ตอนที่ 37: ศึกเพื่อเปิดทางอพยพ (II)
ตอนที่ 37: ศึกเพื่อเปิดทางอพยพ (II)
เฮเซคียาห์มองภาพชาวมัสตินสติดีและผู้ที่ถูกบงการเข้าต่อสู้กันเองที่ใจกลางพื้นที่ปะทะ การจับคู่ต่อสู้ไม่ได้เป็นไปแบบหนึ่งต่อหนึ่ง เพราะชาวมัสตินสติดีย่อมอยากช่วยเหลือกันเอง หรือเข้าแยกเพื่อนที่ถูกบงการออกไป และนี่ทำให้เฮเซคียาห์ยิ้มออก เพราะเห็นแล้วว่าชาวมัสตินจะถูกลบออกไปจากสนามต่อสู้ได้เร็วกว่าที่คิด
“เอาล่ะ คุณได้ยินผมไหม” เขาพูดกับผู้ใช้เศวตศาสตรแห่งดิน“ค่อยๆ เปลี่ยนดินให้อยู่ในสภาพโคลนดูด ผมรู้ว่าคุณต้องใช้เวลามากหน่อย แต่ระหว่างนี้ผมบอกเมเดียนแล้วให้ช่วยงานของคุณให้ง่ายขึ้น”
เมเดียนที่กำลังต่อสู้กับเอ็กซัสอย่างติดพัน ส่งเสียงแหลมราวกับนกอยู่หลายหน เอ็กซัสที่ไม่เข้าใจตั้งท่าระแวดระวังแต่ไม่มีทางเข้าใจจุดประสงค์ของเมเดียน
วิหคเหมันต์จำนวนหลายสิบตัวปรากฏกายขึ้นบนท้องฟ้า และน้ำจำนวนหนึ่งพรั่งพรูลงมาสู่พื้นเบื้องล่างในบริเวณที่ชาวมัสตินนัวเนียสู้กันเองอยู่
ในการต่อสู้เฮเซคียาห์คงใช้วิหคเหมันต์ได้เพียงเท่านี้ เมเดียนไม่ยอมให้พวกมันเสี่ยงชีวิตในการช่วยพวกเขาต่อสู้
“เอาล่ะพื้นเปียกแล้ว ช่วยกวนดินหน่อย” เฮเซคียาห์ย้ำกับผู้ใช้เศวตศาสตราแห่งดิน
ชาวมัสตินที่มีสติดีคงได้รับคำเตือนจากไลฟ์ควอตซ์ว่าพวกเขากำลังจะได้เจอกับดัก พวกเขากระโดดขึ้นจากพื้นด้วยการพึ่งพากระแสลม แต่ชาวมัสตินที่ถูกบงการอยู่กระชากตัวพวกที่มีสติดีไว้ และนอกจากการถูลู่ถูกังคนจะหนี พวกเขายังเริ่มใช้พลังธาตุ ทั้งพลังลมที่พันรัดรอบขาของคนอื่นได้เหมือนลมดูด พลังน้ำแข็งที่แช่ขาของคนอื่นไว้ พลังสายฟ้าที่ชอร์ตแรงจนคนถูกชอร์ตอ่อนแรงชั่วคราว รั้งให้ชาวมัสตินบางส่วนถูกหยุดไว้กับที่ ขณะที่พื้นดินใต้เท้าค่อยๆ ยวบลงและเริ่มหมุนวนรุนแรงราวกับช็อกโกแลตถูกกวน
“โอ๊ะ! ทำได้ดีกว่าที่คิด” เฮเซคียาห์เอ่ยชมผู้ใช้เศวตศาสตราแห่งดิน
ตอนนี้ชาวมัสตินกว่า 30 คนจมอยู่ในบึงโคลนเป็นที่เรียบร้อย แต่อีกหลายคนที่อยู่รอบนอกยังสู้กับผู้ใช้เศวตศาสตรากองหน้าที่เก่งๆ ซึ่งสามารถต่อกรกับชาวมัสตินได้ทีละหลายคนตามลำพัง ซึ่งในขณะเดียวกัน ผู้ใช้เศวตกว่า 60 คน เริ่มถอยไปอย่างรวดเร็วจากพื้นที่ต่อสู้ พวกเขาไปประจำตามต้นไม้ต่างๆ ตามที่เฮเซคียาห์ได้เคยแจ้งไว้ รายล้อมสนามต่อสู้เป็นรัศมีวงกลมจากพื้นที่ศูนย์กลางการปะทะ
“ฉันเคยเตือนนายแล้ว เอ็กซัส ว่านายจะประมาทไม่ได้ แต่นายเชื่อมั่นในตัวเองเกินไปเสมอ การต่อสู้ในครั้งนี้มันเป็นการต่อสู้แบบทีมเว้ยเพื่อน” เฮเซคียาห์อดบ่นไม่ได้เมื่อเห็นสภาพเวทนาของเพชฆาตชาวมัสติน
เขาคอยสั่งให้ผู้ใช้เศวตศาสตราที่อ่อนแอป้องกันไม่ให้ชาวมัสตินหลุดออกไปจากวงกลมได้ แต่นั่นแหละ พอเริ่มมีท่าทีของการตีรัศมี ชาวมัสตินหลายๆ คนเริ่มหันมาสนใจการจัดการกับพวกผู้ใช้เศวตศาสตราที่พยายามตีกรอบพวกเขาไว้ เพราะตระหนักว่านี่เป็นกลยุทธ์การต่อสู้
แต่ช้าไปแล้ว ผู้ใช้เศวตศาสตราระดับสุดยอดฝีมืออีกสิบกว่าคนที่กระจายอยู่ในวงของการต่อสู้ พวกเขาแต่ละคนยืนอยู่ประจำจุดที่เฮเซคียาห์บอกและสามารถประสานกับผู้ใช้เศวตศาสตราที่อ่อนแอกว่าที่อยู่รอบนอกเพื่อคุมเชิงไม่ให้มีคนหลุดออกไปจากวงล้อมได้
เฮเซคียาห์คิดบางอย่างได้ เขาส่งโทรจิตไปหาเมเดียน
ใช้เวลาอยู่นานกว่าเมเดียนจะตอบรับคำขอของเฮเซคียาห์
“ถอยออกไปอีก ตีรัศมีวงกลมให้กว้างอีก พยายามอยู่ห่างวิหคเหมันต์หรือไอเย็นของมัน” เฮเซคียาห์ตะโกนบอกทุกคนด้วยเสียงของเขา แต่จริงๆ เขากำลังส่งเสียงตรงเข้าสู่กระแสจิตของทุกคนผ่านบรอธ
“คำเตือน: มีความเสี่ยงจะสูญเสียผู้รักษาพื้นที่ ไอเย็นจากวิหคเหมันต์อาจทำอันตรายพวกเขาถึงชีวิตได้”
“บอกวิธีแก้ปัญหามาสิวะ” เฮเซคียาห์รำคาญ
บรอธไม่พูดตอบ
“โอเค งั้นฉันคิดเอง” เฮเซคียาห์บอกบรอธว่าเขาต้องการเปิดใช้โหมดที่ปรึกษาส่วนตัว และปล่อยให้จิตของเขาล่องลอยไปเชื่อมโยงกับผู้ใช้เศวตศาสตราคนแล้วคนเล่าเพื่อให้เห็นภาพแต่ละมุมภายในวงต่อสู้ ก่อนที่เขาจะบอกกับบรอธให้ดึงจิตของเขากลับไปยังร่างของเขาเอง แล้วเขาเพ่งจิตไปยังพื้นที่ของสนามรบอีกครั้ง และสั่งบางคนผ่านบรอธ ให้พวกเขาวิ่งไปอยู่กับเพื่อนคนอื่นในรัศมีใกล้เคียง
“เท่านี้ก็ลดความเสี่ยงที่ไอเย็นจะทำอันตรายพวกเขา อยู่กับเพื่อน ดูปลอดภัยกว่า” เฮเซคียาห์สรุปความคาดหวังและหวังว่าทุกอย่างจะเป็นอย่างที่คาด
วิหคเหมันต์ลดระดับการบินของมันลงมา แต่มันไม่ได้เข้าแทรกแซงการต่อสู้ที่กำลังดำเนินไป แค่โฉบบินไปรอบๆ พื้นที่ตามแนวที่มีคนยืนกั้นเป็นรัศมีวงกลม สร้างกำแพงน้ำแข็งสูงหนึ่งเมตรครึ่งรอบพื้นที่การต่อสู้ เมื่อเห็นว่ากำแพงถูกสร้างขึ้นเรียบร้อย เฮเซคียาห์ไม่สนใจว่ามีชาวมัสตินบางคนพยายามปีนกำแพงน้ำแข็งออกไป เพราะผู้ใช้เศวตศาสตราที่อยู่หลังกำแพงสามารถควบคุมสถานการณ์ได้แน่นอน
เฮเซคียาห์ออกคำสั่งให้ผู้ใช้เศวตศาสตราแห่งการอัญเชิญ อัญเชิญเทพเคออสฉบับร่างจำลองออกมา ซึ่งจริงๆ มันเป็นเพียงร่างจำลองเพื่อรักษาพลังงานในรูปแบบต่างๆ ที่เจ้าของได้รู้จักจากการศึกษาตำนานเทพปกรณัมมาแต่ยังเยาว์วัย
เทพเคออสปรากฎร่างในวงต่อสู้ใกล้กับบ่อโคลน หนวดเฟิ้มและท่าทีดูแก่ชรา การเคลื่อนที่แต่ละก้าวดูเลื่อนลอยราวกับกำลังเดินละเมอ แต่เมื่อไปอยู่บนบ่อโคลนกลับไม่จมลงไปเหมือนกับชาวมัสติน และเมื่อร่างกายของเทพเคออสไปโดนชาวมัสติน เขาก็สลายหายไปกับตาเสียเฉยๆ
“หายไปไหน” เฮเซคียาห์ทราบดีว่าเทพองค์นี้ทำให้ทุกอย่างกลับสู่ความว่างเปล่า
“ย้อนกลับไปยังตอนเป็นไข่กับสเปิร์ม แต่ตาของทุกคนมองไม่เห็น”
“ทำไมถึงกลับไปเป็นไข่กับสเปิร์ม” เฮเซคียาห์งุนงง และคุยกับบรอธไปพลางๆ ตอนนี้เอ็กซัสสังเกตเห็นถึงสถานการณ์ที่บ่อโคลนแล้ว แต่เมเดียนรั้งเอ็กซัสให้ต้องต่อสู้กับเมเดียนต่อ ชาวมัสตินที่เหลือเลยต้องพยายามช่วยกันเอง
“ความว่างเปล่าที่แท้จริงคือไม่เคยเกิดมาก่อน แต่แน่นอนว่าก่อนจะเกิดตัวตนของคนๆ หนึ่งขึ้นมา มันมีองค์ประกอบบางอย่าง” บรอธทำให้เฮเซคียาห์เข้าใจได้ดีขึ้น
“เดี๋ยวก่อนนะ นั่นมัน...” เฮเซคียาห์เขม่นมองภาพนิมิตที่ส่งมาจากบรอธ ผิวโคลนของบ่อที่ชาวมัสตินตกลงไปมีเศษไลฟ์ควอตซ์ฝังกระจายอยู่ทั่ว น่าจะหล่นมาจากร่างของชาวมัสตินที่ถูกย้อนสภาพกลับสู่ความว่างเปล่า
“รายงาน: เศษพวกนั้นยังคงเชื่อมต่อกับไลฟ์ควอตซ์ต้นกำเนิด”
“ตามปกติเศษพวกนั้นควรถูกเอากลับไปหลอมคืนเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์ควอตซ์ต้นกำเนิด แต่เป็นไปได้หรือเปล่าที่เราจะยึดมันไว้และใช้ประโยชน์จากมัน” เฮเซคียาห์จู่ๆ เกิดนึกถึงโซเฟีย เธออาจยังต้องการเศษไลฟ์ควอตซ์ที่ตกเกลื่อนอยู่
“ยืนยัน: ไม่สามารถเป็นไปได้”
“เฮอะ งั้นช่างมัน” เฮเซคียาห์ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ
“นายคิดถึงโซเฟียอย่างนั้นเหรอ นี่ชอบเธออย่างนั้นเหรอ อย่างนั้นไปตามเธอกลับมาสิ”
“หุบปาก! ไม่ได้ชอบ! ฉันต้องการสมาธิ...” เฮเซคียาห์กดเปลือกตาของเขาลงแน่นขึ้นอีก เพ่งมองชาวมัสตินในนิมิตที่ไม่ได้ถูกเทพเคออสจัดการลงไป เมื่อเขาเหล่านั้นเว้นจากการปะทะกับผู้ใช้เศวตศาสตราในห้วงวินาทีสั้นๆ พวกเขาคอยหันไประดมพลังธาตุ โจมตีเทพเคออส
แต่พลังของพวกเขาไม่ได้ทำให้ร่างจำแลงของเทพชราสะเทือนได้แม้แต่น้อย และแต่ละคนก็หัวเสียเพราะผู้ใช้เศวตศาสตราดูรู้ทันทุกกระบวนท่าของตน
“ทำไมพวกนี้มันอ่อนแออย่างนี้ นี่เป็นชาวมัสตินจริงหรือเปล่าเนี่ย” เฮเซคียาหัเกิดโมโหขึ้นมาเฉยๆ
“ก็นายเป็นคนบอกจุดอ่อนของแต่ละคนกับพวกมนุษย์เองไม่ใช่เหรอ” บรอธดักคอ
“แต่นี่มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ ฉันไม่เคยเห็นพวกมัสตินตายเป็นร้อยเลยนะ”
“ก็นายไงล่ะ เพราะนายอยู่ที่นี่”
“...” เฮเซคียาห์ไม่ได้ชอบใจนัก เมื่อคิดว่าอดีตรัชทายาทผู้เสื่อมจากความเป็นมัสตินอย่างเขา สามารถลดจำนวนประชากรชาวมัสตินแท้ๆ ลงได้อย่างที่ไม่เคยมีเผ่าพันธุ์อื่นทำได้มาก่อน
“เป็นอะไร นิ่งไป เกิดเปลี่ยนใจจะไปช่วยชาวมัสตินแทนหรือไง อย่าลืมนะว่านายมีเป้าหมายของตัวเองอยู่ คือกลับไปเป็นชาวมัสตินเต็มตัว ซึ่งถ้านายทำไม่สำเร็จ พวกมัสตินก็ไม่สำนึกบุญคุณนายที่ช่วยพวกเขาหรอก?”
“ก็นั่นสินะ ในตอนนี้ ถ้าใครอ่อนแอก็ต้องแพ้ไป” เฮเซคียาห์ลุกขึ้นยืน
“จะทำอะไรน่ะ” บรอธเองไม่ใช่ว่าล่วงรู้ถึงความคิดของเฮเซคียาห์หรือเข้าใจทุกอย่างที่เขาทำ
“ไหนๆ ก็ไหนๆ ฉันไม่อยากให้แค่เมเดียนหรือผู้ใช้เศวตศาสตราจากเซนต์กิลเจนเป็นที่จดจำของทุกเผ่าพันธุ์ ว่าพวกเขาเพียงลำพังสามารถต่อกรกับชาวมัสตินเป็นร้อยๆ ได้” เฮเซคียาห์ตรงไปที่ประตู เขาไม่มีปัญหากับการมองเห็นภาพสถานการณ์ในพื้นที่ปะทะที่ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องขณะทำการเคลื่อนไหว “ฉันจะออกไปสู้ด้วยเหมือนกัน ประกาศออกไปให้รู้ทั่วกันว่าฉันต่างหากคนที่สำคัญที่สุด ฉันต่างหากที่ฆ่าพวกมัสตินเป็นร้อย”
“แต่นายจินตนาการว่าจะได้กลับไปเป็นรัชทายาทของชาวมัสตินไม่ใช่เหรอ”
“ก็ใช่! แต่มันไม่แย่หรอก การได้ชื่อว่าเป็นรัชทายาทที่เหี้ยมโหด” เฮเซคียาห์แย้มรอยยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกดีที่เขาจะได้ลงมือเองซะบ้าง เขาไม่คิดว่าควรซ่อนชื่อของเขาไว้ เพราะเขาอยู่ในจังหวะที่จะได้สร้างชื่อต่างหาก
เฮเซคียาห์สั่งให้ผู้ใช้เศวตศาสตราทั้งสามคนที่เขาเลือกติดต่อด้วยกระทำซ้ำในสิ่งที่ทำสำเร็จลงไปแล้ว เริ่มตั้งแต่บงการผู้ใช้เศวตศาสตราสิบคนเข้าโจมตีพวกเดียวกัน หาทางทำให้บ่อโคลนขยายขนาดเพิ่ม และส่งเทพเคออสสัมผัสแตะต้องคนที่ติดพันอยู่กับโคลน แน่นอนว่าการทำซ้ำย่อมมีอุปสรรคมากกว่าเดิม และในรอบที่สามมันก็ไม่ได้ผล
ชาวมัสตินพยายามถมบ่อโคลนทิ้ง และบางคนส่งพลังธาตุ อีกทั้งยังยิงปืนไปที่ผู้ใช้เศวตศาสตราทั้งสามคนที่ซ่อนเร้นอยู่ตามต้นไม้ต่างๆ
เฮเซคียาห์ที่รับรู้สถานการณ์ ออกคำสั่งให้ทุกคนเพียงถ่วงเวลาอย่างเต็มที่ ไม่ให้ศัตรูชาวมัสตินทลายกำแพงน้ำแข็งออกไปได้
“นายไม่มีความละอายแก่ใจเลยหรือไง ยังจำได้นี่ว่านายเป็นชาวมัสติน แล้วนี่นายยังจะออกไปฆ่าพวกเขาเองกับมือ” บรอธที่บินตามมาโวยวาย “ช่วยพวกมนุษย์ในการฆ่าก็เรื่องหนึ่ง แต่จะไปจัดการเองนี่มันเกินไปหรือเปล่า”
“แกอยากให้ฉันเป็นมนุษย์ และทำลายล้างชาวมัสตินมาตลอด นี่ไง! ฉันจะเป็นคนแบบนั้นให้แกดูวันนึง” เฮเซคียาห์หัวเราะร่า เขาเข้ามายังอาคารแห่งหนึ่งซึ่งเป็นสำนักงานของพวกลาดตระเวนของหมู่บ้าน ที่นี่มีชุดแบบเดียวกับที่มัลคอมเคยใส่ซึ่งช่วยในเรื่องการพรางตัว
เฮเซคียาห์เปิดล็อกเกอร์อันหนึ่ง ฉวยเสื้อหนังที่มองหาพบมาใส่อย่างรวดเร็ว
“ดูแลให้สัญญาณภาพไม่ขาดหายล่ะ พวกมนุษย์ในเมืองจะได้เห็นด้วยว่า ฉันน่ะ มันเท่ห์ขนาดไหน” เฮเซคียาห์ยักคิ้วข้างหนึ่งให้บรอธ
หลังสวมเสื้อหนังเรียบร้อยแล้ว และกดปุ่มเพื่อให้ร่างกายกลืนหายไปกับสภาพแวดล้อมและโปร่งใส เฮเซคียาห์รีบเร่งฝีเท้าเร็วจี๋ตรงไปที่เกราะคุ้มกันชั้นที่สอง เขาทะลุผ่านเกราะคุ้มภัยออกไป แล้วเคลื่อนกายอย่างชำนาญไปในป่า บรอธคอยตามเขามาตลอด และมันทำในสิ่งที่เหลือเชื่อนั่นคือการทำให้ตัวของมันโปร่งแสงเช่นกัน แต่เฮเซคียาห์ก็ยังสามารถมองเห็นมันได้ลางๆ
“เราน่าจะหาวันว่างๆ ที่แกเล่าให้ฉันฟังอย่างละเอียดนะ ว่าจริงๆ แกทำอะไรได้บ้างกันแน่” เฮเซคียาห์แขวะบรอธอย่างระอาที่มันทำเซอร์ไพรส์เขาตลอด
“ก็เพราะว่ามันมีรายละเอียดเยอะไง ฉันถึงบอกนายว่าค่อยๆ ใช้งานฉันไป เดี๋ยวก็รู้”
“ให้รู้ก่อนก็ได้ ฉันยินดีจะนั่งลงฟังแกพล่ามแล้วจดบันทึก” เฮเซคียาห์เห็นกำแพงน้ำแข็งตรงหน้าแล้ว
“มา หันมาจับฉันเอาไว้ ฉันจะพานายข้ามไป” บรอธออกจากสภาวะมีรูปร่างเกือบโปร่งใส มันบินมาดักด้านหน้าเฮเซคียาห์ ขนาดของบรอธใหญ่ขึ้นมาเล็กน้อย
เฮเซคียาห์ยื่นมือไปกำบรอธไว้เช่นเคย และปล่อยให้บรอธออกแรงยกร่างของเขาขึ้นสูงในอากาศ
“ฉันถามแกหน่อยเถอะ” เฮเซคียาห์ถามบรอธในใจของเขา “ถ้าแกขยายขนาดใหญ่ๆ แล้วให้ฉันขี่ไปไหนต่อไหน มันจะเป็นไปได้ไหม”
“...”
“เฮ้! ทำไมไม่ตอบ” เขาโวยวายเบาๆ ร่างลอยมาอยู่เหนือกำแพงแล้ว
“แค่รู้สึกอยากจะขำเป็น เหมือนกับสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาอื่นๆ”
“อะไรของแก” เฮเซคียาห์ย่นหัวคิ้วอย่างสงสัย สายตาของเขาพุ่งไปที่เอ็กซัสกับเมเดียนซึ่งทั้งคู่ดูใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เพราะบรอธกำลังเข้าไปหาทั้งคู่
“นายขี่ฉันได้ ฉันก็คงไม่ต่างจากพรมวิเศษในเรื่องอาละดิน”
“เรื่องอะไรนะ อาละดิน?” เฮเซคียาห์งงๆ กับบรอธ “แล้วตอบคำถามฉันมาได้แล้ว นายขี่ได้หรือขี่ไม่ได้”
“ได้สิ! แต่อย่าดีกว่านะ” บรอธตอบและหย่อนร่างของเฮเซคียาห์ลงข้างเมเดียน
เฮเซคียาห์สะกิดเมเดียนเบาๆ และรีบหลบเพราะเมเดียนคงคิดว่าถูกซุ่มโจมตีเลยกวาดมือมาที่เขาอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ๆ ผมเอง ผมมาช่วยคุณ” เฮเซคียาห์กดบนเสื้อหนัง ทำให้ส่วนที่ปิดคลุมใบหน้ารูดตัวเก็บเข้าไปในช่องบริเวณคอเสื้อ เผยใบหน้าของเขา ปากของเขายิ้มกว้างแบบสิ่งมีชีวิตกำลังกระหายเลือดที่รู้ตัวว่าอีกไม่นานเขาจะได้ลิ้มรสหวานของการสังหารโหด
“นี่มันอะไรกัน!” เสียงเอ็ดตะโรดังมาจากอีกด้านหนึ่ง
เอ็กซัสกำลังมองมาที่เขา
เฮเซคียาห์ยกมือขึ้นเป็นทำนองทักทาย รอยยิ้มยังไม่จางหายไป
“หวัดดีเพื่อนเก่า วันนี้เรามาฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่งเถอะนะ!”