บทที่ 36 : ภารกิจเหมืองเก่า
บทที่ 36 : ภารกิจเหมืองเก่า
เสียงของกงเกวียนไม้ขัดโขลกไปบนถนนดินดัง ‘คลุกคลัก’ ขึ้นมาบนเกวียนเทียมม้าเบาๆ ให้ได้ยินเป็นจังหวะ ด้วยเส้นทางนั้นไม่ได้ราบเรียบเท่าไหร่ เป็นทางดินสลับหินตัดผ่านป่าอาเคนหนาทึบ สร้างขึ้นมาแค่พอให้ล้อเลื่อนของรถม้า รถเกวียนทั้งหลายสามารถผ่านได้ไม่ลำบาก เป็นหนึ่งในเส้นทางหลักสำคัญเชื่อมต่อเทรียลกับเขตต่างๆ ทางทิศใต้ที่สมาคมพาณิชย์ของเทรียลจะเลือกใช้เพื่อกระจายสินค้าและส่งของ ขึ้นอยู่กับว่าการเดินทางครั้งนั้นมีจุดมุ่งหมายว่าคือที่ไหนเป็นสำคัญ แล้วค่อยมีการพิจารณาสลับเส้นทางเป็นบางครั้งเพื่อความปลอดภัย
แต่ครั้งนี้ไม่ได้มีการเปลี่ยนเส้นทางหรือเลือกเส้นทางใหม่แต่อย่างใด ไม่ใช่เพราะพวกเขามั่นใจว่าจะไม่โจมตี แต่พวกเขามั่นใจว่าหากถูกโจมตีขึ้นมาจริง มันคงเป็นโชคร้ายของพวกโจรเสียมากกว่า
เพราะสารถีสาวที่ถือบังเหียนม้าอยู่นั่นไม่ใช่พ่อค้าหรือบุคลากรธรรมดาๆ แต่เป็นถึงอดีตนักผจญภัยชั้นอาเกตที่เกษียณตัวเองออกมาเป็นคนส่งของให้กับสมาคมพาณิชย์ด้วยเสียตาไปข้างหนึ่ง
ส่วนอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ถึงจะเป็นหนุ่มน้อยเลือดผสมครึ่งจิ้งจอก ดูอ่อนแอ แต่เขาเองก็เพิ่งจะผ่านหลักสูตรการต่อสู้ป้องกันตัวหลักสูตรเร่งรัดมาหมาดๆ ยังไม่รวมสัญชาตญาณจิ้งจอกที่ขัดเกลามาเพิ่มเติมจนเฉียบคมขึ้นราวกับเป็นคนละคน เพียงพอจะเทียบชั้นกับพวกนักผจญภัยฝึกหัดได้บ้างไม่มากก็น้อย
ทว่าทั้งหมดนั้นเทียบไม่ได้เลยแม้แต่เศษเสี้ยวหนึ่งของคนที่ขอติดรถมากับพวกเขาด้วย เพราะคนที่นั่งอยู่หลังเกวียนกับกองสินค้านั้นคือสองนักผจญภัยที่มีระดับสูงที่สุดของเทรียล รวมทั้งอาจสูงที่สุดในเขตนี้ ถ้าไม่นับสมาคมแห่งเมืองนอร์รัค
คนหนึ่งคือ เอเดล หรือที่คนทั่วไปรู้จักกันในสมญา ศรเหมันต์ นักผจญภัยระดับมรกตอย่างเป็นทางการ ส่วนอีกคนก็ถูกเรียกขานว่าเป็นปีศาจสีเงิน นักผจญภัยระดับไพลินหนึ่งเดียวแห่งเทรียล หากมีโจรซุ่มโจมตีขึ้นมา คงจะเป็นโจรพวกนั้นมากกว่าที่ต้องเสียใจ
“คุณเอเดลคะ...” เสียงของสารถีบังคับม้าดังขึ้นเบาๆ เรียกชื่อหญิงสาวที่กำลังนั่งคอพับ หลับแบบเอาเป็นเอาตายอยู่บนเกวียนบรรทุกของ หลังจากที่เดินทางมาหลายชั่วโมงตั้งแต่ช่วงเย็นวานจนข้ามมาถึงเช้าของวันนี้
เพราะถึงปกติการเดินทางตอนกลางคืนจะเป็นเรื่องอันตราย แต่เพราะรถคันนี้มีฮอรัสอยู่ด้วย เรื่องอันตรายเช่นนั้นจึงไม่ใช่ปัญหาอะไร สามารถเดินทางต่อเนื่องได้เพียงแค่ผลัดเวรกันคุมบังเหียนม้าก็เหลือเฟือ อีกทั้งม้าที่นำมาใช้ก็ถูกฝึกมาอย่างดีให้สามารถเดินทางต่อเนื่องได้ยาวนานกว่าปกติหลายเท่า
ทว่าดูเหมือนเสียงในลำคอของหญิงสาวจะไม่เป็นผลเพราะอีกฝ่ายก็ยังหลับคอพับอยู่อย่างนั้น โชคดีที่อย่างน้อยก็ไม่มีน้ำลายไหล เธอจึงตัดสินใจหันไปทางฮอรัสแทน
“ตอนนี้ใกล้ถึงแล้วค่ะ ช่วยปลุกคุณเอเดลให้ทีได้มั้ยคะ” อดีตนักผจญภัยสาวหันมาเอ่ยกับหุ่นสงครามด้วยน้ำเสียงแป้นแล้นเป็นเอกลักษณ์
ผิดกับหนุ่มน้อยเลือดผสมข้างๆ ที่เพียงแค่ได้เห็นดวงตาสีนิลก็ขนลุก ไม่กล้าพูดอะไรออกมา เพราะก่อนหน้านี้เขาเองก็เคยเห็นฮอรัสมาก่อนแบบผ่านๆ ตอนที่ไปส่งของให้เอลีอา ไม่คิดว่าหุ่นไล่กาประหลาดที่ทำให้สัญชาตญาณจิ้งจอกของเขาตื่นขึ้นในตอนนั้น จะกลายเป็นตุ๊กตามีชีวิตที่ทรงพลังขนาดสามารถบีบกะโหลกของทุกคนแตกได้ด้วยมือเปล่า
ฮอรัสได้ยินคำขอจากหญิงสาว จึงเอื้อมมือขวาของตัวเองออกไปใช้นิ้วแตะลงบนใบหน้าเนียนนุ่มน่าทะนุถนอมของครึ่งเอลฟ์เบาๆ เพื่อให้อีกฝ่ายตื่น
แต่แล้วกลับกลายเป็นว่าในชั่วขณะนั้นเอง เอเดลที่ไม่ทันตั้งตัว ยังกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่พอสัมผัสได้ถึงการสัมผัสจากฝ่ามือเย็นเยียบเหมือนคนตายของฮอรัสแบบนั้นก็สะดุ้งเฮือก ปัดป้องแล้วชักมีดสั้นที่เหน็บอยู่กับสายรัดเอวขึ้นมาจ่อคอหอยของหุ่นสงครามอย่างฉับพลัน ด้วยสัญชาตญาณที่ถูกฝึกฝนมาให้พร้อมรับมือกับอันตรายตั้งแต่เด็ก
“ขะ ขอโทษ...” เอเดลเอ่ยขึ้นมาเบาๆ น้ำเสียงอึกอัก พอเห็นว่าตัวเองกำลังถือมีดจ่อคอฮอรัสอยู่
อันที่จริงจะเรียกว่าจ่อเฉยๆ คงไม่ได้ เพราะคมมีดกินเข้าไปหน่อยนึงแล้ว ถ้าหากคอของเขาเป็นเนื้อหนังบอบบางเหมือนคนปกติ ป่านนี้คงได้เห็นเลือดกันบ้าง แต่โชคดีที่มันไม่ใช่และฮอรัสเองก็ดูจะไม่ได้ใส่ใจอะไรด้วย เพราะถ้าเขาจะหลบมันก็ไม่ได้ยากนัก
กลับกันดันกลายเป็นหนุ่มน้อยครึ่งจิ้งจอกที่อ้าปากค้างด้วยความตระหนกตกใจกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน จนสาวเจ้าต้องกระทุ้งศอกเรียกสติ ‘พ่อหมาน้อย’ ของเธอให้ตื่นจากภวังค์ ก่อนที่เขาจะหันมามองตาสาวรุ่นพี่ด้วยสีหน้าประหลาดคล้ายอยากจะยืนยันว่าเขาจะไม่เจออะไรแบบนี้ถ้าเผลอไปปลุกเธอกะทันหัน แต่ดันได้การขยิบตามาแทนคำตอบ
“อีกเดี๋ยวก็จะถึงแล้วนะคะคุณเอเดล”
“อ่ะ.. อ่า เข้าใจแล้ว ขอบคุณนะ” เอเดลใช้มือสองข้างตบหน้าตัวเองเบาๆ ให้ตื่นเต็มตา แล้วเริ่มเก็บข้าวของของตัวเองใส่กระเป๋า ตรวจเช็คสัมภาระเตรียมตัวลงจากรถม้า เพราะจุดที่เธอกับฮอรัสกำลังจะเดินทางไปนั้น จากนี้จะต้องเดินเท้าต่อกันเอง เธอเพียงแค่อาศัยรถม้ามาลงให้ใกล้ที่สุดเท่านั้น
“ค่ะ งั้นเราแยกกันตรงนี้นะคะ” หญิงสาวค่อยๆ คุมบังเหียนให้รถม้าชะลอลงแล้วหยุดตรงทางสามแยกใจกลางป่าบรรยากาศวิเวก ก่อนเอเดลจะกระโดดจากรถม้าลงมาอย่างรวดเร็ว แล้วเริ่มยืดเส้นยืดสาย
ต่างจากฮอรัสที่เพียงแค่เดินลงมาด้วยท่าทางสงบนิ่ง เยือกเย็น แต่ถึงอย่างนั้นพอเขาก้าวออกจากคันเกวียน ในทันใดช่วงล่างรับน้ำหนักบนเพลาก็ส่งเสียงลั่นร้าวน่ากลัวออกมาทันที บ่งบอกว่าน้ำหนักของฮอรัสคนเดียวมหาศาลเพียงใด
ลำพังแค่โครงร่างโลหะของเขาก็มากกว่าทุกคนในรถรวมกันแล้ว ยังไม่รวมเส้นอาเคนที่กระจายอยู่ทั่วร่าง ซึ่งเอลีอาเองก็เคยได้สัมผัสมาแล้ว พบว่ามันมีน้ำหนักมากกว่าลวดโลหะขนาดเท่ากันเป็นสิบเท่า การที่ตลอดมาฮอรัสสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างแผ่วเบาราวกับแมวเดินจึงถือว่าเป็นทักษะอีกอย่างที่น่าทึ่งของหุ่นสงคราม
“ขอบคุณ” ฮอรัสเอ่ยเบาๆ ด้วยเสียงเรียบเฉยไร้ชีวิตตามมารยาททางสังคมที่ได้รับการสั่งสอนมา ก่อนที่เอเดลจะกล่าวตาม
“พวกเธอก็ระวังตัวกันด้วยนะ” ครึ่งเอลฟ์สาวยิ้มพลางโบกมือไล่หลังระหว่างที่รถม้าค่อยๆ เคลื่อนออกไป ทิ้งให้เธอกับฮอรัสอยู่ท่ามกลางบรรยากาศของป่าอาเคน
เอเดลกวาดสายตาสำรวจรอบตัวอย่างพินิจเป็นขั้นตอนพื้นฐานก่อนเริ่มทำการเดินทาง เธอตรวจสอบสัมภาระของตัวเองแล้วสองรอบก่อนจะลงจากรถจึงไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาด ยกเว้นก็แต่ข้าวของที่ฝากไว้ให้ฮอรัสเป็นคนแบกเท่านั้น
ซึ่งว่าไปแล้วก็คือของที่มีน้ำหนักมากและมีชิ้นใหญ่ทั้งหลายอย่างผ้าคลุมนอนกลางแจ้ง อุปกรณ์ตั้งแคมป์แบบท่องเที่ยว อุปกรณ์สำรวจและขุดแร่ครบครันจนแทบจะเรียกได้ว่าเธอเอาฮอรัสมาเป็นคนแบกของจริงๆ เพราะไม่มีนักผจญภัยคนไหนเขาขนของไม่จำเป็นพวกนี้มาทำภารกิจระยะสั้นอยู่แล้ว เอเดลเองตอนแรกก็แค่ตั้งใจจะล้อเล่นแต่ดันลงเอยว่าเขาขนมาหมดนั่นจริงๆ แถมไม่แสดงท่าทีทุกร้อนอะไร เธอจึงปล่อยเลยตามเลยไป
“อยู่นิ่งๆ” เอเดลเอ่ยเบาๆ เดินไปเปิดผ้าคลุมฮูดของฮอรัสแล้วล้วงเข้าไปในกระเป๋าคาดเอวหยิบเอาตลับเข็มทิศและกล่องยาเก็บโพชั่นออกมา
เธอเปิดเข็มทิศขึ้นมาแล้วใช้รูรับแสงด้านในส่องกับดวงอาทิตย์เป็นการมองหาทิศทางที่ถูกต้องและตำแหน่งของตัวเองให้แน่ใจว่าจะไม่หลงทิศระหว่างเดินทางผ่านป่าอาเคน แต่กลายเป็นว่าเข็มทิศของเธอกลับแสดงอาการประออกมาเพราะมันหมุนไปหมุนมาผิดทิศผิดทางไปหมด ทำเอาเธอถึงกับถอนหายใจด้วยความไม่ได้ดั่งใจเพราะเธอก็จำได้ว่าก่อนเดินทางมันยังทำงานได้ดีอยู่เลย
“ผมมีส่วนรับสัมผัสที่สามารถตรวจจับการเคลื่อนไหวของสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้า ผมบอกทิศทางและตำแหน่งได้แม่นยำกว่า คุณเอเดลไม่จำเป็นต้องใช้เข็มทิศตอนที่อยู่กับผม” ฮอรัสยังคงยืนนิ่งตามคำสั่งของเอเดล แต่พอเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามจะทำอะไรจึงเอ่ยขึ้นมา สร้างความประหลาดใจให้กับสาวเจ้าจนเธอต้องหันมาเลิกคิ้วอย่างสนใจ “แต่เข็มทิศจะทำงานผิดพลาดถ้าหากมันอยู่ใกล้ร่างกายของผมเกินไป”
พอได้ยินแบบนั้นความสนใจก็กลายเป็นการถอนหายใจยาวยืด เพราะฮอรัสนั่นเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้เข็มทิศของเธอพัง
“เห้อ... งั้นตอนนี้พวกเราอยู่ไหน” ในเมื่อรู้ว่าไม่มีทางเลือกสาวเจ้าจึงจำใจถาม ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าคำตอบมันจะต้องออกมาไม่ได้ความแน่ๆ
ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริง เมื่อฮอรัสบอกพิกัดปัจจุบันออกมาได้อย่างแม่นยำ เพียงแต่เป็นรูปแบบการบอกพิกัดสำหรับการรบในยุคมหาสงครามกว่าพันปีก่อน
“เราอยู่ทางตะวันออกจากสมรภูมิคาเดซยี่สิบสี่เส้น เหนือสิบเอ็ดเส้น ใช้ตารางดาวแบบฮิคซอร์สลำดับที่สอง”
“ฉันว่าแล้วเชี่ยว เจ้าบ้านี่” พอได้ยินคำตอบของฮอรัสเช่นนั้นเอเดลก็กดเสียงเข้มคำรามในลำคอ ก่อนจะตวาดเสียงดังออกมาด้วยความหงุดหงิดไม่ได้ดั่งใจ “ไม่มีใครเขาใช้ตารางดาวอ้างอิงพิกัดกันมาเป็นร้อยๆ ปีแล้ว ใครมันจะไปรู้เรื่องกับนาย... แล้วไอ้สมรภูมิคาเดซที่ว่านี่มันอะไรกันยะ!!”
เอเดลขมวดปมคิ้วจ้องหน้าฮอรัส แล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมา “เห้อ... ช่างเห๊อะ ฉันก็แค่อยากเช็คให้แน่ใจเฉยๆ”
“แล้วพวกเราจะไปทางไหนต่อ” ฮอรัสเอ่ยเสียงเรียบเป็นคำถามยืนยัน
“ไปทางนี่แหละ มาเถอะยังต้องเดินทางกันอีกไกล” สาวเจ้ากล่าวพร้อมกับหันหน้าไปทางถนนดินอีกเส้นที่ผ่ากลางระหว่างป่า ยิ่งมองตามทางไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งเห็นว่าถนนเริ่มจางลง ทั้งยังขาดการดูแลอย่างสิ้นเชิงจนวัชพืชขึ้นปกคลุมไปหมด
“ไกลแค่ไหน” ฮอรัสยังถามต่อ
“ไม่รู้สิ ถ้าเดินก็คงครึ่งวันล่ะมั้ง” เอเดลยักไหล่ตอบเรียบๆ พร้อมกับเปิดกล่องโพชั่นขึ้นมาดื่ม เพิ่มขีดความสามารถของร่างกายชั่วคราว แล้วใช้พละกำลังและความยืดหยุ่นของตัวเองกระโจนไต่ขึ้นไปบนต้นไม้ต้นใหญ่ข้างทางก่อนจะทรงตัวเดินมานั่งย่อเข่าบนยอดกิ่งไม้ หันกลับไปมองฮอรัสที่ยังยืนอยู่ด้านล่าง
“แต่เราจะไม่เดินไปหรอกนะ ฮอรัส” เธอว่า ก่อนจะใช้น้ำหนักตัวขย่มกิ่งไม้ให้โยกลงเบาๆ และประสานจังหวะตอนกิ่งไม้นั้นดีดตัวกลับ กระโจนออกไปพร้อมกันอย่างรวดเร็วไปยังกิ่งต่อไป
เอเดลทำเช่นนี้ต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่ กระโจนจากกิ่งหนึ่งไปอีกกิ่งหนึ่ง เป็นรูปแบบการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วพลิ้วไหวและเงียบเชียบไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้บนพื้นดินให้ติดตามได้ ต้องใช้ทักษะหลายด้านทั้งความยืดหยุ่นพละกำลังและความอึด รวมทั้งยังต้องมีการฝึกฝนอย่างเข้มข้นถึงจะทำได้ ช่วยให้สามารถเคลื่อนที่ในพื้นที่ป่ารกได้อย่างรวดเร็ว
กระนั้นก็ดูเหมือนการเคลื่อนที่แบบนี้จะมีแค่เธอเท่านั้นที่ทำได้ เพราะฮอรัสตัวหนักเกินไปสำหรับกิ่งไม้เล็กๆ แบบนั้น ทว่านั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรเลย เมื่อหุ่นสงครามเองก็มีวิธีการเคลื่อนไหวในสภาพแวดล้อมอันเป็นอุปสรรคเช่นนี้อยู่เหมือนกัน นั่นคือการวิ่งทะลุทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้าทิ้งไปให้หมดแบบไม่สนอะไรทั้งสิ้นเหมือนที่เขาเคยทำมาแล้วครั้งหนึ่งตอนเทรียลถูกพวกโกเลมบุก แต่นั่นไม่ใช่วิธีที่ฮอรัสเลือกใช้ในคราวนี้
ตอนนั้นเอง ฮอรัสพลันทะยานตัวเองขึ้นไปบนต้นไม้ แต่แทนที่จะเหยียบไปบนกิ่งเล็กๆ เหมือนเอเดล เขากลับใช้ฝ่ามือที่มีอยู่ข้างเดียวนั้นทะลวงเข้าไปในลำต้นอย่างแรงจนถึงแก่นไม้แข็ง แล้วใช้นิ้วอันแข็งแกร่งทั้งห้าจิกเป็นกรงยึดเกาะ ก่อนจะใช้ขายันลำต้นถีบตัวเองให้กระโจนไปยังต้นไม้ต้นอื่นด้านหน้า แล้วพลิกตัวกลับด้านกลางอากาศใช้เท้ารับแรง เปลี่ยนมุม ถีบตัวเองออกไปอีกครั้งโดยใช้ลำต้นเป็นฐาน ก่อให้เกิดเสียงดัง ‘ตูมตาม’ ลั่นไปทั่วป่าเหมือนมีใครเอาค้อนมายักษ์มาทุบต้นไม้ทุกครั้งที่เขาเคลื่อนที่เลียนแบบเอเดล จนเธอยังต้องหยุดแล้วหันมาถลึงตาใส่ฮอรัส
“ทำบ้าอะไรของนาย สัตว์ป่าตกใจเตลิดหนีหมดแล้ว!” เอเดลตวาดใส่ฮอรัสที่ตอนนี้ลงไปหยุดยืนบนพื้นดินใต้เท้าของเธอพอดี แต่ถึงครึ่งเอลฟ์จะใส่กางเกงขาสั้นและมีเข็มขัดอเนกประสงค์คาดโคนขาอ่อนทั้งสองข้างปลอดภัยจากสายตาอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่วายแอบรวบขากางเกงไม่ให้มีร่องมองเสยขึ้นมาเห็นชั้นในได้อยู่ดี
“คุณเอเดลบอกว่าเราจะไม่เดินไป ผมก็เลยเคลื่อนไหวตามคุณ”
“ไม่ต้องมาทำตามฉัน! ฉันโผต้นไม้เพราะมันเร็วกว่าเดินบนพื้น แต่นายวิ่งเร็วอยู่แล้วไม่ใช่รึไง!” เอเดลอธิบายเสียงดุ
“หมายความว่าคุณเอเดลแค่ต้องการจะไปถึงที่หมายให้เร็ว”
“ก็ใช่น่ะสิ ยิ่งถึงเร็วงานก็เสร็จเร็ว ได้กลับบ้านเร็ว ส่วนนายก็ได้ซ่อมแขนเร็วไม่ดีรึไง”
ฮอรัสได้ยินคำตอบของเอเดลแบบนั้นก็นิ่งไปครู่หนึ่งเหมือนกำลังคิดบางอย่าง ก่อนที่เขาจะกระโจนเข้าใส่เอเดลอย่างรวดเร็วในชั่วพริบตา แล้วใช้แขนขวาช้อนโอบร่างของสาวเจ้าเอาไว้แน่นท่าทางเหมือนสวมกอดรัดร่าง ก่อนจะทิ้งตัวลงมายืนบนพื้นพร้อมๆ กับเอเดลที่ตอนนี้ตาค้างด้วยความตื่นตระหนก ทำตัวไม่ถูก
“ทำอะไรของนาย!! ปล่อยฉัน!” เอเดลดิ้นขัดขืนในอ้อมกอดที่รัดร่างของเธอไว้ ถึงมันจะไม่ได้รัดแน่นอะไรแต่ก็แข็งจนแกะไม่ออก และเป็นพริบตานั้นเองที่ฮอรัสเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ผ่านริมฝีปากที่บัดนี้ชิดอยู่ข้างใบหูแหลมแบบครึ่งเอลฟ์ของเธอ
“เกาะไว้... ให้ผมพาไปเร็วที่สุด” เขาเอ่ยน้ำเสียงเรียบเฉย บางเบาเหมือนกระซิบ ก่อนจะทะยานตัวเองขึ้นไปสูงนับสิบเมตรเหนือยอดไม้ โดยที่ยังคงกอดล็อกร่างของสาวเจ้าเอาไว้อย่างแน่นหนา
เอเดลที่เห็นพื้นเบื้องล่างค่อยๆ ออกห่างไกลจากตัวเธอพร้อมเสียงลมกับผืนฟ้าที่อยู่ๆ ก็โอบล้อมร่างเช่นนั้นก็กอดฮอรัสเอาไว้แน่นด้วยสัญชาตญาณ ระหว่างที่เขาพาเธอทะยานขึ้นมาบนฟ้าสูงลิบด้วยการทะยานกระโดดเพียงครั้งเดียว
“ผมมองเห็นหมู่บ้านร้างกับเหมืองเก่าอยู่ห่างออกไป... นั่นคือจุดหมายของเราใช่รึเปล่า”
ฮอรัสเอ่ยถามข้างหูของเอเดล ทว่าไม่มีการตอบอะไรออกมานอกจากเสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความหวาดผวา ยามที่ภาพของพื้นดินที่ห่างจากตัวไปในตอนแรก บัดนี้กำลังใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว เมื่อทั้งสองค่อยๆ กลับลงมาจากสูงตามหลักธรรมชาติที่ว่าเมื่อกระโดดขึ้น ก็ต้องเตรียมตัวลง และยิ่งขึ้นไปสูงเท่าไหร่ ตอนลงก็เร็วมากเท่านั้น