ตอนที่แล้วบทที่ 18 ผู้ใดก็เป็นทิวทัศน์(3)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 20(1-2) ท่านอาจารย์หนอ ท่านอาจารย์!

บทที่ 19 ศิษย์เป็นเงาของอาจารย์


บทที่ 19 ศิษย์เป็นเงาของอาจารย์

 

ฤดูหนาวเมื่อปีกลายอากาศหนาวเย็นยิ่งนัก สองมือของเถี่ยซินหยวนโดนความหนาวเหน็บทำร้ายจนเป็นแผล ฉะนั้นปีนี้มารดาจึงเตรียมสร้างบ้านให้แข็งแรงและอบอุ่นกว่าเดิม โดยบ้านของพวกเขาจะต้องเป็นหลังคามุงกระเบื้องสีดำถึงจะใช้ได้

 

หวังโหรวฮวาไม่ใช่นกหานฮ่าว[1]แต่บ้านหลังน้อยหลังนี้กลับทำให้นางต้องทุ่มเทเวลานานถึงห้าปีเต็ม ทุกวันนี้ไม่ว่าใครที่เห็นบ้านหลังน้อยของตระกูลเถี่ยต่างร้องชมเชยว่ายอดเยี่ยม

 

กำแพงวังดั่งคิ้วเรียวยาว บ้านหลังน้อยก็เป็นไฝเม็ดหนึ่งที่แต้มอยู่บนคิ้ว

 

แลดูงดงามและมีชีวิตชีวา

 

หญิงรูปร่างผอมบางผู้หนึ่งใช้เวลาในยามว่างนานห้าปี สร้างแหล่งพักพิงอย่างดีที่สามารถบังลมกันฝนได้ เพื่อตัวเองและบุตรชายผู้เป็นที่รักยิ่ง

 

กำแพงสูงใหญ่น่าเกรงขามปกป้องพวกนางสองแม่ลูก และยับยั้งให้คนทั้งหลายต้องหยุดอยู่ที่นอกระยะสิบก้าว ถ้าหากกล่าวว่ากำแพงแห่งนี้ทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัย ในขณะเดียวกันก็เป็นเหมือนกำแพงขวางกั้นระหว่างพวกเขากับโลกภายนอก

 

ในโลกใบนี้ทุกสิ่งล้วนต้องอาศัยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ฉะนั้นมารดาของเขาจึงเรียนวิชาสร้างบ้านจากช่างกระเบื้อง เรียนวิชาการใช้เลื่อยจากช่างไม้ นางทำได้แม้กระทั่งใช้สิ่วเจาะท่อนไม้จนเป็นรูอย่างสวยงาม...

 

และเพราะบ้านหลังนี้สร้างขึ้นจากสองมือของมารดา จึงมีความอบอุ่นอ่อนโยนแต่งแต้มอยู่หลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นหน้าต่างเล็กๆ น่ารัก หรือว่าหลังคาบ้านที่มุงด้วยไม้ไผ่เหลาเป็นเส้นยาว ล้วนเต็มไปด้วยความนุ่มนวลเฉพาะตัวของผู้หญิง

 

ทว่าบ้านหลังนี้มีหลังคาไม่สูงเท่าใด เนื่องจากทางวังหลวงไม่อนุญาตให้ตระกูลเถี่ยทำ มิฉะนั้นแล้วหลังคาบ้านอาจทำลายแนวป้องกันบนกำแพงได้ ทำให้เมื่อเถี่ยซินหยวนเดินเข้าบ้านแล้วขึ้นมายืนอยู่บนเตียง เขาก็สามารถเอามือแตะหลังคาได้พอดี

 

โชคดีที่มารดามีรูปร่างไม่สูงนัก เถี่ยซินหยวนเองก็ยังไม่เติบโตสักเท่าไร มีบ้านหลังน้อยเช่นนี้ก็มากพอจะบังลมกันฝนได้แล้ว

 

เมื่อต้นสาลี่เริ่มออกผลลูกแรกให้ชื่นชม เจ้าจิ้งจอกก็ย้ายบ้านไปนอนอยู่ใต้ต้นสาลี่แล้ว แต่ละวันมันจะคอยเงยหน้ามองผลสาลี่ค่อยๆ เจริญเติบโต ซึ่งช่วงเวลานี้มันจะทำตัวสงบเสงี่ยมที่สุด

 

เถี่ยซินหยวนชอบนอนเอนกายอ่านหนังสือบนหลังคาบ้านของตัวเองอย่างยิ่ง นับตั้งแต่สองขวบเมื่อมารดาสอนให้เขารู้จักตัวอักษรตัวแรก ในมือของเขาก็ไม่เคยขาดหนังสืออีกเลย แรกเริ่มมีเพียง ‘ตำราพันอักษร’[2]ภายหลังจึงเปลี่ยนเป็น ‘ตำราแรกศึกษา’[3] พอเถี่ยซินหยวนอายุสี่ขวบก็ศึกษา ‘ตำรารวมอักขระ’ จนเชี่ยวชาญ หลังจากนั้นมารดาก็ไม่มีสิ่งใดจะสั่งสอนเขาได้อีกแล้ว

 

ผู้เป็นมารดาทั้งภาคภูมิใจและลำบากใจกับเรื่องนี้มากทีเดียว ถ้าหากต้องการเรียนหนังสือไม่ว่าจะเรียนกับอาจารย์จากที่ใดก็ต้องอายุครบเจ็ดขวบก่อนถึงจะได้ แต่บุตรชายของนางอายุเพียงสี่ขวบเท่านั้น ไม่มีอาจารย์ท่านไหนกล้ารับเขาเป็นศิษย์แน่ เพราะไม่มีอาจารย์สอนเด็กแรกศึกษาท่านไหนยอมเชื่อเลยสักคนว่า เด็กอายุสี่ขวบคนหนึ่งจะอ่านตำรารวบรวมอักษรทั่วไปอย่าง ‘ตำรารวมอักขระ’ รู้เรื่องจนจบโดยสมบูรณ์แล้ว

 

เด็กอายุสี่ขวบอาจดื้อรั้นและไร้เดียงสาไม่รู้ความ แต่ไม่มีทางโกหกอย่างแน่นอน ถ้าหากเขามีมารดาที่เอ่ยวาจาโกหกพกลม เช่นนั้นบุตรของนางก็ไม่จำเป็นต้องไปสนใจให้เสียเวลา

 

เถี่ยซินหยวนไม่คิดจะไปใส่ใจ เขาฝักใฝ่ถึงการเรียนหนังสือแค่อย่างเดียวเท่านั้น แต่พวกตำราโบราณที่เขียนรวดเดียวโดยปราศจากการแก้ไขวรรคตอน พอขาดคำชี้แนะจากอาจารย์แล้ว เขาก็หมดปัญญาจะทำความเข้าใจจริงๆ แม้เขาจะมีพัฒนาการความคิดและสติปัญญาแตกต่างจากคนรอบข้าง ก็ไม่อาจเข้าใจสิ่งที่ต้องการเรียนรู้จากตำราเหล่านั้นได้

 

โชคดีที่โคลงกลอนไม่เป็นเช่นนี้ด้วย ตำราจำพวกโคลงกลอนจะมีการเว้นวรรคจบประโยค นอกจากนี้ยังมีความเรียงเล่าเรื่องในรูปแบบบันทึกการเดินทางที่เขายังพออ่านรู้เรื่องบ้าง

 

ในเมื่ออาจารย์เหล่านั้นยังไม่ยอมรับตัวเขาในตอนนี้เป็นศิษย์ เขาก็จะฉวยโอกาสในช่วงเวลาอันดีงามอ่านบันทึกการเดินทางไปก็ได้ ปัญญาชนแห่งอาณาจักรต้าซ่งโปรดปรานการเขียนบันทึกการเดินทางเป็นพิเศษ

 

เถี่ยซินหยวนอ่านออกแม้กระทั่งความลับทางการทหารของต้าซ่งและแคว้นเหลียว[4]ที่ซ่อนอยู่ในบันทึกการเดินทางบางเล่ม

 

ไม่ว่าจะเป็นปัญญาชนชาวซ่งหรือว่าปัญญาชนชาวเหลียว พวกเขาต่างขาดสำนึกในการรักษาความลับของบ้านเมืองตัวเอง บันทึกการเดินทางของแคว้นเหลียวบรรยายถึงรายละเอียดแต่ละแง่มุมในการแปรพระราชฐานของฮ่องเต้ยามฤดูใบไม้ผลิและใบไม้ร่วง หรือว่าเรื่องราวที่สมควรเก็บเป็นความลับอย่างเช่นวันนี้ฮ่องเต้ทรงทำอะไรบ้าง ล้วนมีบันทึกเอาไว้อย่างครอบคลุมครบถ้วนทุกด้าน

 

ขอเพียงเถี่ยซินหยวนใช้เวลาคิดคำนวณดูสักหน่อย ก็สามารถวิเคราะห์ที่ตั้งกระโจมแต่ละหลังในเขตที่ประทับแปรพระราชฐานอันกว้างขวางใหญ่โตของฮ่องเต้แคว้นเหลียว รวมถึงการเดินทางในแต่ละช่วงเวลาได้อย่างแม่นยำ

 

เมื่อเขาอ่านบันทึกการเดินทางของชาวซ่งแล้วพบเรื่องกำแพงรอบนอกกับคูเมือง รวมไปถึงพื้นที่มุมสูงตรงคูเมือง ตำแหน่งใดมีทหารประจำการณ์ ตำแหน่งใดมีจุดอ่อนที่สามารถใช้ประโยชน์ได้

 

เถี่ยซินหยวนก็ตามหา ‘บันทึกศาลไคเฟิง’ เป็นอันดับแรกทันที....

 

ไม่ว่าจะเป็นฮ่องเต้แคว้นเหลียวหรือกำแพงรอบนอกกับคูเมืองล้วนอยู่ห่างไกลเขามากเหลือเกิน ในเมื่อเวลานี้เขาอยู่ในเมืองหลวง เช่นนั้นแล้วการทำความเข้าใจโครงสร้างของเมืองเอาไว้ จะมีแต่ผลดีไม่มีทางเกิดผลเสียต่อเขาแน่นอน

 

หลังจากเถี่ยซินหยวนเรียนรู้การเขียนอักษรแล้ว เขาจึงเลิกนำอาหารเลิศรสมาหลอกล่อถงจื่อให้ไปขโมยอักษรเรียงพิมพ์อีก แต่ว่าเขาเปลี่ยนเป้าหมายมาเล็งหนังสือทั้งหมดนอกเหนือจากพุทธคัมภีร์ที่บ้านถงจื่อรับตีพิมพ์

 

ต้องขอบคุณปัญญาชนชาวต้าซ่งที่ละเอียดรอบคอบนัก พวกเขาต่างมีความจริงใจอย่างยิ่งยวดที่จะมอบความรู้ให้เถี่ยซินหยวน ต่อให้เป็นจุดบกพร่องที่เล็กที่สุด พวกเขาก็จะตรวจสอบเป็นร้อยรอบและแก้ไขทีละจุดจนกว่าจะมั่นใจ...

 

เถี่ยซินหยวนเปิดพลิกหน้าหนังสือและตำรานับไม่ถ้วนจนได้เห็น...วิชาความรู้สืบทอดยาวนานนับพันปี สำหรับปัญญาชนเหล่านั้นแล้วประโยคนี้เป็นคติที่ยึดมั่นดั่งกฎหมายของบ้านเมืองก็ไม่ปาน

 

“เขตเมืองชั้นนอกของเปี้ยนจิง อาณาบริเวณกว้างสี่สิบลี้ มีคูเมืองชื่อคลองฮู่หลง ความกว้างราวสิบกว่าจั้ง ริมสองฝั่งคลองต่างปลูกต้นหยางและหลิวเรียงราย กำแพงเมืองสีขาวและประตูเมืองสีแดงเข้ม ห้ามมิให้ผู้ใดสัญจรผ่านไปมา

 

อาคารนอกประตูเมืองล้วนเป็นป้อมสามชั้น ประตูป้อมล้วนเปิดแนวโค้ง มีเพียงประตูหนานซวิน ประตูซินเจิ้ง ประตูซินซ่ง ประตูเฟิงชิวเป็นทางตรงสองชั้น เนื่องจากประตูทั้งสี่เป็นประตูกลาง เป็นเส้นทางเสด็จสำหรับฮ่องเต้

 

กำแพงทิศใต้ของเขตเมืองชั้นนอก มีอยู่สามประตู...”

 

เถี่ยซินหยวนปิดหนังสือลง ทอดถอนใจให้กับความละเอียดรอบคอบของชาวซ่งไม่หยุด เส้นทางจากประตูหนานซวินถึงประตูซินเจิ้งมีหกพันสามร้อยหกสิบแปดเก้า ระยะทางเช่นนี้ตกลงพวกเขาวัดออกมาได้อย่างไรกัน? หรือว่าขณะที่คนผู้นี้กำลังเขียนตำรา เขาเดินไปทีละก้าวอย่างช้าๆ เพื่อวัดระยะทางออกมา?

 

“จากสะพานเที่ยวม่ายเดินไปทางตะวันตกร้อยก้าวก็คือประตูซีสุ่ย เขตเมืองชั้นในฝั่งซ้ายเดินจากประตูไปเจ็ดสิบสามก้าวมีบ่อน้ำชื่อบ่อเถียนสุ่ย ประตูซีสุ่ยการค้าขายมาก น้ำดื่มกินส่วนใหญ่ล้วนมาจากที่นี่ มีบ่อลึกลงไปประมาณหนึ่งจั้งหกฉื่อ...”

 

ร้านทังปิ่งของครอบครัวอยู่ที่ประตูซีสุ่ย ส่วนบ่อเถียนสุ่ยนั่นเขาไปมาไม่รู้จะกี่ครั้งแล้ว ลองทบทวนดูอย่างละเอียดครู่หนึ่ง ก็ยืนยันได้ว่าเป็นเช่นที่ในหนังสือกล่าวไว้ อาจจะไม่ผิดพลาดไปสักก้าวเลยด้วยซ้ำ

 

“อ่านตำราหมื่นเล่มเดินทางพันลี้ คนโบราณช่างซื่อตรงอย่างที่คิดไว้เลย” เถี่ยซินหยวนวางหนังสือลง ทันใดนั้นเขาก็พบว่าในอดีตคำที่มีคนกล่าวไว้ว่า ‘ซิ่วไฉไม่ออกนอกบ้าน ก็รู้สรรพสิ่งในใต้หล้า’ กลับเป็นเรื่องจริง เหมือนเช่นตัวเขาเมื่อครู่นี้ นอนเอนกายอยู่บนเตียงแท้ๆ แต่จิตวิญญาณกลับเดินทางล่องลอยไปไกลกว่าครึ่งหนึ่งของเมืองหลวงตามที่ในหนังสือบรรยายไว้

 

เมื่อหวังโหรวฮวาหิ้วกล่องอาหารใบหนึ่งเดินเข้ามาในลานบ้านหลังน้อยอย่างรีบร้อน เจ้าจิ้งจอกที่นอนอยู่ใต้ต้นสาลี่ก็ลุกยืนขึ้น มันอ้าปากกว้าง สี่ขาหน้าหลังยืดเหยียดตรงบิดขี้เกียจรอบหนึ่ง จากนั้นก็วิ่งเร็วๆ มาหาหวังโหรวฮวา วนไปพันแข้งพันขาของนางเอาไว้ จนจำเป็นต้องเตะมันให้พ้นทางอยู่หลายครั้ง นางถึงจะเดินหน้าไปดีๆ ได้ แม้จะเป็นเช่นนี้มาตลอดทาง แต่เจ้าจิ้งจอกก็กระโดดผลุงเข้าตัวบ้านนั่งจ้องกล่องอาหารที่แขนของหวังโหรวฮวาอยู่นานแล้ว

 

ระยะนี้ทั่วดินแดนต้าซ่งประสบกับภาวะภัยแล้ง ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งให้ทุกฝ่ายในวังต้องงดกินเนื้อสัตว์หมั่นไหว้พระสร้างกุศล ทำให้เจ้าจิ้งจอกไม่ยอมไปร่วมโต๊ะเสวยกับฮ่องเต้เหมือนเช่นเคย แต่มานอนเฝ้าอยู่หน้าบ้านให้หวังโหรวฮวานำเนื้อหมูกลับมาให้กิน

 

เมื่อหวังโหรวฮวาก้าวเข้าประตูบ้านมา ก็พบบุตรชายเอาหนังสือปิดหน้าคล้ายกำลังนอนหลับ ใบหน้าจึงปรากฏรอยยิ้มจางๆ นางเปิดฝากล่องอาหารแผ่วเบา แล้วใช้มือพัดให้กลิ่นหอมโชย

 

ชั่วขณะที่เจ้าจิ้งจอกน้ำลายไหลย้อยออกจากปาก เถี่ยซินหยวนก็ขยับกายลุกขึ้นนั่งโดยฉับพลัน ก่อนจะคำรามเสียงดังว่า “วันนี้เอาซี่โครงหมูให้เจ้าจิ้งจอกกินอีกไม่ได้แล้ว!”

 

หวังโหรวฮวาหัวเราะคิกคักแล้วดีดหน้าผากของบุตรชายครั้งหนึ่ง “ฟังเจ้าพูดเข้าสิ ไปแย่งอาหารกับเจ้าจิ้งจอกทำไมกัน”

 

เถี่ยซินหยวนส่ายหน้าแล้วชี้ไปที่เจ้าจิ้งจอก “เจ้าตัวยุ่งนี่แต่ละครั้งกินเร็วก็เร็วเยอะก็เยอะ ข้าคิดว่ามันไม่ใช่จิ้งจอกแล้ว แต่เป็นหมูที่ห่มหนังจิ้งจอกมากกว่า”

 

หวังโหรวฮวาหยิบอาหารในกล่องวางลงบนโต๊ะไปแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ปีนั้นเจ้าเป็นคนรับมันเอาไว้ในห่อผ้าเองนะ แถมยังแบ่งนมแม่ให้มันกินอีก อย่าคิดว่าแม่จะไม่รู้ ตอนนี้แบ่งซี่โครงหมูของเจ้าให้มันกินหน่อย จะมาคร่ำครวญอะไร?”

 

“ท่านแม่ดูมันสิ อ้วนจนจะเป็นตัวอะไรแล้ว ตอนนี้แม้แต่โพรงเล็กๆ นั่นยังมุดเข้าไปไม่ได้ เวลาจะเข้าไปในวังต้องให้ทหารองครักษ์หย่อนตะกร้าลงมารับ สภาพนี้แล้วยังจะมาขโมยอาหารของบ้านเราอีก?”

 

เจ้าจิ้งจอกไม่สนใจคำฟ้องของเถี่ยซินหยวนสักนิด มันนั่งวางท่าทางรออยู่บนเก้าอี้ให้ทุกคนเริ่มกินอาหารนานแล้ว หางใหญ่ๆ ที่มีขนยุ่งกระเซิงสะบัดไปมาบ่งบอกว่ามันมีความสุขมากทีเดียว

 

หวังโหรวฮวาวางชามใบใหญ่ลงตรงหน้าเจ้าจิ้งจอก นางยังใช้มือลองแตะดูว่าเนื้อหมูในชามอุ่นพอดีหรือไม่ เจ้าจิ้งจอกก็เลียรอยเปื้อนตามนิ้วมือของนางไปด้วย ก่อนจะก้มหน้ากินอาหารเสียคำโต

 

เนื่องจากครอบครัวเปิดร้านทังปิ่ง ดังนั้นเถี่ยซินหยวนจึงไม่รู้สึกชอบกินบะหมี่เลยแม้แต่น้อย เขาขอแค่ข้าวสวยเม็ดขาวๆ กลิ่นหอมกรุ่นสักชามโตๆ กินคู่กับซี่โครงหมูน้ำแดงชามเล็ก เท่านี้อาหารกลางวันของเขาก็ครบสมบูรณ์แล้ว

 

หวังโหรวฮวามองบุตรชายที่กินอาหารอย่างตะกรุมตะกรามพลางขมวดคิ้ว นางคีบผักกวางตุ้งลวกสองก้านใส่ลงไปในชามของเขา แต่บุตรชายของนางกลับโยนให้เจ้าจิ้งจอกอย่างไม่เกรงใจทันที

 

เจ้าจิ้งจอกร้องครางหงิงๆ จากนั้นก็ใช้กรงเล็บกวาดผักสีเขียวร่วงลงพื้น หวังโหรวฮวาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วคีบผักบนพื้นขึ้นมาวางบนโต๊ะ

 

พ่อทูนหัวทั้งสองคนนี้ไม่มีใครยอมกินผักเลย เดิมทีเจ้าจิ้งจอกยังยอมกินผักกวางตุ้งบ้าง ต่อมาก็เอาอย่างเถี่ยซินหยวนไม่ยอมกินผักกวางตุ้งอีกแม้แต่ก้านเดียว นี่เป็นหมาป่าสองตัวชัดๆ หมาป่าที่เอาแต่กินเนื้อเสียด้วย

 

“ท่านกัวที่อยู่ประตูหนานซวินเป็นคนตรงไปตรงมา เรื่องศึกษาหาความรู้นับว่าเข้มงวดกวดขันที่สุด สอนความรู้ขั้นพื้นฐานก็ดี แต่ว่าอยู่ไกลจากบ้านของเราไปสักหน่อย...

 

ท่านเหลียงที่อยู่ตรงสะพานซ่างถู่เป็นคนมีอารมณ์ขันยิ่งนัก ได้ยินว่าเด็กเล็กๆ มากมายต่างฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของเขา ลูกเอ๋ย เจ้าไม่ชอบถูกบังคับควบคุมที่สุด ถ้าหากเป็นลูกศิษย์ของท่านเหลียง อย่างน้อยเจ้าคงเรียนได้อย่างมีความสุข แต่ถ้าหากเป็นลูกศิษย์ของท่านกัวแล้ว แม่เป็นห่วงว่าเจ้าจะทนกับความเข้มงวดของเขาไม่ไหว...”

 

พอได้ยินว่ามารดากำลังเสาะหาอาจารย์คนแรกให้ตน เถี่ยซินหยวนก็เงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ท่านแม่ เมื่อสองปีก่อนก็เป็นท่านกัวคนนี้ที่ตำหนิว่าท่านพูดจาเหลวไหลเลอะเทอะกระมัง? ส่วนท่านเหลียงนั่นก็ด้วยมิใช่รึ ที่เอ่ยวาจาหยอกล้อท่านว่าให้กำเนิดหยกยังมิได้เจียระไน[5]? ฟังสองประโยคนี้ก็มองสันดานเดิมของพวกเขาออกแล้ว

 

คนหนึ่งเป็นพวกคร่ำครึที่ถือว่าตนถูกต้องเสมอ ส่วนอีกคนก็เป็นถุงสุราห่อข้าว[6]ไร้ความรู้ความสามารถ พวกเขาคนหนึ่งสั่งสอนศิษย์จนกลายเป็นหุ่นไม้[7]ส่วนอีกคนก็ดีนักเชียว ขอเพียงจ่ายเงินก็ไปร่ำเรียนกับเขาได้ ท่านคาดหวังให้ข้าเรียนรู้สิ่งใดจากอาจารย์เช่นนี้เล่า?”

 

หวังโหรวฮวามองหน้าบุตรชายด้วยความลำบากใจก่อนจะเอ่ยว่า “ตอนนี้เจ้าอายุหกขวบครึ่งแล้ว พอย่างเข้าฤดูใบไม้ร่วงก็สมควรรวบผมเรียนหนังสือ ถ้าหากเจ้ายังเลือกไปเลือกมาอยู่เช่นนี้ จะทำให้การเข้าเรียนในสำนักศึกษาระดับอำเภอต้องล่าช้าออกไป แม่ลำบากแค่นี้ไม่เป็นอะไรหรอก”

 

เถี่ยซินหยวนหัวเราะแล้วกล่าวว่า “ท่านแม่ขอรับ ลูกอ่านเจอจากในตำรา ลูกศิษย์ติดตามอาจารย์เช่นไร ก็จะกลายเป็นเงาของอาจารย์ท่านนั้น ลูกไม่อยากเป็นทั้งคนหัวคิดคร่ำครึ แล้วก็ไม่อยากเป็นเพียงถุงสุราห่อข้าว แน่นอนว่าอาจารย์สองคนนั้นย่อมไม่เหมาะสม

 

ท่านวางใจเถิด ทุกปัญหาย่อมมีทางออก ลูกจะต้องหาอาจารย์ที่เหมาะสมได้แน่”

 

หวังโหรวฮวาที่รู้จักนิสัยบุตรชายเป็นอย่างดีรีบถามขึ้นว่า “เจ้ามีตัวเลือกที่เหมาะสมแล้วหรือ?”

 

เถี่ยซินหยวนเอ่ยยิ้มๆ ว่า “รออีกไม่กี่วัน ถ้าหากเขายังไม่โดนตัดหัว เพียงแค่ลาออกจากราชการกลับมาอยู่ที่บ้าน ข้าก็จะมีอาจารย์สักคนหนึ่งแล้ว”

 

----------------------------

 

[1] นกหานฮ่าว(寒号鸟)แปลว่า นกที่ร้องในฤดูหนาว มาจากนิทานจีนที่เล่าว่านกชนิดนี้จะทำตัวรื่นเริงอวดขนสวยๆ จนกระทั่งฤดูหนาวใกล้มาถึงก็ไม่มีการเตรียมเสบียงหรืออพยพลงใต้ มันได้แต่ร้องคร่ำครวญและใช้ชีวิตในช่วงฤดูหนาวอย่างยากลำบาก ใช้เปรียบเปรยถึงคนที่อยู่รอดไปวันๆ ไม่เคยมีการเตรียมพร้อม ไม่เคยคิดการณ์ใหญ่

[2] ตำราพันอักษร(千字文)แต่งโดยโจวซิงซื่อ(周兴嗣)ขุนนางในสมัยเหลียงอู่ตี้(梁武帝)แห่งราชวงซ์ใต้ เขานำเอาตัวอักษรจีนที่ใช้บ่อย 1,000 ตัว มาแต่งเป็นบทกวีประโยคละ 4 ตัวอักษร จำนวน 250 ประโยค เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายจนถึงปลายราชวงศ์ชิง

[3] ตำราแรกศึกษา(开蒙要训)เป็นตำรารวบรวมอักษรที่ใช้งานบ่อยเคียงคู่กับตำราพันอักษร เริ่มปรากฏแพร่หลายตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง

[4] แคว้นเหลียว(辽国)เป็นแคว้นที่ก่อตั้งโดยชนเผ่าชี่ตัน ครอบครองดินแดนทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีนในปัจจุบัน

[5] หยกยังมิได้เจียระไน(璞玉)หมายถึง คนที่มีความสามารถแต่ยังไม่ได้ผ่านการขัดเกลา เหมือนดั่งหยกที่ยังมิผ่านการเจียระไน

[6] ถุงสุราห่อข้าว(酒囊饭袋)เสียดสีคนที่ไร้ความสามารถ ว่าทำได้เพียงกินดื่ม ไม่มีปัญญาทำอะไรได้

[7] หุ่นไม้(木头人)คนขาดไหวพริบ ไม่รู้จักพลิกแพลงตามสถานการณ์

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด