ตอนที่ 37 ลักพาตัว
ตอนที่ 37 ลักพาตัว
“ผมจะพาโซอีกลับไปก่อนนะครับ”
เฮคเตอร์อุ้มโซอีที่กอดคอเขาไว้ขึ้นมา ทิ้งท้ายไว้เพียงแค่นั้นก่อนที่ร่างของทั้งจะหายวับไปในทันที
คนที่เหลือทั้งหมดได้ต่างถอนใจไปตามๆ กัน นึกภาพไม่ออกเลยว่าการต้องใช้ชีวิตอยู่โดยแบกความรู้สึกนั้นไว้จะเป็นอย่างไร แถมยังไม่อาจทราบได้ว่าจะต้องมีชีวิตอยู่ไปจนถึงเมื่อไหร่กัน
“คลายสะกดได้งั้นเหรอ มีพลังแหกกฎแบบนี้สินะ ไอ้คนร้ายนั่นถึงได้ต้องการโซอีมากกว่ากำจัด”
ฟอแกนด์พึมพำขึ้นมาก่อนจะถอนใจ พอได้รู้อย่างนี้แล้วหัวหน้าหน่วยก็ตระหนักได้ถึงความสำคัญและอันตรายของโซอีมากยิ่งขึ้น
“น่าจะอย่างนั้น มันคงกำลังพยายามหาทางกำจัดทุกหนทางที่จะทำให้ตัวมันเองถูกกำจัด แล้วหาทุกทางที่จะทำให้ตัวเองเอาตัวรอดได้ ยิ่งถ้าโซอีสะกดอะไรไม่ได้นอกจากคลายสะกดได้แล้วยิ่งเข้าทางไปใหญ่ เพราะโซอีคงไม่มีอันตรายกับมันเลย อย่างตอนเจอไอ้พวกนั้นที่ตระกูลชามันด์ เห็นชาเกลเล่ามาว่าเหมือนพวกมันมาดูเตาเผาวิญญาณ คงจะหาวิธีทำลายเตาเผาที่เป็นหนึ่งในหนทางที่จะทำให้วิญญาณตัวเองไปจากโลกนี้ได้”
เอ็ดเวิร์ดตอกย้ำความเห็นด้วยนั้นต่อ ได้ยินแบบนั้นแล้วทุกคนแทบจะถอนใจไปตามๆ กัน
“ผมเริ่มพอเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่เฮคเตอร์ถึงได้ห่วงคุณโซอีขนาดนั้น ถ้าเป็น…”
เสียงมือถือของเคนเซย์ดังขึ้นแทรกก่อนที่เขาจะได้พูดจนจบ
“เห...ไม่น่าเชื่อแถวนี้มีสัญญาณโทรศัพท์ด้วย”
เคนเซย์พึมพำก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมา
“แต่ก่อนแถวนี้ก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังล่ะนะ ถึงจะร้างไปแล้วแต่เหมือนเสาสัญญาณคลื่นโทรศัพท์จะยังอยู่”
เอ็ดเวิร์ดตอบคำถามนั้นให้ แต่ดูเหมือนเจ้าของข้อข้องใจนั้นจะนิ่งอึ้งไปแล้วเมื่อเห็นรายชื่อคนโทรเข้า เคนเซย์รีบกดแคปหน้าจอไว้เป็นที่ระลึกเมื่อเห็นชื่อเฟย์นะโผล่ขึ้นมา ก่อนจะรีบรับสายในทันที
แต่แล้ว…
ไม่มีเสียงผู้พูดจากปลายสาย นอกจากเสียงกรีดร้องที่หายวับไปราวกับโดนอะไรปิดปากหรืออาจหมดสติไปแล้ว
“เฟย์นะเกิดเรื่อง!”
เคนเซย์หยิบจี้ห้อยคอออกมา ก่อนจะกระโดดขึ้นร่างนกไฟแล้วบินขึ้นฟ้าไปในทันที เห็นดังนั้นแล้วชาเกลก็แตะตัวหัวหน้ากับท่านรองก่อนจะเร่งสปีดตามไปให้ทัน
ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ไม่นาน
เนื่องจากเคนเซย์ติดภารกิจสำคัญทำให้วันนี้เฟย์นะไปเรียนที่สถาบันกองปราบปรามคนเดียว โดยทั้งขาไปทางตระกูลมีคนขับรถรับส่งสำหรับลูกสะใภ้คนสำคัญ แน่นอนว่ารวมไปถึงขากลับที่จะกลับบ้านในตอนเย็นเพื่อช่วยดูแลความปลอดภัย
เวลาหนึ่งวันที่ว่างเปล่าผ่านไปอย่างรวดเร็ว แม้จะพอพูดคุยกับเพื่อนร่วมชั้นเป็นปกติได้บ้างแล้ว แต่เธอก็ยังไม่เคยชินกับชีวิตประจำวันที่ไม่มีอดีตคนรู้ใจ ทิมอยู่ในชีวิตเธอมาเกือบยี่สิบปี คงจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะปรับตัวให้ได้กับความเปลี่ยนแปลงอันมากมายมหาศาลนี้
กระทั่งเลิกคลาสจากวิชายิงปืนในภาคบ่าย เฟย์นะซึ่งอยู่ในชุดวอร์มเดินออกมาล้างหน้าที่อ่างรวมก็ได้พบกับยูทากะที่อยู่สภาพหลังจบคลาสเคนโด้
แม้จะรู้จักคุ้นหน้ากัน เพราะสถาบันแห่งนี้มีจำนวนผู้หญิงในแต่ละสายชั้นแทบนับนิ้วได้ แต่ทั้งสองก็ไม่เคยคุยกันอย่างเป็นทางการ
ยูทากะที่ล้างหน้าเสร็จเพียงยิ้มให้เฟย์นะบางๆ ก่อนจะหันหลังกลับไป
“เอ่อ...รุ่นพี่คะ”
หญิงสาวรุ่นน้องเอ่ยทักไว้ อีกฝ่ายจึงได้หันกลับมา
“คือฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับรุ่นพี่หน่อยค่ะ ไม่ทราบว่าหลังจากนี้จะสะดวกมั้ยคะ”
ยูทากะนิ่งงงไปชั่วขณะ จนสุดท้ายก็ตอบกลับ
“มีอะไรเหรอ พูดตรงนี้เลยก็ได้นะ”
“มันค่อนข้าง...ไม่ใช่เรื่องปกติน่ะค่ะ คงต้องหาที่ที่ปลอดภัยสักหน่อยคุยกัน”
รุ่นพี่สาวพอเข้าใจถึงความหมายนั้น คงจะหมายถึงเรื่องโลกวิญญาณนั่นแหละ แม้ในวันนั้นเธอจะไม่ได้ไปร่วมงานแต่งงาน แต่ก็เคยติดตามไปที่ตระกูลยูคิฮารุในวันที่หัวหน้าหน่วยของเธอสอบปากคำ เฟย์นะคงจะจำเธอได้จากตอนนั้นนั่นเอง
“งั้นเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเจอกันที่ห้องสมุดชั้นสองดีมั้ย”
“ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะรุุ่นพี่”
“ไม่เป็นไรจ้ะ เราคงมีเรื่องต้องคุยกันจริงๆ”
หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่โรงฝึก เมื่อเฟย์นะไปถึงห้องสมุดตามนัดยูทากะก็รออยู่ที่นั่นแล้ว หญิงสาวรุ่นน้องนำกระเป๋าไปวางที่โต๊ะเคาน์เตอร์ติดกระจกที่รุ่นพี่นั่งรออยู่ ก่อนจะเดินสำรวจโดยรอบให้ทั่วเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง
“ขอโทษที่รบกวนเวลานะคะ ฉันมีเรื่องจะปรึกษารุ่นพี่เกี่ยวกับพวกเรื่องโลกวิญญาณน่ะค่ะ”
เฟย์นะกลับมานั่งที่ก่อนจะเปิดประเด็นทันที
“ก็คิดว่าจะพูดเรื่องนี้แหละ คงไม่อยากคุยกับเคนเซย์สินะ มีอะไรก็ว่ามาเลย”
“คือ...พิธีชำระวิญญาณเนี่ย ถ้าฉันกลายมาเป็นนักปราบวิญญาณแล้วก็ทำได้ใช่มั้ยคะ ต่อให้มีพลังจากพิธีแบบนี้ไม่ได้ปะทุพลังตามธรรมชาติก็ตาม”
ยูทากะถึงกับต้องกลั้นลมหายใจไม่ให้เผลอปล่อยออกมาอย่างอารมณ์เสีย ตั้งแต่เคนเซย์เสียสิ่งนั้นไปให้กับรุ่นน้องคนสวยตรงหน้านี้แล้ว เธอก็รู้สึกเจ็บแปลบๆ ทุกครั้งเมื่อได้ยินคำคำนี้ เพราะสำหรับคนตระกูลยูคิฮารุแล้ว พิธีกรรมนั่นก็บ่งบอกได้ชัดเจนถึงการเลือกเจ้าสาวเข้าตระกูล
เพราะนั่นแปลได้อีกความหมายหนึ่งว่าเธอหมดสิทธิ์ไปแล้วนั่นเอง
แต่อย่างไรก็ตาม จะโทษเฟย์นะก็ไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ เพราะผู้หญิงคนนี้ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย ไม่เคยแม้แต่จะสนใจเคนเซย์ด้วยซ้ำ เธอต่างหากที่อยู่ต่อหน้าต่อตาเคียงข้างเขามานาน แต่คงไม่ดีพอจนถูกมองผ่านไปเอง
“ใช่แล้วเธอก็ทำได้นะ มันก็เหมือนกับความสามารถพื้นฐานทางภาษาที่จะทำให้เราพูดกับคนในโลกวิญญาณรู้เรื่องไม่ว่าเขาจะมาจากประเทศอะไร วิธีทำพิธีชำระวิญญาณก็จะอยู่ในจิตสำนึกของเรานั่นแหละ มันจะเป็นขึ้นมาของมันเอง พอรู้สึกได้ใช่มั้ย”
เฟย์นะนิ่งไปราวกับตั้งสมาธินึกถึงสิ่งนั้น ก่อนจะพยักหน้ารับออกมา
“งั้นสิ่งที่ฉันกำลังคิดว่าตัวเองก็ทำได้ก็คงจะจริง ฉันอยากจะถามให้แน่ใจก่อนน่ะค่ะมันทำได้จริงๆ”
“เธอคิดจะทำพิธีนั่นเหรอ ได้ยินมาว่าสะใภ้ตระกูลยูคิฮารุมักจะทำให้ทายาทที่จะเป็นผู้นำตระกูลคนต่อไปเพื่อเพิ่มพลังให้นี่นา เธออยากจะทำให้ใคร”
“ก่อนจะตอบเรื่องนั้น ฉันขออถามให้แน่ใจอีกเรื่องก่อนนะคะ คือถ้าเคนเซย์ทำพิธีนั่นให้กับฉันที่เป็นคนธรรมดา นั่นหมายความว่าพลังวิญญาณทั้งหมดในตัวฉันก็เป็นแบบเดียวกับเคนเซย์แต่แรกโดยไม่มีอะไรปนเปื้อนใช่มั้ยคะ”
“ว่าจะอย่างนั้นก็ได้เหมือนกันนะ”
เรื่องที่ว่ามาเป็นเหตุผลที่ทำให้ยูทากะเจ็บจุกมานานแล้ว การเป็นนักปราบวิญญาณทำให้เธอได้พบกับเคนเซย์ก็จริง แต่หญิงสาวก็มารู้เอาทีหลังเหมือนกันว่า คนตระกูลนี้มักจะเลือกเจ้าสาวที่เป็นคนธรรมดามากกว่า เพื่อไม่ให้พลังวิญญาณสายอื่นของคนอื่นมาปนเปื้อนกับสายพลังของตระกูล
“อย่างนั้นก็แปลว่าถ้าฉันทำพิธีชำระวิญญาณให้กับใคร ก็เท่ากับว่าคนคนนั้นก็จะได้สายพลังของเคนเซย์ไปด้วยเหมือนกันสินะคะ”
“มันก็ใช่ แต่ก็ไม่ถึงกับร้อยเปอร์เซ็นหรอกยิ่งถ้าไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน เพราะพลังวิญญาณจะเข้าไปปรุงแต่งตัวเองเพื่อคงสภาพให้เหมาะสมกับลักษณะของผู้รับแต่ละคนไป”
เมื่อได้ฟัง...เฟย์นะก็นิ่งงันไปเล็กน้อยราวกับใช้ความคิด
“รุ่นพี่คะ… ฉันทำพิธีชำระวิญญาณให้รุ่นพี่ดีมั้ย”
“เอ๊ะ…”
ข้อเสนอของเฟย์นะอยู่เหนือความคาดหมายใดๆ ทั้งปวง
“หมะ...หมายความว่ายังไง ทำไมจู่ๆ ถึงได้...”
“ขอโทษด้วยนะคะ วันนั้น...ฉันได้ยินรุ่นพี่บอกกับเคนเซย์ค่ะ ฉันแอบมานั่งพักอยู่ในซอกตรงนั้นก็เลยไม่มีใครสังเกต”
“ถ้าได้ยินอย่างนั้นแล้ว แล้วทำไมถึงได้คิดจะทำพิธีชำระวิญญาณให้ฉันล่ะ”
“ฉันไม่คู่ควรกับเขาหรอกค่ะ เขาสมควรได้รับความรักจากใครสักคนอย่างจริงใจมากกว่า ถ้าฉันทำพิธีนั่นให้รุ่นพี่ แล้วรุ่นพี่ก็มีสายพลังของตระกูลยูคิฮารุเหมือนกัน ทายาทของพี่กับเคนเซย์ก็น่าจะเป็นสายพลังเคนเซย์เหมือนกันนะคะ ฉันเองจะได้ปลีกตัวออกมาจากที่ที่ฉันไม่ควรอยู่อีกต่อไป”
ยูทากะใจเต้นตึกตักไปหมด จริงสินะ...อย่างน้อยก็มีหนทางนี้ที่จะทำให้คนในตระกูลยอมรับเรื่องสายพลังได้ เธอได้สมหวัง แล้วเฟย์นะที่ไม่ได้คิดอะไรกับเคนเซย์ก็ได้กลับไปใช้ชีวิตของตัวเอง
ในใจหญิงสาวตะโกนร้องตอบรับอย่างยินดี แต่มันจะดีจริงๆ ใช่ไหม ยิ่งเฟย์นะเสนอมาแบบนี้แล้วถ้าเธอตกลง เคนเซย์จะยิ่งเกลียดเธอมากขึ้นหรือเปล่าที่เป็นสาเหตุทำให้เฟย์นะจากเขาไป
ชั่วขณะที่กำลังลังเลว่าจะตอบรับข้อเสนอนี้อย่างไรนั่นเอง
เสียงเปิดประตูเข้าออกห้องสมุดชั้นสองดังขึ้น สองสาวหยุดพูดเรื่องนี้กันต่อโดยไม่ต้องให้ใครเตือน และเมื่อหันไปมองที่ต้นทางนั้น พวกเธอก็ได้พบกับชายคนหนึ่งที่แต่งกายในชุดลำลองทั่วไปเหมือนวัยรุ่น ที่หัวของเขาคาดผ้ารัดศีรษะไว้ ซึ่งดูจากหน้าตาที่ไม่คุ้นแล้วคงไม่ใช่นักศึกษาของสถาบันแห่งนี้ และเจ้าคนแปลกหน้านี่ก็กำลังเดินตรงดิ่งเข้ามาที่พวกเธอ
และเมื่อยูทากะสังเกตได้ว่าที่รอบเอวนั้นมีดาบห้อยอยู่ในฝักสองเล่ม หญิงสาวรุ่นพี่ก็กระโดดลงจากเก้าอี้พร้อมกับเรียกอาวุธวิญญาณออกมาทันที
เฟย์นะเบิกตาโพลงขึ้นอย่างตื่นตกใจถึงขีดสุดเมื่อเห็นคนสองคนที่เดินตามเข้ามาทีหลัง และจำได้ว่าหนึ่งในนั้นคือเด็กสาวผมทองคนเดียวกับที่เคยเจอเมื่อคืนวันนั้น
หญิงสาวรีบล้วงมือไปในกระเป๋ากระโปรงเพื่อหยิบโทรศัพท์ ใช้รอยนิ้วมือเปิดเครื่องและหยิบออกมากดหมายเลขโทรด่วนออกไป
ปึก!
แต่ไม่ทันที่ปลายสายจะได้รับ โทรศัพท์ของเฟย์นะก็ถูกอะไรบางอย่างยิงร่วงตกลงบนพื้น
“ต้องการอะไร”
ยูทากะออกมายืนบังหน้าเฟย์นะไว้
“ไม่ใช่แกก็แล้วกันยัยแว่น เป็นแค่นักปราบวิญญาณสายธรรมดาสินะ ถ้าไม่อยากตายก็หลีกไปดีๆ”
“อย่ามัวแต่เล่น รีบลงมือได้แล้ว”
เด็กสาวผมทองทวินเทลเตือนขึ้นเสียงดุ ดูแล้วราวกับเป็นผู้มีอำาจสั่งการสุงสุดในทีมนี้ อีกคนเป็นชายสวมแว่นในชุดสูทเหมือนพนักงานบริษัท ซึ่งเดินออมไปด้านข้างราวกับกำลังเตรียมการชิงตัวเป้าหมาย
อยู่ๆ วัตถุทรงกลมคล้ายกับลูกบอลก็ถูกขว้างออกมาทางสองสาว ยูทากะกระโดดหลบได้ทันยกเว้นเฟย์นะที่กำลังตื่นตกใจจนยืนขาตายขยับตัวไม่ได้แม้แต่น้อย
เฟย์นะกำลังดำดิ่งลงสู่ความหลัง เหมือนกำลังเกิดภาพฉายซ้ำย้อนกลับเมื่อตอนที่เธอเสียทิมไป
ลูกบอลนั่นคลายออกเป็นแหบางๆ ซึ่งกะระยะทางให้คลายออกได้ครอบตัวเฟย์นะพอดี ก่อนที่ชายสวมแว่นนั่นจะรวบแหเข้าพร้อมกับเสียงร้องตกใจของหญิงสาวผู้ถูกจับ และดึงแหกลับเข้ามาโดยไม่ได้สนใจร่างที่ติดอยู่ในนั้นเลยว่าจะเสียหลักหกล้มหัวฟาดอย่างแรงจนหมดสติ รวมถึงร่างกายขูดถลอกไปกับพื้น
“หยุดนะ!”
ยูทากะพุ่งเข้าไปหาเฟย์นะเพื่อจะช่วย แต่ดาบของเธอก็ถูกหยุดไว้ด้วยดาบของชายผู้มีผ้าโพกหัว ดาบของทั้งสองปะทะกันหลายกระบวนโดยไม่มีใครเสียท่าอย่างสูสี
“วู้ว...ไม่เบานี่”
คนร้ายผู้ใช้ดาบเอ่ยปากชมออกมา จนกระทั่งมีเสียงของชายสวมแว่นใส่สูทดังจากด้านหลัง เขาดึงร่างของเฟย์นะที่อยู่ในแหกลับไปรวมกับเด็กสาวผมสีทองแล้ว
“รีบได้แล้ว ก่อนที่เจ้าพวกนั้นจะแห่กันมา”
“รู้แล้วน่ะน่ารำคาญจริง”
ชายโพกหัวสบถ ก่อนจะรับมือยูทากะที่โจมตีเข้ามาอย่างไม่ให้เสียเวลา
“เสียดายนะนักปราบวิญญาณธรรมดาๆ อย่างแกอยู่ต่อหน้าสายพิเศษแบบพวกฉันพวกแกมันก็คนธรรมดานั่นแหละ”
ชายนักดาบรวบด้ามจับชักดาบที่อยู่ในฝักอีกเล่มออกมา แต่มันกลับเป็นดาบที่ไม่มีใบดาบแต่อย่างใด
ยูทากะขมวดคิ้วมองพร้อมกับถอยหลังออกเล็กน้อยอย่างระมัดระวัง เมื่อดาบที่ไม่มีใบดาบนั้นกวัดแกว่งออกมาแล้วไม่เกิดสิ่งใด นักปราบวิญญาณสาวจึงพุ่งตรงเข้าไปโจมตีอีกครั้งในทันที
ทว่า…
เสียงคมดาบที่เฉือนเข้าเนื้อดังขึ้นราวสี่หรือห้าครั้ง ก่อนที่หญิงสาวจะล้มคว่ำหน้าลงไปทั้งที่ยังสับสนงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้น
“จัดการซะ มันเห็นหน้าพวกเราหมดแล้ว”
เสียงคำสั่งดังขึ้นอีกครั้งจากชายสามแว่นที่ยืนรออยู่ด้านหลัง
“รู้หรอกน่ะ! หุบปากเลิกสั่งซะที”
นักดาบคู่กรณีหันไปตวาดกลับ ก่อนจะเก็บดาบที่ไม่มีใบดาบกลับเข้าที่แล้วดึงดาบปกติอีกเล่มออกมา มันพุ่งไปข้างหน้าเพื่อจะจัดการร่างของหญิงสาว ซึ่งพยายามลุกขึ้นมานั่งให้ปิดปากได้สนิทไป
ยูทากะรู้สึกได้ถึงความตายที่รออยู่ตรงหน้า แม้จะมองเห็นแต่ร่างกายก็ไม่สามารถขยับตามสั่งได้อีกแล้ว ในเสี้ยวเวลาที่คิดว่าจะคงจะไม่ได้เห็นหน้าใครบางคนอีกแล้วนั่นเอง
เคร้ง!
เสียงกระจกที่แตกจากด้านหลังดังขึ้นพร้อมๆ กับเงาร่างของเคนเซย์ที่ปรากฏตัวขึ้น ก่อนจะใช้ดาบของตัวเองรับดาบนั้นไว้ช่วยยูทากะได้ทัน
เมื่อเจ้านักดาบที่แสดงสีหน้าตื่นเต้นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด กำลังจะง้างดาบเพื่อเข้าสู่การต่อสู่อีกครั้ง แต่อยู่ๆ ร่างของมันก็ราวกับถูกลากดึงถอยหลังเพื่อเข้าไปในช่องวางสีดำที่เกิดขึ้นกลางอากาศ ประตูเคลื่อนย้าย--พลังวิญญาณสายพิเศษของเด็กสาวผมสีทองนามว่าอายะที่กำลังจะปิดลง
“เฟย์นะ!”
เคนเซย์พุ่งตัวตามเข้าไปแต่สุดท้ายก็คว้าได้เพียงอากาศที่ว่างเปล่า
“เคน… เซย์”
ในวินาทีที่ใจหายวาบเมื่อช่วยเฟย์นะไม่ทัน เขาก็ได้ยินเสียงเรียกจากด้านหลังที่ช่วยดึงสติให้กลับมา
“พี่ยูทากะ!”
หญิงสาวที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสนอนหมดสติจมกองเลือดของตัวเอง