ตอนที่แล้วบทที่ 36 : ภารกิจเหมืองเก่า
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 38 : ภารกิจเหมืองเก่า (3) – ผู้รอดชีวิต

บทที่ 37 : ภารกิจเหมืองเก่า (2) - ชาวถ้ำ


บทที่ 37 : ภารกิจเหมืองเก่า (2) - ชาวถ้ำ

“ผมขอโทษ...” ฮอรัสเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ระหว่างที่ยืนนิ่งใช้สัมผัสรับรู้ทุกอย่างที่ตัวเองมีอยู่เพื่อประมวลและตีความการแสดงออกของหญิงสาวตรงหน้าว่ามันคืออะไรกันแน่ และภายใต้ปัจจัยทั้งหมดจากสิ่งที่เขาสำรวจได้ผ่านเหงื่อที่รินไหล การขบกัดฟัน กำมือและกล้ามเนื้อที่หดเกร็งรวมทั้งการแสดงออกสีหน้าซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงไป มันบ่งบอกออกมาอย่างชัดเจนว่าคือโทสะ ผสมผสานกับอีกหลากหลายความรู้สึกที่เขายังประมวลไม่ได้ว่ามันคืออะไรกันแน่ จึงเลือกที่จะกล่าวขอโทษออกมาก่อนเป็นการแก้ปัญหาเบื้องต้น โดยที่ไม่เข้าเลยว่าใช้คำนี้บ่อยเกินไปจนมันหมดความน่าเชื่อถือไปแล้วสำหรับเอเดล

“ถ้านายไม่ได้รู้สึกผิดจริงๆ ก็เลิกขอโทษสักที” เอเดลเอ่ยตอบเสียงหอบ นั่งชันเข่าอยู่บนก้อนหินใหญ่พยายามแบมือของตัวเองขึ้นมามองแล้วพบว่ามันกำลังสั่นไหวและเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ซึ่งเริ่มจับแข็งเป็นเกล็ดหิมะจากจิตวิญญาณเหมันต์ในตัวที่รั่วไหลออกมาอย่างควบคุมไม่ได้

ทั้งๆ ที่เธอเองก็เคยผ่านสถานการณ์เฉียดตายและความหวาดกลัวมาก่อนมากมายหลากหลายรูปแบบ แต่ไม่มีอะไรเหมือนกับสิ่งที่เธอรู้สึกเมื่อครู่นี้เลยแม้แต่น้อย

ภาพของการตกลงมาจากสูงระดับเดียวกับที่นกใช้บินเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยคาดคิดว่าจะต้องพบเจอ ความรู้สึกเสียวท้องน้อยขึ้นไปถึงสันหลังยังค้างอยู่ เหมือนมีผีเสื้อบินวนอยู่ในท้อง หัวใจเต้นระรัวอย่างรุนแรงเหมือนวิ่งเต็มกำลังมาเป็นพันๆ เมตร ร่างกายตื่นตัวสะท้านราวกับถูกฟ้าผ่า และที่สำคัญมันไม่ได้เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว แต่ฮอรัสพาเธอกระโจนขึ้นลงในความสูงและความเร็วระดับนั้นมากเป็นสิบๆ ครั้งจนมาถึงหินก้อนใหญ่หน้าหมู่บ้านร้างที่เธอใช้นั่งพักอยู่นี่เองถึงได้หยุด

และไม่ว่าจะเป็นเพราะผลข้างเคียงของโพชั่นที่เธอดื่มเข้าไปก่อนหน้านี้ เพราะการเชื่อมต่อเข้าถึงจิตวิญญาณเหมันต์ที่ยังไม่สมบูรณ์ดี หรือเพราะการถูกโยกคลอนเขย่าร่างกายกายอย่างรุนแรงซ้ำหลายครั้งจากการกระโดดของฮอรัส แต่มันทำให้เธอถึงกับอาเจียนเอาทุกสิ่งทุกอย่างออกมาเททิ้งจนหมดสภาพ ต้องนั่งพักหอบหายใจตั้งสติทำอะไรไม่ได้

ซึ่งก็เป็นโชคดีเล็กๆ ที่อย่างน้อยตลอดเช้านี้สิ่งที่เธอกินเข้าไปมีแค่น้ำดื่มกับโพชั่น ไม่อย่างนั้นทุกอย่างอาจแย่กว่านี้ในหลายๆ ความหมาย

แต่กระนั้นมันก็ไม่ได้มีแต่เรื่องแย่ๆ ไปซะทั้งหมด เพราะอย่างน้อยฮอรัสก็ไม่ได้โกหก การเดินทางมากับเขาด้วยวิธีของเขาเร็วที่สุด มันเปลี่ยนการเดินทางที่อาจใช้เวลาหลายชั่วโมง ให้ย่นลงเหลือแค่ไม่กี่นาที

ทักษะการกระโดดต่อเนื่องจากแรงโยกกิ่งไม้ของเอเดล หนึ่งจังหวะอาจสามารถเดินทางได้ไกลถึงสิบเมตร แต่รูปแบบการกระโจนโผของฮอรัสหนึ่งจังหวะอาจจะไปได้ไกลมากกว่านั้นเป็นร้อยเท่าด้วยความเร็วระดับที่สัมผัสได้ถึงลมรุนแรง การชนแมลงตัวเล็กๆ เพียงตัวเดียวก็ทำให้รู้สึกเจ็บได้เหมือนโดนเข็มแทง เป็นความเร็วที่คนธรรมดาทั่วไปไม่อาจเข้าถึง ต่อให้เป็น ‘อัสนีอาชา’ ที่ว่าเดินทางได้รวดเร็วที่สุดก็ยังเทียบไม่ได้แต่เศษเสี้ยวของความเร็วที่ฮอรัสใช้พาเธอมาที่นี้

เอเดลพยายามถูฝ่ามือของตัวเองเพื่อไล่เกล็ดน้ำแข็งเย็นเยียบจากเหงื่อที่จับตัวแข็ง พลางใช้ลมหายใจพ่นออกไปหมายจะให้อบอุ่นแต่ดันกลายเป็นเย็นกว่าเดิม

เพราะไม่เคยฝึกวิชาเวทมนตร์อย่างจริงจังมาก่อนเลยกลายเป็นว่าทุกครั้งที่เธอมีความรู้สึกรุนแรงในจิตใจ มันก็จะดึงเอาจิตวิญญาณเหมันต์ของคันศรให้แสดงผลออกมาด้วย เป็นการเผาผลาญพลังเวทมนตร์ในตัวออกไปอย่างเปล่าประโยชน์

โดยเฉพาะกับครึ่งเอฟล์อย่างเธอที่มีขีดจำกัดด้านเวทมนตร์แค่ครึ่งๆ กลางๆ จากสายเลือดฝั่งแม่

เป็นอันรู้กันทั่วไปอยู่แล้วว่าไม่มีเอลฟ์ป่าคนไหนใช้เวทมนตร์ได้เกินกว่าระดับต้น แค่ส่งพลังเวทเข้าไปจุดตะเกียงคริสตัล หรือจุดเตาเวทมนตร์เท่านั้นคือสิ่งที่เอลฟ์สายเลือดแท้ทำได้ ไม่ต้องพูดถึงการร่ายเวทมนตร์ออกมาเป็นบทๆ หรือใช้ไอเทมเวทมนตร์ระดับสูงที่ต้องการพลังเวทหล่อเลี้ยงจำนวนมากๆ เลย

เช่นนั้นเองการที่เธอเอเดลสามารถผูกจิตวิญญาณเข้ากับศรเหมันต์และเข้าถึงความสามารถของมันได้อย่างรวดเร็ว คงต้องขอบคุณสายเลือดมนุษย์ฝั่งพ่อและพรสวรรค์ที่เก็บซ่อนอยู่ในตัวของเธอ ทว่าอย่างไรพรสวรรค์ก็ไม่ได้สัมพันธ์กับขีดจำกัดของพลังเวทในร่างกายอยู่ดี

ยังไงซะถ้าเทียบกับมนุษย์แท้ๆ พลังเวทในตัวเธอก็จัดว่าต่ำเตี้ยเรี่ยดิน เอาออกมาใช้ได้อย่างจำกัดจำเขี่ย การจะใช้งานให้เต็มประสิทธิภาพระดับเดียวกับครั้งที่ประลองกับฮอรัส ยังต้องพึ่งพายาและโพชั่นเพิ่มขีดความสามารถ รวมทั้งยังต้องการเวลามากกว่านี้เพื่อฝึกฝนให้เคยชินกับการใช้พลังเวทในร่างกาย เพราะปัจจุบันเธอเองก็ยังไม่รู้เลยว่าขีดจำกัดด้านพลังเวทของตัวเองทั้งสูงสุดและต่ำสุดอยู่ตรงไหน ไม่สามารถบอกได้ว่าตัวเองมีพลังเวทเหลืออยู่เท่าไหร่ ทั้งที่มันควรจะเป็นทักษะแรกสุดสำหรับผู้ใช้เวทหรือไอเทมเวทมนตร์ชั้นสูงที่จะต้องเรียนรู้ จึงถือได้ว่าพรสวรรค์ของเธอมันฉายแววออกมามากเกินไปจนกลายเป็นการลัดขั้นลัดตอนไปหมด

“ถ้าคุณเอเดลไม่อยู่ในสภาพที่พร้อมทำภารกิจ ผมสามารถสานต่อภารกิจให้จบได้ด้วยตัวเอง” ฮอรัส ที่เห็นหญิงสาวยังนั่งหอบหายใจอยู่อย่างนั้นก็เอ่ยขึ้นมาเป็นมาตรการ

เพราะถึงเขาจะตรวจสอบจากภายนอกแล้วว่าเอเดลไม่ได้บาดเจ็บอะไร เพียงแต่หลายๆ ครั้งความพร้อมในสมรภูมิหรือภารกิจก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับร่างกายเพียงอย่างเดียว มันยังมีเหตุผลอีกมากมายที่ทำให้ยอดนักรบไม่สามารถรบได้ และแน่นอนว่านั่นคือหน้าที่ของตุ๊กตาสงครามอย่างเขาอยู่แล้วตั้งแต่ต้น ตุ๊กตาที่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์แบบไหน มีความสุ่มเสี่ยงหรือเลวร้ายเพียงใดก็จะพร้อมทำงานได้เสมอ

เอเดลได้ยินเขาว่ามาแบบนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอกำหมัดทุบต้นขาตัวสูดหายใจเข้าออกยืดยาวแผ่วเบาไล่มวลความรู้สึกต่างๆ ในหัวออกไป ก่อนจะลุกขึ้นยืนใช้สายตาประหลาดมองหน้าฮอรัสแล้วยิ้มมุมปากพลางส่ายหน้าเบาๆ เป็นลักษณะที่เขาไม่เข้าใจว่าคืออะไรกันแน่

“ฉันไม่เป็นไร” เอเดลเอ่ยออกเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่ฮอรัสไม่เข้าใจ แต่ถ้ามีใครมาอยู่ตรงนี้ก็คงบอกได้ทันทีว่าเธอไม่ได้หายโกรธหรือให้พยายามจะให้อภัย เธอเพียงแค่มองผ่านเรื่องที่เกิดขึ้น มุ่งความสนใจไปที่ภารกิจและทำตัวให้เป็นมืออาชีพเท่านั้น “เหมืองของเราอยู่ใกล้ๆ นี่แหละ นายสังเกตเห็นอะไรผิดปกติบ้างมั้ยล่ะ” เธอเอ่ยต่อ ละความสนใจจากหุ่นสงครามสำรวจรอบตัว

“นอกจากพวกสัตว์เล็กๆ แล้วผมก็สัมผัสร่องรอยของชีวิตอย่างอื่มใกล้ๆ นี้ไม่ได้เลย นั่นคือเรื่องผิดปกติรึเปล่า” ฮอรัสตอบเสียงเรียบมองตามหญิงสาว ที่ตอนนี้กำลังเดินผ่านซากของสิ่งก่อสร้างที่หักพังทลายเป็นเศษอิฐ ดูไม่ได้เก่าแก่อะไรมากนักยังมีร่องรอยให้เห็นเป็นผังอย่างชัดเจนว่าเคยมีหมู่บ้านเล็กๆ ตั้งอยู่ที่นี่มาก่อนเป็นชุมชนชาวเหมือง

“อืม... ก็ไม่แปลกหรอก ไม่มีใครอยู่ที่นี่มาเกือบร้อยปีได้แล้วล่ะมั้ง” เอเดลว่า ระหว่างเดินตรงไปยังทางเข้าเหมืองใกล้ๆ หมู่บ้าน

จากตรงที่ฮอรัสยืนอยู่จะมองเห็นเป็นปากถ้ำขนาดไม่ใหญ่มากนัก กว้างประมาณสองหรือสามเมตรสามารถเข้าไปพร้อมกันได้หลายคน มีคานโลหะค้ำยันเอาไว้ไม่ให้หลังคาถล่ม แต่ไม่มีร่องรอยของการอยู่อาศัยที่เป็นปัจจุบัน ยกเว้นตะเกียงน้ำมันที่แขวนอยู่หน้าถ่ำซึ่งน้ำมันก็แห้งไปแล้ว

“มันเคยเป็นหมู่บ้านของคนงานเหมืองมาก่อน ถ้าฉันจำไม่ผิดเหมือนว่าเมื่อเกือบร้อยปีก่อนเกิดแผ่นดินไหวซ้ำหลายครั้งจนเหมืองชั้นในถล่ม หมู่บ้านเองก็พังเสียหายไปหมด คนที่รอดเลยอพยพทิ้งเหมืองทิ้งหมู่บ้านออกไปอยู่ที่อื่นกัน ส่วนใหญ่ก็ไปลงเอยที่เทรียลนั่นแหละ ตอนนี้มันเลยกลายเป็นหมู่บ้านร้าง ส่วนเหมืองก็มีพวกชาวถ้ำมาอยู่... แต่เหมือนจะไม่อยู่แล้วรึเปล่า” เอเดลเล่าประวัตศาสตร์ของหมู่บ้านแห่งนี้ให้ฮอรัสฟัง ระหว่างที่ยืนหรี่ตามองเข้าไปด้านเหมืองด้วยความเคลื่อบแคลงใจ

ก่อนที่เธอจะเริ่มมองสำรวจไปตามพื้นหน้าปากทางเข้าเหมืองนั้นด้วยความสนใจ

“นี่มัน... อะไร” ครึ่งเอลสาวเอ่ยเบาๆ พลางนั่งย่อเข่าลงแล้วใช้ฝ่ามือทาบวัดขนาดร่องรอยประหลาดบนพื้นดินที่ดูแล้วคล้ายกับรอยเท้าของหมาป่าขนาดใหญ่แต่รอยตรงส่วนอุ้งตีนยาวกว่า รวมทั้งส่วนเล็บที่จิกตะกุยดินก็ลงลึกและใหญ่กว่าหมาป่าทั่วๆ ไปมาก

เธอพินิจพิจารณารอยเท่านั้นด้วยความสนใจอยู่ครู่ใหญ่ พร้อมกันก็พยายามสำรวจไปรอบๆ บริเวณเพื่อมองหาเบาะแสที่ใกล้เคียงกันเพื่อหาคำตอบว่ารอยเท้าประหลาดนี้อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ชาวถ้ำทิ้งบ้านตัวเองไปได้หรือไม่ รวมทั้งเพื่อใช้ประเมินว่าถ้ำที่เธอกำลังจะเดินเข้าไปนี้อันตรายแค่ไหน เพราะเธอเองก็ไม่เคยเห็นรอยเท้าแบบนี้มาก่อน แต่กะเกณฑ์เอาจากขนาดและความลึกของรอยแล้วเธอก็พอจะได้อยู่ว่ามันคงจะต้องตัวใหญ่เอาการ

“นายรู้มั้ยว่านี่มันรอยเท้าของตัวอะไร อสูรรึเปล่า” เอเดลเอ่ยปากถามฮอรัส เพราะถ้าจะมีใครสักคนในเทรียลที่รู้เรื่องของอสูรดีกว่าใครและสามารถจำแนกบอกความแตกต่างระหว่างรอยเท้าของกระทิงกับมิโนทอร์ออกก็คงมีแค่ฮอรัสนี่แหละ

“นี่ไม่ใช่รอยเท้าอสูร... ผมไม่รู้จักรอยเท้าแบบนี้”

ทว่าผิดไปจากที่ครึ่งเอลฟ์สาวคาด ฮอรัสใช้ดวงตาสีนิลประมวลภาพของรอยเท้าที่ว่าแล้วแต่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่ามันคือรอยเท้าของอะไร เพราะมันไม่ตรงกับสิ่งที่เขารู้จักเลยแม้แต่อย่างเดียว

“งั้นก็หวังว่าเจ้าของรอยเท้าจะไม่อยู่ด้านในแล้วกัน” เธอว่าพลางเอี้ยวมือหยิบลูกดอกจากกระบอกเก็บศรด้านหลังขึ้นมาเตรียมพร้อมเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างก็กระชับคันธนูมั่นระหว่างที่ค่อยๆ เดินผ่านหน้าถ้ำเข้าไปในเหมืองช้าๆ อย่างระมัดระวัง

แต่เดินเข้าไปได้เพียงแค่ไม่กี่ก้าวก็พบว่าด้านในนั้นมืดสนิท จึงหยุดเดินแล้วก้าวถอยออกมาตั้งหลักหันหน้าไปทางฮอรัสซึ่งเดินตามเธอแบบแทบจะแนบติดหลัง “ฉันว่านายเดินนำดีกว่า... แล้วก็เอาตะเกียงมาถือด้วย”

“รับทราบ” ฮอรัสขานตอบพลางเปิดกระเป๋าพะรุงพะรังของตัวเองหยิบตะเกียงคริสตัลขึ้นมาถือเอาไว้ด้วยมือที่มีอยู่ข้างเดียวก่อนจะเป็นคำเดินนำเอเดลเข้าไปในเหมือง

แสงจากตะเกียงสาดส่องไปตามกำแพงหินของโถงทางเดินส่วนแรกสุดซึ่งไม่ได้กว้างขวางอะไรเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ได้แคบจนทำให้รู้อึดอัด จะมีก็เพียงอุณหภูมิที่จู่ๆ ก็ลดต่ำลงเทียบกับด้านนอก ไม่แน่ว่าเป็นเพราะจิตวิญญาณเหมันต์ของเอเดลหรือเพราะสภาพแวดล้อม กับกลิ่นเหม็นประหลาดคล้ายกลิ่นดินชื้นผสมผสานกับกลิ่นซากสัตว์ที่โชยออกมา

เอเดลมองสำรวจรอบตัวซ้ำแล้วส่ายหน้าถอนหายใจ ก่อนที่เธอจะเก็บลูกศรกลับใส่กระบอกและเหน็บคันธนูไว้บนหลังตามขวางเข้าล๊อกพอดีกับสายรัด เพราะจากตรงนี้ไปทางเดินที่เห็นอย่างไรก็ไม่เหมาะกับอาวุธอย่างธนูหากฝืนดันถุรังจะใช้ก็คงอันตรายมากกว่า จึงชักมีดสั้นคมกริบขึ้นมาถือไว้สองไว้แล้วตั้งถ้าเตรียมพร้อมเดินตามหลังหุ่นสงครามอย่างระวังตัว ผิดกับฮอรัสที่นอกจากจะดูไม่ยี่หระ นิ่งเฉยไม่สนใจต่ออันตรายที่อาจจะเข้ามาแล้ว มือข้างเดียวที่มีก็ยังเอาไปใช้ถือตะเกียงให้เอเดล ไม่ได้พร้อมจะต่อสู้แต่อย่างใด

ทางเดินภายในเหมืองเก่าแห่งนี้ที่ทั้งสองกำลังมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ นั้นเป็นทางลาดลดระดับลงไปลึกมากขึ้นเรื่อยๆ ตามทางมีตะเกียงน้ำมันติดเอาไว้บนคาดไม้ค้ำยันให้เห็นอยู่เป็นพักๆ แต่ทั้งหมดนั้นไม่มีตะเกียงใบไหนที่เหลือน้ำมันให้ใช้จุดไฟให้แสงสว่างได้เลย และยิ่งพวกเขาเดินลึกเข้าไปมากเท่าไหร่กลิ่นชื้นและเหม็นเน่าก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

สำหรับฮอรัสมันอาจไม่ใช่ปัญหาเพราะเขาไม่มีสัมผัสที่ใช้รับกลิ่นอยู่แล้ว แต่สำหรับเอเดลแล้วมันทำให้เธอถึงกับต้องยกท่อนแขนขึ้นมาอังจมูกเอาไว้ เพราะท้องไส้เริ่มกลับมาปั่นป่วนอีกครั้งเหมือนผีเสื้อตัวเดิมในกระเพาะกำลังขยับปีกบินไปมา อีกทั้งอากาศด้านในเองก็เริ่มที่จะเบาบางลงเรื่อยๆ ไปพร้อมๆ กับทางเดินที่ก็แคบลงจนเดินได้แค่แบบเรียงแถวเดียวตามกันไปเท่านั้น

ตอนนั้นเองพลันจู่ฮอรัสก็หยุดเดินอย่างกะทันหันจนครึ่งเอลฟ์สาวตั้งตัวไม่ทันก็เดินชนหลังอีกฝ่ายเข้าอย่างจัง

“มีอะไรรึเปล่า ฮอรัส” เอเดลเอ่ยถามด้วยเสียงกลั้นจมูกจากกลิ่นเหม็นที่โชยหึ่งรุนแรงมากกว่าเดิม เพราะเธอมองไม่เห็นว่าด้านหน้านั้นเกิดอะไรขึ้น

ฝ่ายฮอรัสที่จู่ๆ ก็นิ่งไปนั้น พอได้ยินของเอเดลจึงเดินหน้าต่อไปอีกหน่อย ให้พ้นทางเดินแคบๆ ไปจนถึงโถงกว้างขนาดใหญ่ให้เอเดลสามารถเดินมาเห็นด้วยตาของตัวเอง และเพียงแค่สายตาของหญิงสาวได้กวาดมองออกไปตามแสงของตะเกียงก็แสดงถึงกับตาค้างต้องยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองไม่ให้อาเจียนออกมากับภาพสยดสยองเบื้องหน้า

“ดูเหมือนพวกชาวถ้ำจะยังไม่ได้ย้ายออกไปไหน” ฮอรัสเอ่ยขึ้นมาเป็นการตอกย้ำภารกิจดั้งเดิมของพวกเขา เพราะบัดนี้ต่อหน้าทั้งสองคือชาวถ้ำรูปร่างเหมือนมนุษย์แต่ตัวเล็กจากศีรษะถึงปลายเท้าแค่ครึ่งเมตรและมีขนสั้นเตียนสีขาวปกคลุมร่างกายทุกส่วน

ทว่าชาวถ้ำทั้งหมดนับได้กว่ายี่สิบร่างบัดนี้ไร้ชีวิต อยู่ในสภาพน่าสยองถูกแยกส่วนอวัยวะเป็นชิ้นๆ กระจัดกระจายไปทั่ว สภาพศพเละจนดูไม่ได้ เป็นสาเหตุของกลิ่นเหม็นเน่าที่คละคลุ้งออกไปตั้งแต่แรก

 

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด