมด”

“พี่หมายความว่า...?” หลิวสงเอ่ยแต่หยุดไว้แค่นั้นเพราะกลัวที่จะคิดต่อ

“ใช่ ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากเพราะพวกสัตว์ป่ากลายร่างแล้วฆ่ากันตาย ป่านี่เงียบเกินไป ราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตหลงเหลืออยู่อีกแล้ว น้ำตกก็ไม่มีเสียงน้ำ ถ้ามันขาดทั้งอาหารทั้งน้ำ พวกเจ้าคิดว่ามันจะทำเช่นไร”

“ออกไปนอกป่า พวกมันจะออกไป... ฆ่า... คน” จิ้นซาพูดสิ่งที่คิด แต่ยิ่งพูดน้ำเสียงก็ยิ่งขาดหาย

ทุกคนรู้สึกได้ถึงความกลัวที่ถาโถมเข้าสู่จิตใจ...

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด