บทที่ 21 อัศวินมังกร (1)
บทที่ 21 อัศวินมังกร (1)
เย่อินจู๋ไม่รู้จักว่ามารยาทคืออะไร และไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับทหารรับจ้าง ทำตามใจตัวเองคือนิยามของหัวใจพิณพิสุทธิ์ ขี่วิลเดอร์บีสต์มาครึ่งวัน เมื่อความตื่นตาตื่นใจหมดไป ความรู้สึกเบื่อหน่ายจึงทำให้เขาทนไม่ไหวนิดหน่อยมาตั้งนานแล้ว เหล่าทหารรับจ้างหนามเหล็กพอเริ่มปฏิบัติภารกิจต่างก็เอาจริงเอาจังกันอย่างยิ่ง ถึงกับพูดคุยสนทนากันน้อยมาก
ในรถม้ากว้างขวางมาก เพราะมีอันยาอยู่แค่คนเดียวจึงแลดูว่างเปล่า ภายในรถจัดวางอาหารและเครื่องดื่มต่างๆ เอาไว้ ที่นั่งกว้างขวางและมีเบาะนั่งหนานุ่ม นั่งลงไปแล้วสบายกว่าบนหลังวิลเดอร์บีสต์มาก
อันยาสวมชุดกระโปรงยาวสีขาวเช่นเคย พอพิงไปบนเบาะนุ่มก็ทำให้รู้สึกเอื่อยเฉื่อยขึ้นมาเล็กน้อย นั่งหันหน้าเข้าหากัน กลิ่นหอมสดชื่นลอยมาจากฝั่งตรงข้าม อินจู๋จึงอดสูดหายใจลึกไม่ได้ กลิ่นหอมที่ซึมซาบสู่ทุกอณูทำให้เขารู้สึกสบาย ก่อนกล่าวจากใจจริงว่า “พี่อันยา พี่สวยจริงๆ”
อันยาเคยฟังคำชมมาเยอะแยะ แต่พอเอ่ยออกมาจากปากของอินจู๋ผู้ไร้เดียงสา ฟังแล้วกลับให้ความรู้สึกอีกอย่างหนึ่ง จึงหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวว่า “อินจู๋ ทำไมเจ้าถึงมาเข้าร่วมหน่วยทหารรับจ้างหนามเหล็ก?”
อินจู๋ไม่ได้ปิดบังเช่นกัน ก่อนจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ให้ฟังรอบหนึ่ง ยังดีที่เขาจำเรื่องที่ม่วงกำชับก่อนไปเอาไว้ได้ จึงไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องใส่พิณห้าตัวไว้ในแหวนมิติ
“เป็นอย่างนี้นี่เอง เจ้าใจดีมากจริงๆ อินจู๋ อันที่จริงในโลกใบนี้ บางทีคนเราก็ห้ามใจดีเกินไป ไม่อย่างนั้นก็มีแต่จะถูกคนเขาหลอกลวง”
ฟังคำปลอบโยนของอันยาแล้ว อินจู๋ก็อดนึกถึงขอทานน้อยน่าชังคนนั้นขึ้นมาไม่ได้ ก่อนกล่าวอย่างเกลียดชังว่า “คราวหน้าจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว” ไร้เดียงสาไม่ได้หมายความว่าจะโมโหไม่ได้
อันยาเหลือบมองตราเวทมนตร์บนหน้าอกของอินจู๋ พวกทหารรับจ้างของเกิร์นที่ไม่คุ้นเคยกับเวทมนตร์มองกันไม่ออก แต่เธอจะมองไม่ออกถึงความพิเศษของตราดวงนี้ของอินจู๋ได้อย่างไรกัน? “อินจู๋ รูปภาพบนตราของเจ้าแปลกจัง เจ้าคือนักเวทสายไหน?”
“ข้าคือนักเทวคีต รูปที่สลักบนตราคือรูปเครื่องดนตรีของข้า”
“หือ? นักเทวคีต?” อันยางงงัน สายตาที่มองอินจู๋แปลกไปกะทันหัน
“เป็นอะไรไป? พี่อันยา มันแปลกตรงไหนเหรอ?”
“อ้อ ไม่มีอะไร ข้าก็แค่แปลกใจ เด็กผู้ชายอย่างเจ้าทำไมถึงเลือกอาชีพนักเทวคีต ข้าก็รู้จักพวกนักเทวคีตอยู่บ้าง แต่ว่าเป็นผู้หญิงกันหมด พูดแบบนี้ เจ้ายังไม่มีสัตว์เวทเป็นของตัวเองเหรอ?”
อินจู๋กล่าวว่า “นักเวทจำเป็นต้องมีสัตว์เวทด้วยเหรอ?”
แววตาตกใจของอันยาจางหายไปขณะอยู่ในท่าทีสงบเยือกเย็น “แน่นอน สัตว์เวทคือเกราะคุ้มกันความปลอดภัยที่ดีที่สุดของนักเวท นักเวทที่ไม่สัตว์เวทนั้นอันตรายมาก ถึงอย่างไรการต่อสู้ระยะใกล้ของนักเวทก็ด้อยเกินไป ในฐานะอาชีพที่สูงส่งที่สุดในทวีปลองกินุส สาเหตุที่นักเวทได้รับความเคารพนับถือนอกจากว่ามีจำนวนน้อยแล้วก็เป็นเพราะความแข็งแกร่งในตัวมากกว่า เวลาอยู่ขั้นต่ำจะยังเห็นไม่ชัดเจน แต่เมื่อเข้าสู่ระดับเหลืองแล้ว นักเวทคนหนึ่งสามารถรับมือนักรบระดับเดียวกันได้หลายคน และสัตว์เวทก็เป็นเกราะคุ้มกันที่ดีที่สุด สำหรับนักเวทแล้วสัตว์เวทจะถือว่าเป็นโล่กำบังก็ได้ ขอเพียงนักเวทต้านการโจมตีของศัตรูไว้ได้ก่อนร่ายมนต์จบก็พอแล้ว สัตว์เวทที่แข็งแกร่งถึงขนาดสามารถโจมตีศัตรูร่วมกับนักเวทได้ด้วย นักเวทที่มีสัตว์เวทถึงจะมีพลังต่อสู้เดี่ยวแข็งแกร่ง เจ้าไม่รู้หรอกเหรอ?”
“เหมือนปู่จะเคยพูดถึงสัตว์เวท แต่ท่านบอกว่ายังไม่ถึงเวลาที่ข้าจะมีสัตว์เวท” เพื่อที่จะทำให้อินจู๋สามารถทุ่มเททั้งกายใจฝึกฝนหัวใจพิณพิสุทธิ์ ปกติฉินซางจะคุยถึงเรื่องนอกเหนือจากฉินน้อยมาก
อันยากล่ามชมว่า “ถ้าอย่างนั้นปู่ของเจ้าคงจะเป็นนักเวทที่แข็งแกร่งแน่เลย ไม่ว่านักเวทคนไหนก็มีโอกาสทำพันธสัญญากับสัตว์เวทแค่ตัวเดียวตลอดชีวิต เขาหวังว่าหลังจากพลังของเจ้าแกร่งกล้าแล้วค่อยทำสัญญากับสัตว์เวทที่แข็งแกร่ง แต่น่าเสียดายที่เจ้าเป็นนักเทวคีต” พอพูดถึงตรงนี้ สายตาของเธอที่มองอินจู๋ก็อ่อนโยนขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย อินจู๋รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าสายตาของอันยาคล้ายกับแม่ของตัวเองนิดหน่อย
“พี่ครับ พี่เล่าเรื่องของสัตว์เวทให้ข้าฟังหน่อย พี่มีสัตว์เวทหรือเปล่า?”
อันยาหัวเราะเบาๆ ก่อนกล่าวว่า “ต้องมีอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นข้าจะกล้าถ่อมาไกลขนาดนี้ตัวคนเดียวได้ยังไง สัตว์เวท คือสหายที่ดีที่สุดของนักเวท โดยทั่วไปแล้ว พวกนักเวทจะเลือกสัตว์เวทที่มีพลังต่อสู้ระยะใกล้และพลังป้องกันแข็งแกร่งมาทำพันธสัญญา แบบนี้ถึงจะป้องกันตัวเองได้มากที่สุด ในบรรดาสัตว์เวท สัตว์เวทบินได้มีค่ามากที่สุด เพราะพวกมันสามารถถ่วงเวลาให้นักเวทได้มากกว่า เมื่อพันธสัญญานายบ่าวระหว่างนักเวทกับสัตว์เวทเกิดขึ้น ถ้าอย่างนั้น ตลอดชีวิตของมันก็จะทรยศเจ้านายตัวเองไม่ได้ ส่วนนักเวทก็จะทิ้งสัตว์เวทไม่ได้เช่นกัน ฉะนั้นโอกาสในการทำพันธสัญญาเพียงครั้งเดียวนี้จึงมีค่ามากที่สุด อินจู๋ ก่อนออกเดินทางวันนี้ข้าได้ยินจากหัวหน้าหน่วยเกิร์นว่าเจ้าจะไปขอเข้าเรียนที่โรงเรียนอัศวินเวทมนตร์มิลานใช่ไหม เจ้าเรียกข้าว่าพี่ข้าเองก็รับไว้เฉยๆ ไม่ได้ ถ้าเจ้ายินดีล่ะก็ พี่จะคิดวิธีหาสัตว์เวทให้เจ้าเป็นยังไง?”
