ตอนที่ 36 ความในใจของลินจิ
ตอนที่ 36 ความในใจของลินจิ
พระจันทร์เต็มดวง ทะเลยามค่ำคืนสะท้อนแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมา
ชุนกับลินจินั่งมองท้องฟ้ายามค่ำคืนริมหน้าต่าง แม้ต่างฝ่ายจะอ่อนล้าจากบททดสอบของจิฮาดะ ทว่ากลับไม่มีฝ่ายใดคิดที่จะกล่าวถึงเรื่องนั้น หากแต่ปล่อยความรู้สึกของพวกเขาให้ผ่านพ้นไปกับห้วงเวลาที่อยู่ร่วมกัน
ขณะที่ความเงียบเข้าปกคลุม…
“…เจ้า”
เสียงที่เคยเกรี้ยวกราด เอ่ยเรียกตนอย่างอ่อนโยน
ลินจิมองหน้าอีกฝ่ายซึ่งกำลังมองออกนอกหน้าต่าง
มือหนาของชุนขยับเคลื่อนเข้าใกล้ แล้วหยุดอยู่กลางโต๊ะ
ความตื่นเต้นของลินจิพวยพุ่งขึ้นราวกับจะระเบิด เลือดภายในกายพลุ่งพล่านจากหัวใจไปทั่วร่างกาย ชีพจรเต้นเร็วกว่าปกติ แม้จะไม่ทราบสาเหตุว่าทำไม แต่เขาก็พยายามควบคุมลมหายใจ คิดไปเองว่าอาจช่วยให้สภาพที่คล้ายตื่นตกใจนี้สงบลงได้
ชุนได้ยินเสียงหายใจที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่ายจึงหันมา
“เจ้าเป็นอะไร…”
สองสายตาประสานกัน หยุดนิ่งอยู่อย่างนั้น ราวกับจะมองทะลุเข้าไปข้างในของอีกฝ่าย
ลินจิมองชุนไม่วางตา เมื่อรู้ตัวว่าเผลอเหม่อจึงสะดุ้ง
“อืม อ๊ะ เปล่าครับ”
เห็นท่าทีตกใจอย่างเปิดเผยของฝั่งนั้นชุนก็ยกยิ้ม แล้วก้มลงเล็กน้อยมองมือของตน จากนั้นจึงค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นหันกลับมองนอกหน้าต่าง
ฝ่ามือที่วางกลางโต๊ะเคลื่อนไกลออกไป…
ลินจิเฝ้ามองมือนั้นพลางกะพริบตา ดูมันถอยห่างออกไปอย่างเชื่องช้า พอมือนั้นไม่อยู่บนโต๊ะแล้ว จึงค่อย ๆ วางมือของตนลงไปยังตำแหน่งก่อนหน้านี้
อุณหภูมิส่งผ่านมายังมือ …อุ่นจัง
แม้ชุนยังอยู่ข้าง ๆ แต่ลินจิก็หวนระลึกถึงสัมผัสมือของอีกฝ่ายที่จับมือตนในตอนนั้น ทั้งนิ้วเรียวยาวและฝ่ามือนั้นนำพาความสุขและความมั่นคงให้ล่องลอยไปไกลแสนไกล
ตนไม่มีสิทธิ์จะได้รับมันด้วยซ้ำ
ความรักที่มีเรื่องเพศเป็นสิ่งขวางกั้น มันเป็นเช่นนี้เองหรือ
ถึงแม้จะไม่เป็นเช่นนั้น อีกฝ่ายก็มีคู่หมั้นแล้ว
ตนไม่ได้เสียใจ แค่คิดว่าตอนนี้ชุนกำลังคิดถึงใครสักคนอยู่หรือเปล่า
แล้วเขาจะมีทางเป็นใครสักคนที่ว่านั้นไหม
ลินจิขยับปลายนิ้วเสมือนจับมือนั้นไว้ ไม่มีอะไรเลยนอกจากพื้นไม้แข็ง ๆ ของโต๊ะ แต่เขาก็พยายามกำมืออยู่อย่างนั้นราวกับมีอีกมือวางอยู่ …ถ้ากำแน่นกว่านี้ มือของชุนอาจจะปรากฏขึ้นมาก็ได้ ความคิดไร้ซึ่งเหตุผลและไม่มีทางเป็นไปได้ผุดเข้ามาในใจ ลินจิไขว่คว้าเช่นนี้มาตลอดระยะเวลาที่หลุดเข้ามาในโลกแห่งนี้
จังหวะที่ขยับมือออก อีกมือก็สัมผัสมือของเขาเอาไว้ก่อนจะออกแรงบีบ
ลินจิรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาฉับพลัน แสงจากโคมไฟที่จุดอยู่ด้านนอกส่องประกายท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด และในตอนนั้น ชุนก็หันมาคล้ายกับจะพูดอะไรบางอย่าง
หัวใจของลินจิสูบฉีดอย่างแรง
หนึ่งวินาที สองวินาที ลินจิเฝ้ารอให้อีกฝ่ายเอ่ย เวลาช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้าราวกับว่าโลกได้หยุดหมุนไปเสียแล้ว
ทว่าในที่สุดชุนก็เปิดปาก…
“ข้าสัญญาว่าจะรวบรวมผลึกดวงดาวมาให้ได้”
ชุนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวเสริม
“เจ้าคงคิดถึงสถานที่ของเจ้าสินะ”
“อืม”
“เจ้าเองคงไม่อยากอยู่ที่นี่ไปตลอด”
“อืม”
ไม่ว่าชุนจะพูดอะไร ลินจิก็ตอบกลับแค่สั้น ๆ มิหนำซ้ำยังไม่คิดจะต่อบทสนทนา ความรู้สึกตื่นเต้นที่เหมือนหัวใจแทบจะระเบิดออกมาเมื่อครู่ผล็อยมอดดับลง ลินจิไม่ดีใจกับฝ่ามือหนา ๆ ที่กำลังกุมมือตนอยู่เลย แต่พอคิดว่าอีกฝ่ายช่างทึ่มเหลือเกิน ไม่รู้หรือว่าตนกำลังรู้สึกอย่างไร เขาก็รีบยกอีกมือปิดปากหลุดหัวเราะดัง…คิก
ชุนขมวดคิ้วทันที
“อะไร… เจ้าหัวเราะอะไร”
พอเห็นท่าทีลุกลี้ลุกลนของอีกฝ่าย ก็กลั้นหัวเราะต่อไปอีกไม่ไหว จึงหัวเราะ ฮะฮะ ออกมา
ถึงอย่างนั้น นิ้วเรียวยาวของชุนก็ยังอยู่บนหลังมือของตน
ลินจิก้มหน้าลงพร้อมดึงมือออกมาช้า ๆ ฝ่ามือของชุนร่วงลงบนโต๊ะอย่างแผ่วเบา
แม้รู้ว่าชุนกำลังมองอยู่ แต่ตนก็ก้มมองไปยังเล็บมือสกปรกที่ตั้งอยู่บนตัก
มือของชุนใหญ่แล้วก็อุ่นเล็กน้อย
“ขี้แกล้ง”
พอพูดเช่นนั้นแล้วมองกลับไป ชุนก็ขมวดคิ้วทำหน้าไม่เข้าใจ ดวงตาชุ่มน้ำแลดูทรมาน เช่นนั้นลินจิจึงก้มหน้าลงเหมือนเดิม
ขณะที่นั่งเงียบกันไปครู่หนึ่ง ชุนก็เบือนหน้ามองออกนอกหน้าต่าง เอ่ยว่า…
“นอนเถอะ…”
ลินจิพยักหน้ารับช้า ๆ แม้อยากรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไรกับตน แต่ก็ไม่อยากถาม
ความเป็นห่วงที่ชุนเกรงว่าตนจะกลับไปโลกเดิมไม่ได้ ทำให้รู้สึกเหมือนถูกผลักไส
พอชุนลุกจากเก้าอี้ ความปรารถนาปนสิ้นหวังนั้นเกือบทำให้ตนตะโกนเรียกชื่อชุนออกไป แต่ก่อนจะได้เปล่งเสียงชุนก็กระซิบ
“หากถึงวันที่เจ้าต้องกลับไป ช่วยจำไว้ว่าพวกเราเคยใช้เวลาร่วมกัน ช่วยเหลือกัน ได้มีเวลายิ้มให้กัน เพียงเท่านี้ข้าก็พอใจแล้ว เพราะงั้นอย่าลืมเรื่องนี้ล่ะ”
ดวงตาของลินจิสั่นระริก
หลังจากเอ่ยเช่นนั้น ชุนก็เดินไปยังเตียงโดยไม่หันกลับมาอีก
ลินจิมองตามแผ่นหลังนั้น กะพริบตาเฝ้ามอง ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี
เมื่อชุนจมร่างลงบนเตียง ตนจึงเดินไปดับตะเกียงที่ส่องแสงสลัวข้างประตู แล้วจึงเดินตามไป
ร่างของชุนปรากฏอยู่ตรงหน้า เสียงลมหายใจแผ่วดังอยู่ใกล้แค่นี้เอง ลินจิสังเกตดูดี ๆ ก็พบว่า…
...หลับไปแล้ว
แม้อยากปลุกชุนขึ้นมาแล้วคุยกันต่อจนถึงเช้า แต่สภาพร่างกายของตนก็อ่อนล้าเช่นกัน ลินจิพยายามกลั้นหาวพร้อมกับก้าวขึ้นเตียงอย่างระมัดระวัง สุดท้ายตนก็กลั้นไม่อยู่จึงอ้าปากหาว
เมื่อแผ่นหลังเอนสัมผัสลงบนเตียง หมอนนุ่ม ๆ รองรับศีรษะอย่างนุ่มนวล เปลือกตาทั้งสองซึ่งอ่อนแรงก็ผล็อยปิดลง
…
“ตื่นได้แล้ว จะหลับไปถึงไหน”
เด็กน้อยคนหนึ่งลืมตาช้า ๆ พบว่าตนเผลอหลับบนโต๊ะในห้องเรียน เมื่อทรงตัวขึ้น ก็พบหญิงใส่แว่นยืนอยู่ใกล้ ๆ ด้วยแววตาเหี้ยมเกรียม
…อาจารย์ของเขานั่นเอง
เสียงคิกคักดังขึ้นรอบห้อง หันมองรอบ ๆ จึงพบว่าเป็นเพื่อนร่วมห้องของตน
“นอนในห้องเรียนอีกแล้วนะลินจิ แบบนี้จะเรียนรู้เรื่องได้ยังไง!”
เสียงนั้นช่างไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย
ริมฝีปากของเด็กน้อยอ้าพะงาบ ๆ ไม่ได้เปล่งเสียงใด ๆ พร้อมเฝ้ามองอาจารย์ของตนหันหลังเดินไปยังกระดานเรียน
ขณะที่สายตาของเพื่อนในชั้นจับจ้องไปยังกระดานสีขาวเบื้องหน้าที่เต็มไปด้วยลายมืออ่านยาก เด็กน้อยกลับไม่นึกสนใจเลยสักนิด ฝ่ามือเรียวเล็กหยิบสมุดเล่มหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมา กะพริบตามองอย่างภาคภูมิใจ ภาพบุรุษคนหนึ่งถือดาบทรงญี่ปุ่นที่วาดด้วยลายเส้นง่าย ๆ แม้อาจดูน่าขบขันในสายตาผู้อื่น แต่สำหรับเขาคือผลงานที่สร้างมาจากความรักและความพยายาม
นิยายเรื่องนี้ แม้จะต้องอดนอน แต่เขาก็เต็มใจที่จะทำเช่นนั้น เพื่อที่จะแต่งแต้มโลกของตนเองขึ้นมา นั่นคือ…
อินเนอร์เวิลด์ (Inner World)
เนื้อเรื่องในนั้นเขียนถึงบุรุษผู้หนึ่งซึ่งออกตามหา ‘ผลึกดวงดาว’ แปดชิ้น เพื่อทำตามฝันปรารถนา ทว่าเด็กน้อยกลับไม่ทราบว่าความฝันที่ว่านั้นคือสิ่งใด เพียงแต่แต่งไปตามจินตนาการของตนเท่านั้น ไร้ซึ่งโครงเรื่อง ไร้ซึ่งตัวบท ไร้ซึ่งวิธีการใด ๆ
กระทั่งเนื้อเรื่องได้แต่งแต้มจากจินตนาการปรากฏบนหน้ากระดาษ จนกลายหนึ่งบทนำและเผยแพร่สู่สายตาคนอื่น เพื่อน และครอบครัวด้วยความภาคภูมิใจ
ทว่า… ภาษา สำนวน ไร้ซึ่งการฝึกฝน รูปภาพประกอบที่ตั้งใจวาดกลายเป็นสิ่งน่าตลกขบขันในสายตาผู้อื่น เมื่อความภาคภูมิใจถูกเสียงหัวเราะเย้ยหยันทำลาย สุดท้ายกลายเป็นความอับอายในที่สุด
ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังมีความหวัง…
กลับบ้านไปเด็กน้อยจึงอวดนิยายเรื่อง ‘อินเนอร์เวิลด์’ ที่ตนแต่งกับพ่อแม่
คิดว่า… คนใกล้ชิดคงเข้าใจตนเป็นที่สุด ทว่ากลับได้คำดุด่าว่ากล่าวซ้ำเติมจิตใจ
“อาจารย์โทรมาฟ้องว่าลูกหลับในห้องเรียน เลิกทำเรื่องไร้สาระได้แล้ว!”
ความภาคภูมิใจ ความฝัน และความหวัง ถูกทำลายไปในที่สุด
เด็กน้อยไม่ยอมกินข้าวเย็นแล้วขึ้นไปร้องไห้บนเตียง โยนนิยายที่ตนแต่งเล่มนั้นลงลิ้นชัก และไม่คิดจะหยิบมันขึ้นมาอีก
ขณะที่นิยายเล่มนั้นกระแทกลงในลิ้นชัก หน้าปกสีสันสวยของมังงะเล่มหนึ่งก็ปรากฏสู่สายตา
มือหนึ่งยื่นสัมผัสลงบนหน้าปกของหนังสือไซซ์บุงโงะในลิ้นชัก ก่อนจะหยิบขึ้นมาพร้อมคราบน้ำตา
‘ความรักของเทพจิ้งจอก’
หนังสือการ์ตูนที่เขาชอบ
เรื่องราวเกี่ยวกับการผจญภัยและความรักของเทพจิ้งจอก จุดประกายจินตนาการให้เด็กน้อยอยากสร้างโลกของตน
โลกที่มีเวทมนตร์
อาวุธ
อาคม
และการต่อสู้กับเหล่าปีศาจร้าย
แรงบันดาลใจนำไปสู่ความปรารถนา…
ตนจะล้มเลิกจริง ๆ หรือ
จะจบเพียงแค่นี้จริง ๆ หรือ
คิดเช่นนั้นก็ได้คำตอบ เด็กน้อยค่อย ๆ ยื่นมืออีกข้างหยิบนิยาย ‘อินเนอร์เวิลด์’ ของตนกลับขึ้นมาและตัดสินใจว่าจะแต่งมันต่อหลังจากนี้
ตอนนั้นเอง แผนที่ ดินแดน เหล่าอสูร เรื่องราวและข้อมูลต่าง ๆ ได้ถูกแต่งแต้มลงไปใน ‘อินเนอร์เวิลด์’ อีกครั้ง รวมถึงความปรารถนาลึก ๆ ในใจที่ตนชอบเพศเดียวกัน
ความสุขเอ่อล้นในใจอีกครั้งเมื่อตนได้สร้างเนื้อเรื่องขึ้นมา
ความปรารถนาที่จะเข้าไปอยู่ในโลกนั้นลอยขึ้นมาในหัวอย่างไม่มีวันเป็นจริง
ทว่าความทุ่มเทครั้งนี้ก็นำไปสู่เรื่องราวซ้ำ ๆ ในชีวิตประจำวันอีกครั้ง…
“นี่ลินจิ ตื่น!”
“โอ๊ย…”
ใบหูน้อย ๆ ถูกอาจารย์บิดทันที ตนเผลอหลับในคาบเรียนอีกแล้ว
นิยายที่แต่งค้างไว้บนโต๊ะดึงดูดสายตาของอาจารย์ เมื่อเธอหยิบสมุดเล่มนั้นขึ้นมา ความหวังที่จะได้รับความสนใจและคำชื่นชมก็เกิดขึ้นโดยพลัน แต่สิ่งที่เขาตั้งใจหวังกลับถูกเมิน
“เขียนอะไรเนี่ย… ไม่เห็นรู้เรื่องเลย ครูว่าเธอเลิกทำเรื่องไร้สาระแล้วเอาเวลาไปตั้งใจเรียนดีกว่านะ”
ความฝันของตนถูกเรียกว่าเป็นสิ่งไร้สาระไปเสียแล้ว
ความรู้สึกไร้ค่าผุดขึ้นในใจ ความฝันถูกเหยียบย่ำกลายเป็นความโกรธแค้นฝังลึกอยู่ภายใน
ในทึ่สุด ‘อินเนอร์เวิลด์’ ก็ถูกทิ้งไว้ในลิ้นชักในห้องของเด็กน้อยตลอดกาล
ทว่า…ความฝันนั้นยังไม่ถูกทิ้งไป
เหตุการณ์ในความทรงจำ สะท้อนออกมาเป็นภาพให้เห็น
ลินจิรู้ดีว่าเด็กน้อยคนนั้นคือตน แม้นิยายเล่มนั้นจะถูกทิ้งไว้และคิดว่าจะไม่มีวันที่จะเปิดขึ้นมาอีก แต่…ความฝันและความปรารถนายังคงฝังแน่นภายในจิตใจตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ตนไม่ได้คิดจะทิ้งมันสักนิดเดียว
‘อินเนอร์เวิลด์’ เป็นแรงบันดาลใจให้ตนกลายเป็นนักเขียน
เคยคิดว่าลืมมันไปตั้งนานแล้ว
แท้จริงนั้นเสี้ยวหนึ่งในส่วนลึกของหัวใจ ตนไม่เคยลืมนิยายเล่มนี้เลย
ทำไมตนถึงอยู่ที่นี่
เพราะอะไรตนจึงกลายเป็นเทพเจ้าที่ชุนอัญเชิญมา
—คำถามดังขึ้นในใจ
แม้ก่อนหน้านี้ตนจะไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน แต่เรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้น อุรามิ ผลึกดวงดาว และปีศาจเริ่มทำให้ความรู้สึกเปลี่ยนไป
อีกทั้งเรื่องความรู้สึกที่มีต่อชุน คู่หมั้นของฝั่งนั้น ไม่ว่าอย่างไรตนก็ไม่มีวันสมหวังแน่นอน
หรือว่าที่แห่งนี้จะไม่เหมาะกับตนจริง ๆ
โลกแห่งนี้…โลกที่ตนแต่งขึ้นมากับความเป็นจริงนั้น แม้จะมีบางส่วนที่คล้ายกัน แต่ก็ไม่สามารถพูดได้ว่าเหมือนเสียทั้งหมด
หากตอนนั้นตนแต่งนิยายให้ละเอียดกว่านี้
หากตอนนั้นตนตั้งใจมากกว่านี้
หากตอนนั้นตนไม่ล้มเลิกไปเสียก่อน
…ก็คง ช่วยชุนตามหาผลึกดวงดาวได้ง่ายขึ้น
ตนแทบไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับที่นี่เลยสักนิด แม้จะเป็นโลกนิยายที่แต่งขึ้นเองก็ตาม
ช่วงเวลาที่คิดถึงพ่อแม่หวนย้อนกลับมาในใจ พลอยให้นึกถึงสิ่งอื่นตามไปด้วย
ลินจิคิดถึงบ้าน คิดถึงร้านกาแฟที่ตนแวะไปอุดหนุนบ่อย ๆ คิดถึงสถานที่เงียบสงัดที่ตนชอบแอบชอบไปนั่งคนเดียวเวลาไม่สบายใจ
ตนมาไกลเหลือเกิน
จะกลับไปได้ไหมนะ
หากรวบรวมผลึกดวงดาวครบแปดชิ้น อุรามิจะสลายไปจริงหรือ
เมื่ออุรามิหายไป คำสาปซึ่งทำให้คู่หมั้นของชุนกลายเป็นชายจะหายไปจริงหรือ
หากชุนกลับไปอยู่กับคู่หมั้น ตนจะถูกทอดทิ้งอย่างนั้นหรือ
แม้ตอนนี้จะมีความสุขที่ได้อยู่ใกล้คนที่รัก แต่คิดเช่นนั้นก็เป็นเพียงการปลอบใจตัวเอง ประโยคที่ว่าขอแค่ได้อยู่เคียงข้างคนที่รักก็สุขใจ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดล้วนโกหกทั้งเพ
นึกถึงตรงนี้น้ำตาก็ผล็อยร่วงลงมา
ความรู้สึกสิ้นหวังและเสียใจนี้เป็นของจริง ตนไม่สามารถปฏิเสธได้เลย
“…อึก…อึก”
เสียงสะอึกสะอื้นแผ่วเบาทำให้ชุนตื่น เขาเอนกายมองเทพเจ้าที่นอนข้างตนอย่างสงสัย
สีหน้ายามหลับที่ดูเศร้าและทรมานทำให้ตนรู้สึกเจ็บปวดในใจ แม้ตนจะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่ความเศร้านี้เหมือนสายลมที่พัดเข้ามาสัมผัสถึงใจตน
เมื่อเห็นหยดน้ำใส ๆ ไหลจากตาของอีกฝ่าย จังหวะที่หยดน้ำตาจะร่วงสู่หมอน ปลายนิ้วของชุนผล็อยสัมผัสรองรับมันไว้ นิ้วชี้ของเขาสัมผัสลงบนแก้มซ้ายของอีกฝ่าย…
“…”
สัมผัสนั้นเผลอปลุกให้ลินจิตื่นขึ้นมา เมื่อสองตาเปิดขึ้นอย่างเชื่องช้า ชุนจึงรีบดึงมือกลับทันที