Chapter 35 : ภารกิจล้มเหลว
Chapter 35 : ภารกิจล้มเหลว
ผมกับมินจุนรีบวิ่งไปที่บริเวณประตูนิรภัยของห้องประชุมอย่างรวดเร็ว
ตู้ม !
เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นมาสนั่นหวั่นไหว ประตูที่มีระบบป้องกันความร้อนและความเย็น รวมถึงกระสุนปืนพังทลายลงไม่เป็นท่า พร้อมกับผู้ใช้เวทที่แฝงตัวมาทำงานกับพวกเรากรูกันเข้าไป รวมถึงทหารและผู้ใช้เวทของแต่ละประเทศที่เข้าไปขวาง และอารักขาผู้นำของตน จนเกิดการต่อสู้ที่หนักขึ้นกว่าเดิม
ภายในห้องมีเสียงร้องดังระงม และคนที่อยู่ภายในประมาณ 30 คนวิ่งกันให้ทั่วไปหมด จนตอนนี้แยกไม่ออกแล้วว่าใครเป็นใคร พวกเราสองคนรีบกวาดตามองหาผู้นำประเทศที่พวกเราดูแลทันที
“ไอ้มิน นั่นไง !” ผมร้องออกไปพลางชี้ไปยังมุมหนึ่งของห้องประชุม เมื่อเห็นผู้นำประเทศหนึ่งที่มินจุนอารักขาอยู่ ส่วนของผมก็อยู่ไม่ห่างกันมากกำลังวิ่งหนีผู้ใช้เวทที่จะเข้ามาโจมตี แต่ก็มีผู้ใช้เวทรับจ้างของพวกเราเข้าไปช่วยขวางไว้
“เห็นแล้ว ๆ” มินจุนพูด ก่อนรีบวิ่งเข้าไปยังที่บริเวณตรงนั้น
แต่ก่อนที่พวกเราจะได้วิ่งไปถึง อยู่ ๆ ก็เกิดสายลมพัดขึ้นมากลางห้องประชุม บริเวณที่มีโต๊ะประชุมเป็นโต๊ะยาวโค้งเข้าหากันเป็นวงกลม มันเป็นพายุทรายลูกเล็ก ๆ ก่อนจะก่อตัวใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ได้ในเวลาไม่นาน คงไม่ต้องบอกถึงที่มาว่าแหล่งกำเนิดมันมาจากอะไร ผมกับมินจุนรีบใช้มือบังพายุทรายไม่ให้มันซัดเข้าใส่ตาเรา สายลมนั้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องที่ดังไปทั่ว ไอรีนตอนนี้ก็อยู่ในห้องเหมือนกันกับพวกเรา เธอกำลังเข้าไปช่วยอารักขาผู้นำประเทศที่เธอรับผิดชอบ
“โอ๊ย ! ไอ้บ้านั่นมันทำอะไรของมันเนี่ย ทรายเข้าตาไปหมดแล้ว แสบ” มินจุนร้องโวยวายออกมา
“นายก็ใช้เวทมนตร์ลมไม่ใช่หรือไง สู้หน่อยดิวะ” ผมพูดออกไป
“ฉันถนัดเวทรักษามากกว่านายก็รู้ แล้วพายุไอ้อามุนนั่นมันแรงเบอร์นี้ จะทำไงได้เนี่ย” มินจุนพูดออกมา แต่ในมือทั้งสองข้างก็สร้างลูกบอลลมขึ้นมา มันค่อย ๆ ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นพายุสูงเท่าการเอาคนสองคนเข้าไปต่อกัน ก่อนมินจุนจะปล่อยพายุทั้งสองลูกที่ตัวเองสร้างขึ้นมาเข้าไปในจุดศูนย์กลางพายุทรายที่อามุนเป็นคนทำ เพื่อที่จะได้ทำให้แรงลมที่หมุนทวนเข็มนาฬิกาและตามเข็มนาฬิกาหักล้างกันไป แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผล พายุของมินจุนช่วยทำให้กระแสลมทรายที่พัดรอบห้องมีอัตราเร็วที่ช้าลงเท่านั้น ไม่สามารถทำให้พายุทรายนั้นหยุดลงไปได้
“นี่มันกะจะฆ่าทุกคนที่อยู่ในห้องนี้เลยหรือไง” ผมพูดกับมินจุน ตอนนี้ไอรีนเดินมารวมตัวกับพวกเราพร้อมกับผู้นำประเทศคนหนึ่ง แต่ตอนนี้ถึงแม้จะได้ตัวผู้นำประเทศมา แต่ก็ไม่สามารถออกไปจากห้องนี้ได้ เพราะทางออกมีทางเดียวคือประตูนิรภัยที่ระเบิด ถึงจะไม่มีประตู แต่สายลมทรายตอนนี้มีอัตราเร็วแรงที่สุดบริเวณรอบนอกก่อนออกจากห้อง มันแรงจนผมคิดว่าถ้ามีใครวิ่งผ่านประตูนั่นออกไป คงไม่ต่างอะไรจากเอาเนื้อไปใส่ในเครื่องปั่น
แต่ก็มีใครบางคนกล้าเสี่ยงที่จะวิ่งออกไป ...
“อย่าค่ะ !” ไอรีนร้องออกมา พวกเราเองก็ตั้งตัวไม่ทันเหมือนกัน เพราะผู้นำประเทศคนหนึ่งที่อยู่แถวประตูเหมือนจะทนไม่ไหว อยากหนีไปจากสภาพนี้เร็ว ๆ ความกลัวทำให้มนุษย์กล้าที่จะเสี่ยงและทำอะไรไม่คิด พอเห็นทางออกก็พร้อมจะพุ่งเข้าใส่ทันที
ทันทีที่ร่างพุ่งตรงเข้าไปปะทะกับพายุทรายที่หมุนวนอยู่ที่ประตูนิรภัยด้วยความเร็วสูง ร่างทั้งร่างก็ถูกดูดเข้าไป ให้ออกจากประตูนิรภัย ความเร็วของพายุทราย ประกอบกับความคมของอากาศตัดชิ้นเนื้อมนุษย์ออกเป็นชิ้น ๆ เกิดเสียงกรีดร้องดังขึ้นมาอย่างเจ็บปวด ก่อนจะเงียบลงไปช้า ๆ พร้อมกับเศษชิ้นเนื้อและเลือดที่กระเด็นออกมา สร้างความตกใจให้กับทุกคนที่อยู่ในห้องเป็นอย่างมาก
ผมมองไปที่จุดศูนย์กลางของพายุ ที่กลางห้องร่างของอามุนกำลังยืนอยู่ตรงนั้น ในพายุทรายที่กำลังพัดแรงขึ้นไปอีก จนตอนนี้ทรายบาดผิวที่สัมผัสไปหมดแล้ว
“ตายกันให้หมดนี้แหละ !”
เสียงร้องของอามุนดังขึ้นมา พร้อม ๆ กับทรายที่จับตัวกันเป็นแส้หลายเส้นโดยมีอามุนอยู่ตรงกลาง แต่ตรงปลายของแส้แหลมคมราวกับใบมีด ก่อนที่พวกเราจะทันตั้งตัวแส้พวกนั้นก็เคลื่อนไหวราวกับงูที่มีชีวิตพร้อมจะฉกคนรอบตัว ตามมาด้วยเสียงร้องดังขึ้นมาทั่วไปหมด
พวกเราต้องทำอะไรสักอย่าง ...
ไอรีนใช้พลังเวทของตัวเองสร้างบอลน้ำขนาดใหญ่พุ่งเข้าไปสู่กลางจุดศูนย์กลางพายุ แต่เหมือนจะไม่ส่งผลอะไรเลย นอกจากจะมีเศษทรายเป็นก้อนกระเด็นกลับมาหาพวกเราจนต้องร้องโอดโอย
“เอาไงดี ทำอะไรมันไม่ได้เลยเนี่ย !” มินจุนพูดขึ้นมาพร้อมกับกระโดดหลบแส้ทรายที่ปักลงไปที่พื้น จนพื้นยุบตัวลงไปเพราะความคมของปลายมัน
“ลีโอเอาพลังฉันกลับไปหมดแล้วอะ” ผมพูดออกไป
ตอนนี้ยังได้ยินเสียงระเบิดโครมครามด้านนอกอยู่เลย คงจะไม่พ้นฝีมือของสกอเปียสและลีโอ ส่วนอควาเรียสกับสองฝาแฝดไพส์ซีสก็ช่วยกันจัดการกับสฟิงซ์ที่อยู่ด้านนอกไม่ให้เข้ามาพังเรือพวกเรา ซาจิททาเรียสที่อยู่ด้านนอกส่งสัญญาณมาบอกว่าไม่สามารถยิงธนูเข้ามาได้ เพราะความเสียหายจะเกิดต่อคนที่อยู่ภายในเรือทั้งหมด อาจจะหยุดอามุนได้ แต่ก็อาจจะตายกันไปหมดพร้อมกันนี่แหละ
ตู้ม ! ตู้ม ! ตู้ม !
“ลาก่อน !” อามุนพูดขึ้นมา ก่อนที่แส้ปลายคมพวกนั้นจะพุ่งตรงมาหาพวกเราอย่างรวดเร็ว
ฉึก !
เลือดไหลทะลักออกมา แต่ไม่ใช่เลือดของพวกเรา เป็นเลือดของผู้นำประเทศที่ไอรีนอารักขาต่างหาก ก่อนร่างร่างนั้นจะล้มลงไปกองกับพื้น เสียกรีดร้องระงมดังไปทั่ว ใบหน้าภายใต้ผ้าปิดปากคงกำลังแสยะยิ้มมองอยู่ แส้ทรายพวกนั้นค่อย ๆ กลายเป็นพายุทรายอีกครั้ง ก่อนอัตราเร็วของมันจะแรงในระดับเดียวกับที่ปั่นร่างที่พุ่งออกไปด้านนอกประตูขาดกระจุย
อามุนกำลังจะฆ่าทุกคนที่อยู่ในห้องห้องนี้ ...
เขากำลังจะปิดเกม ...
วงแหวนเวทมนตร์เกิดขึ้นใต้เท้าของพวกเรา
ก่อนร่างของพวกเราจะหายตัวออกมาจากสถานที่ตรงนั้น ...
อเมริกา
ภายในห้องแล็บทดลองทางวิทยาศาสตร์ บริเวณกลางห้องโถงใหญ่ที่ล้อมรอบไปด้วยจอคอมพิวเตอร์มากมาย ได้แสดงภาพฉายโฮโลแกรมสามมิติขนาดใหญ่ ที่ปรากฏเป็นรูปความเสียหายบริเวณโดยรอบของเรือสำราญลำหนึ่ง เรือสำราญลำนั้นชั้นบนสุดเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง เหลือพื้นที่เพียงน้อยนิดที่ไม่ได้รับความเสียหาย พื้นดินบริเวณริมแม่น้ำทรุดตัวลงไปหลายสิบเมตร กลางแม่น้ำมีรูปสฟิงซ์ที่ลอยพ้นน้ำมาแค่หัว คนเจ็บและเจ้าหน้าที่รักษากฎหมายประจำเมืองกำลังเข้าไปเคลียร์และลำเลียงคนออกมาจากสถานที่ตรงนั้น เป็นภาพที่ดูวุ่นวาย และความเสียหายมากเหลือเกิน
ไม่ห่างจากบริเวณภาพฉายโฮแลแกรมสามมิติกลางห้อง มีชายวัยเกือบสี่สิบคนหนึ่งยืนมองยิ้ม ๆ อยู่ตรงนั้น จากคนที่ปกติไม่ค่อยยิ้มเท่าไร มันเลยกลายเป็นภาพที่ดูประหลาดตามากสำหรับคนอื่นที่อยู่ภายในห้อง เขาเป็นหัวหน้าองค์กรแห่งนี้ ซึ่งครั้งหนึ่งมันเคยเป็นองค์กรที่ถูกกฎหมาย แต่ตอนนี้กลับต้องมาเป็นองค์กรใต้ดิน เพราะกฎหมายที่ตั้งออกมาเมื่อ 8 ปีก่อน จากการลงนามสัญญาจากผู้ใช้เวทและมนุษย์
และในที่สุด วันที่เขาต้องการก็มาถึงสักที ...
“การประชุมที่ประเทศอียิปต์ถูกโจมตีครับคุณออสติน สายข่าวของพวกเราติดต่อมาว่าตอนนี้มีผู้นำประเทศเสียชีวิตไปแล้วอย่างน้อย 5 คน” ชายหนุ่มวัยยี่สิบห้าปีพูดกับคนที่ยืนมองภาพโฮโรแกรมสามมิติยิ้ม ๆ ชายคนที่พูดมีผมสีน้ำตาลเข้ม ใบหน้าคม พร้อมกับกรอบแว่นสี่เหลี่ยมสีดำที่ประดับอยู่บนใบหน้า ดูเป็นเด็กหนุ่มที่คนทั่วไปอาจจะเรียกได้ว่าพวกเนิร์ด
“งั้นหรอ ก็ดีเหมือนกัน ที่หนึ่งในพวกมันทำแบบนี้ ฉันจะได้ใช้โอกาสนี้ในการสร้างสงครามระหว่างมนุษย์และไอ้พวกกลายพันธุ์พวกนั้นใหม่อีกรอบ” ออสตินพูด
“ยังไงหรอครับ” เด็กหนุ่มถามพลางสงสัยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะเกี่ยวโยงยังไงกับการสร้างสงคราม
“ลองได้มีคนตายขนาดนี้แล้ว ไอ้พวกผู้นำที่เหลือไม่มีทางอยู่นิ่งแน่ พวกมันต้องกลับมาเปิดองค์กรของเราอีกครั้ง กฎหมายที่ช่วยกันประคับประคองมา 8 ปีจะได้พังไปสักที” ออสตินพูดตอบคำถาม
“คุณออสตินมั่นใจหรอครับ ว่าจะเอาชนะพวกมันได้”
“ไม่มีอะไรที่วิทยาศาสตร์ทำไม่ได้ พวกมันก็แค่พวกสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์” ออสตินพูดขึ้นมาแบบหงุดหงิด ใบหน้าที่เคยมีรอยยิ้มเมื่อสักครู่หายไปแล้ว กลายเป็นใบหน้านิ่งที่มีความฉุนเฉียวแฝงไว้ในแววตาแทน
“แล้ว ... เรื่องของลูกสาวคุณออสติน จะเอายังไงต่อดีครับ เท่าที่คนของเราแอบสะกดรอยตามเธอห่าง ๆ คุณไอรีนดูเริ่มจะเข้ากับพวกมันได้ดีเกินไปแล้วนะครับ จนเหมือนกับว่าจะลืมเรื่องที่พวกเราทำอยู่ ถ้าปล่อยไว้นาน เราอาจเสียเธอไปให้กับพวกมันนะครับ อีกอย่าง ผู้ถือครองกุญแจจักรราศีสิงห์เหมือนจะชอบพอคุณไอรีนด้วยครับ” ออสตินพูด ท้ายประโยคหนุ่มเนิร์ดมีน้ำเสียงที่ฟังแล้วขุ่นมัวผิดปกติ
“หึ ๆ นายพูดเรื่องนี้ เพราะนายแอบชอบลูกสาวของฉันหรือเปล่าเอเดน” ออสตินพูด เลื่อนสายตาจากภาพฉายโฮโลแกรมสามมิติตรงหน้าไปมองเอเดนที่ยืนรายงานข้าง ๆ เขา ใบหน้าของเอเดนรีบก้มลงมองพื้นหลบสายตาทันที ออสตินรู้อยู่แล้วว่าเด็กนี่ชอบลูกสาวเขาอยู่ แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก เอเดนเป็นคนซื่อ หัวไวและฉลาด แต่ก็แค่เรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กลับเรื่องทั่วไป เขาไม่ต่างอะไรไปจากเด็กอายุสิบกว่าขวบที่เพิ่งจะหัดมีความรักครั้งแรก
“ปะ ... เปล่านะครับ ผมคิดกับคุณไอรีนแค่น้องสาว” เอเดนรีบละลักละล่ำพูดออกมา
“งั้นหรอ แล้วเรื่องที่ฉันให้ไปหาข้อมูลของผู้ถือครองกุญแจ ที่ไอรีนไปอยู่ด้วยตอนนี้ถึงไหนแล้ว” ออสตินถามต่อ การที่ไอรีนไปอยู่กับกลุ่มคนพวกนั้นนี่ก็เกือบจะสี่เดือนแล้ว ทุกอย่างก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า แถมจากที่เขารู้ตอนนี้มีคนครอบครองกุญแจจักรราศีไปสองดอกแล้วถึงสามคน นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมัวรอเป็นพันธมิตรกับคนพวกนั้นอยู่ ยิ่งผู้ใช้เวทมีกุญแจจักรราศีเยอะ การเข้าไปจัดการจะยิ่งลำบากมากขึ้น
เอเดนรีบพยักหน้า ก่อนยกมือขึ้นบนอากาศเลื่อนภาพไปมาสักพัก ภาพโฮโลแกรมสามมิติที่เคยปรากฏให้เห็นสภาพการต่อสู้บนแม่น้ำไนล์ก็หายไป มันกลายเป็นรูปคนคนหนึ่งแทน
“คนแรกชื่อมินจุนครับ ถือครองกุญแจจักรราศีสองดอก มีอาชีพเป็นนักร้องดัง แต่ช่วงนี้เหมือนเขาจะรับงานไม่มากครับ อาจจะเพราะกำลังถูกตามล่าโจมตีจากกลุ่มผู้ถือครองกุญแจจักรราศีอื่นอยู่ ประวัติโดยรวมเป็นเด็กกำพร้าแล้วถูกนักร้องที่เกาหลีรับเป็นลูกบุญธรรมครับ” เอเดนพูดรายงาน พร้อมกับมือเลื่อนภาพที่ปรากฏไปยังอีกภาพ
“ส่วนคนที่สองชื่อกวินท์ หมอนี่จบจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับโลกด้านวิศวกรรมเทคโนโลยีการทำอาหาร ด้วยเกรดเฉลี่ยสูงสุดของรุ่น แต่ปัจจุบันกลับเลือกทำอาชีพฟรีเลนซ์ รับงานวิจัยจากบริษัทอยู่บ้านครับ รวมถึงทำธุรกิจที่เปิดเป็นร้านกาแฟและร้านเค้กชื่อดังด้วย ประวัติส่วนตัวค่อนข้างหายาก ทราบแค่ว่าเขาเป็นลูกครึ่งเอเชียกับยุโรป และแม่เสียไปแล้วครับ”
“มีอะไรอีกไหม ที่ฉันควรจะรู้” ออสตินถามต่อ เขาไม่ได้ต้องการประวัติทั้งครอบครัวสักหน่อย ขอแค่เท่าที่จำเป็นเท่านั้น แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
“อ่อ บ้านที่คุณไอรีนอยู่ มีผู้ใช้เวทอีกหนึ่งคนครับ” เอเดนตอบกลับไป
“งั้นหรอ ใคร”
เอเดนยกมือขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนเลื่อนภาพโฮโลแกรมสามมิติไปอีกทาง
“คนคนนี้เป็นพ่อของกวินท์ครับ ชื่อ ...”
“การันต์”
เสียงดังออกมาก่อนที่เอเดนจะพูดจบ
มันดังออกมาจากปากของออสตินแบบไม่อยากจะเชื่อ สายตาของเขามองไปยังภาพของชายรุ่นราวคราวเดียวกันที่กำลังส่งยิ้มกลับมาให้กล้องอย่างอารมณ์ดีในชุดเชฟทำขนม มือทั้งสองข้างของออสตินก็กำหมัดแน่น
ทำไม ...
ทำไมลูกสาวเขาไปอยู่กับมันได้ ...
ตามหามันตั้งนานไม่เจอ ...
แต่มาเจอตอนนี้เนี่ยนะ ...
เขาพลาดเองที่ปล่อยเรื่องของไอรีนมานานเกินไป ...
“คุณออสตินเป็นอะไรหรือเปล่าครับ เอ่อ ... รู้จักกันมาก่อนหรอครับ” เอเดนถามออกไปอย่างใสซื่อ ไม่ได้ดูอารมณ์ของหัวหน้าห้องปฏิบัติการของตนเองเลย
“ไม่ใช่เรื่องที่นายต้องรู้ ทำไมมีเรื่องแบบนี้ไม่รีบบอกฉัน !” ออสตินหันไปตวาดใส่เอเดนอย่างหงุดหงิด พร้อมกับตะโกนใส่หน้าแบบที่เอเดนไม่เคยเห็นมาก่อน เส้นเลือดบนขมับนูนขึ้นมาจนบ่งบอกได้ว่าคนพูดโมโหแค่ไหนที่ได้เห็นภาพที่เขาเลื่อนไปให้ดู ก็เห็นว่าเป็นแค่พ่อของผู้ใช้เวทธรรมดาไม่ได้สำคัญอะไรนี่นา
ออสตินสูดหายใจเข้าลึก ๆ ตั้งสติก่อนพูดกับเอเดนอีกครั้งด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“ส่งคนไปฆ่าไอ้การันต์”
สามารถติดตามอ่านตอนต่อไปได้ที่ Fictionlog