ฟังอันยาพูดแบบนี้แล้ว อันจู๋ก็เผยให้เห็นแววตาตื่นเต้นทันใด แต่ในไม่ช้าอาการตื่นเต้นในแววตาก็จางหายไป ก่อนส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “พี่อันยา ขอบคุณสำหรับความหวังดีครับ แต่ปู่เคยบอกว่าห้ามรับของจากคนอื่นตามใจชอบ”
“เจ้าเรียกข้าว่าพี่แล้ว ยังเป็นคนอื่นอยู่อีกเหรอ? พี่ยกให้เจ้า เจ้าก็ต้องรับไปอยู่แล้ว” เมื่อมองอินจู๋ผู้หล่อเหลาและไร้เดียงสา อันยารู้สึกประทับใจในตัวเขามากขึ้นไปอีก สาเหตุที่เธอต้องการยกสัตว์เวทให้อินจู๋ เหตุผลหลักเป็นเพราะเขามีอาชีพนักเทวคีต นักเทวคีตถือเป็นสาขาย่อยของนักเวทสายจิตวิญญาณ พลังโจมตีถูกมองข้ามมาตั้งแต่ไหนแต่ไร และสิ่งสำคัญที่สุดของการทำพันธสัญญาสัตว์เวทคือต้องปราบสัตว์เวทให้ได้ก่อน หากแค่พึ่งพาพลังของตัวเอง นักเทวคีตก็ยากจะได้รับพันธสัญญาสัตว์เวท เพราะความประทับใจที่มีต่ออินจู๋ เธอจึงอยากยกสัตว์เวทให้อินจู๋ ช่วยให้เขามีพลังป้องกันตัวเอง เพื่อไม่ให้น้องชายผู้มีจิตใจบริสุทธิ์คนนี้ถูกรังแกที่โรงเรียนอัศวินเวทมนตร์มิลาน
“ข้าทำได้จริงๆ เหรอ?”
“แน่นอนอยู่แล้ว แต่พี่ต้องคิดดูว่าจะหาสัตว์เวทอะไรให้เจ้าดี ถึงยังไงนี่ก็เป็นโอกาสครั้งเดียวในชีวิตของเจ้า ถ้ามีสัตว์เวทโตเต็มวัยก็จะดีมาก ไว้รอไปถึงมิลานแล้วพี่จะช่วยเจ้าหานะ”
เย่อินจู๋ไม่รู้เลยว่าสัตว์เวทโตเต็มวัยที่อันยาเอ่ยอ้างถึงหมายความว่าอะไร ต่อให้อยู่ในบรรดาสัตว์เวททรงภูมิปัญญาขั้นเจ็ดขึ้นไป สัตว์เวทโตเต็มวัยก็ยังมีน้อยมาก และสัตว์ทรงภูมิปัญญาตัวใดก็ตามในตลาดต่างก็มีราคาสูงลิ่วทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีราคาแต่ไม่ขาย ยิ่งกว่านั้นจะปราบสัตว์เวททรงภูมิปัญญาสักตัวง่ายดายเสียที่ไหนกัน
“พี่ครับ ให้ข้าดูสัตว์เวทของพี่หน่อยได้หรือเปล่า?”
อันยายิ้มพลางส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “ที่นี่ไม่ได้ ไว้ไปหาที่ที่ไม่มีใครค่อยว่ากันทีหลังเถอะ เอ๊ะ อินจู๋ มือของเจ้า...”
อินจู๋ยื่นมือสองข้างออกมาตรงหน้าอันยา “ข้าเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เกิด ปู่บอกว่าแปดนิ้วโดยกำเนิดทำให้ตอนข้าเล่นพิณจะไม่รบกวนตัวเอง พี่อันยา ตกลงพี่เป็นนักเวทระดับไหนกันแน่! เมื่อวานตอนที่ข้าหยั่งเชิงพี่ เหมือนข้าจะสัมผัสคลื่นพลังธาตุน้ำในตัวพี่ได้ชัดเจนมาก”
อันยาตกใจ “เจ้าสัมผัสคลื่นพลังธาตุน้ำในตัวพี่ได้?”
อินจู๋พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ใช่ครับ!”
อันยากล่าวอย่างจริงจังว่า “อินจู๋ เจ้าเป็นแค่นักเทวคีตจริงๆ เหรอ? ทำไมพลังจิตของเจ้าถึงว่องไวอย่างนี้”
อินจู๋เกาศีรษะ กล่าวอย่างสับสนเล็กน้อยว่า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ข้าแค่บอกสิ่งที่ตัวเองสัมผัสได้เท่านั้น”
อันยาถอนใจเบาๆ แล้วกล่าวว่า “เจ้าเด็กโง่ ทีหลังอย่าไปถามคำถามแบบนี้กับคนอื่นนะ ส่วนใหญ่นักเวทนิสัยประหลาด ทำให้คนอื่นขัดใจได้ง่าย”
……………………………………….