บทที่ 35: ความตายครั้งแรกที่หุบเขาซ่อนมมังกร
บทที่ 35: ความตายครั้งแรกที่หุบเขาซ่อนมมังกร
ภาพผืนป่าที่เห็นพลิ้วผ่านเลือนรางในความมืด สัมผัสของสายลมและเม็ดฝนเย็นเยียบหนาวสะท้านจับดวงจิต สองเท้าเร่งก้าวออกแรงวิ่งเพื่อให้ทันกับคนตรงหน้า สมองเต็มไปด้วยความสับสน ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนเองกำลังเผชิญจะอธิบายได้เช่นไร
“ท่านพ่อ! ท่าทางไม่ดีแล้ว เหมือนจะไม่หายใจ” ไป่หลงกล่าวดังกลบเสียงลมที่โบกสะบัด
ไป่เลี่ยน ชายที่ถูกเรียกว่าพ่อหยุดฝีเท้าแล้วก้มมองเด็กน้อยในอ้อมแขน จริงดังที่ลูกชายว่า ใบหน้าของเด็กซีดขาว ริมฝีปากดำคล้ำ ไม่ใช่แค่ไม่ดี สถานการณ์ตอนนี้คือเข้าขั้นเลวร้าย
“ท่านพ่อทำเช่นไรดี?!” ไป่หลงกล่าว เสียงของเขาแผ่ว
แม้จะเคยออกล่าสัตว์พร้อมกับบิดาบ่อยครั้ง เห็นศพเห็นเลือดมากมาย แต่นี่อาจจะนับเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นศพของคน
บิดาของไป่หลงเดินหลบเข้าร่มไม้ใหญ่ หวังให้ได้อยู่ในที่ที่พายุไม่รบกวน
“เสี่ยวหลงจุดไฟ”
คนเป็นพ่อกล่าวขึ้น สายตายังจับจ้องอยู่ที่เด็กน้อย สิ้นคำเด็กชายรีบทำตาม เขาวางสัมภาระที่สะพายอยู่ลง
“ไม่มีทางหรอก ลมแรงขนาดนี้ จะจุดไฟได้เช่นไร?” เฉินหลินกล่าวขึ้น
แต่ก็เหมือนอีกนับร้อยนับพันครั้งก่อนหน้านี้ที่นางพยายามทำ ทั้งสองคนไม่ได้สนใจ หากกล่าวตามจริงแล้ว พวกเขาไม่ได้ยินเสียงของนางด้วยซ้ำทั้งที่ดรุณีน้อยตะโกนก้องอยู่ข้างตัว
ยิ่งเป็นเช่นนั้นยิ่งทำให้เฉินหลินหวาดกลัว นี่ยังไม่นับรวมเรื่องที่พวกเขาทั้งสองเดินทะลุผ่านร่างของนางไป หรือเรื่องที่นางเองก็ไม่สามารถจับต้องตัวทั้งคู่ได้ ราวกับว่า... ตัวนางเป็นวิญญาณ
เราตายแล้วเช่นนั้นหรือ?
ถ้าอย่างนั้น ที่นี่คือที่ไหน สวรรค์ นรก ภพภูมิไหนกัน ทำไมถึงทำให้ได้พบกับไป่ยู่และไป่หลงในวัยเยาว์
เป็นอดีตเช่นนั้นหรือ
แล้วถ้าอย่างนั้น ตอนนี้ ตัวเราเป็นอะไร?
ยิ่งคิดยิ่งสับสน ยิ่งสับสนยิ่งหวาดกลัว...
ไป่หลงแก้ห่อสัมภาระ หยิบขวดแก้วใบหนึ่งขึ้นมาแก้ว ภายในบรรจุของเหลวสีดำข้น เด็กชายมองทั่วบริเวณ เห็นท่อนไม้อยู่ไม่ไกลตัว จึงรีบคว้ามันขึ้นมา ทว่าไม้ท่อนนั้นเปียกชุ่มไปด้วยฝน เขามองมันอย่างลังเล ก่อนจะฉีกชายเสื้อตัวเอง บิดจนแห้งหมาดแล้วเอาพันไว้ท่อนไม้ไว้ และเทของเหลวในขวดแก้วนั่นใส่ผ้า พอใช้ชุดไฟจ่อเข้าที่ของเหลวสีดำ ก็เกิดเปลวไฟขึ้นอย่างรวดเร็ว
ความสว่างเรียกความสนใจของเฉินหลินให้หันกลับไปมองสิ่งที่พวกเขากำลังกระทำ แม้จะสงสัยว่าไป่หลงจุดไฟให้ติดและทำให้มันไม่ดับได้ยังไงท่ามกลางพายุฝนและสายลมที่โหมแรงในขณะนี้ แต่สิ่งที่นางสนใจยิ่งกว่า ย่อมเป็นอาการของไป่ยู่ที่ดูไม่ดีขึ้นกว่าเมื่อครู่นี้
เมื่อความสว่างส่องถึง ไป่เลี่ยนใช้นิ้วอังที่ปลายจมูกของเด็กน้อย ไม่มีลมหายใจเข้าหรือออก เขาจับชีพจรไม่พบมันเคลื่อนไหว ไม่รอช้ารีบเตรียมตัวจะทำการกระตุ้นหัวใจที่หยุดเต้นไป ทว่าทันทีที่เปิดเสื้อของเด็กน้อยออกกลับต้องผงะงัน ตกตะลึงไปชั่วครู่
บนร่างของเด็กน้อยมีสะเก็ดหยกสีขาวฝังแน่น กินลึกลงไปทั่วบริเวณหน้าอก จนโลหิตชโลมให้ส่วนหนึ่งของหินเหล่านั้นกลายเป็นสีแดงเลือด ไป่หลงเห็นบิดานิ่งเฉยจึงกล่าวกระตุ้นให้ทำอะไรสักอย่าง
“ท่านพ่อรีบลงมือเถิด หากไม่ทำอะไรเกรงว่าจะไม่ทันการณ์”
“ไม่ใช่จะไม่ทันการณ์ แต่มัน... ไม่ทันการณ์แล้วต่างหาก” พอประโยคนั้นเอ่ยพ้นจากปาก
เปลวไฟในมือของไป่หลงพลันดับลง พร้อมกับที่แสงสว่างจะพาดผ่านกลางนภา หยดน้ำตาของเฉินหลินไหลลงเปื้อนสองแก้ม ชายหนุ่มส่ายหัวรวบเสื้อของเด็กน้อยให้กลับคืนที่เดิม ไป่หลงคิ้วขมวดแน่น
ดรุณีน้อยก้าวเข้าไปหาไป่ยู่อย่างช้าๆ แล้วทรุดลงคุกเข่าที่ข้างกาย
“พี่ไป่ ลุกขึ้นมาสิ ไม่นะ ท่านจะมาตายอย่างนี้ได้ยังไง ถ้าท่านตายแล้วข้าจะทำยังไง ฟื้นสิพี่ไป่” นางเอ่ยทั้งน้ำตา จับที่แขนของเขาเขย่าเบา ก่อนที่จะแรงขึ้นตามอารมณ์และความเสียใจ
สองพ่อลูกแซ่ไป่ เห็นร่างเด็กน้อยสั่นไปมาโดยไม่มีสาเหตุจึงทำให้ประหลาดใจ
“ท่านพ่อ หรือเขาจะยัง...” ไป่หลงกล่าวได้เพียงแค่นั้นก็ต้องหยุด เมื่อเกิดประกายสว่างบนท้องฟ้าขึ้นอีกครั้ง หากแต่ครานี้ในความสว่างนั้น ทำให้เขาได้เห็นร่างสตรีเลือนรางผู้หนึ่งนั่งอยู่ข้างกายเด็กน้อย ก่อนที่จะหายไปเมื่อความมืดกลับมาเยือนอีกหน
เด็กชายรีบหันไปมองบิดาว่าเห็นเฉกเช่นเดียวกันกับตนไหม แต่อีกฝ่ายไม่ได้มองกลับมา แสดงให้รู้ได้ว่าน่าจะมีเพียงเขาเท่านั้นที่เห็นนาง
เฉินหลินไม่ได้สังเกตเห็นว่าไป่หลงเห็นตนในชั่วขณะหนึ่ง เพราะนางกำลังก้มหน้าร้องไห้กับศพของไป่ยู่อยู่ เสียงนางคร่ำครวญจนจับใจความไม่ได้ ทว่าทันทีที่หยดน้ำตาไหลลงจากวงหน้านวลสัมผัสกับสะเก็ดหินหยก พลันให้เกิดเรื่องประหลาดขึ้น เมื่อส่วนหนึ่งที่เป็นสีแดงเลือดกลับคืนกลายเป็นสีขาวดังเดิม
ไป่เลี่ยนคล้ายมองเห็นร่างของเด็กน้อยสว่างเรืองแสงขึ้นในพริบตา ไป่หลงก็เห็นแบบนั้นด้วยเช่นกัน เฉินหลินคล้ายรู้สึกได้ถึงบางอย่างในร่างกายที่ซบอยู่
ตอนนั้นเองที่เกิดสายฟ้าผ่าลงมาจนทำให้เกิดเสียงดังสนั่น สองพ่อลูกแซ่ไป่กระเด็นออกมาโดยไม่ทันตั้งตัว ขวดน้ำมันดินในห่อสัมภาระของไป่หลงพลันแตกกระจายจนเกิดประกายไฟรอบบริเวณ
“เป็นอะไรไหม? เสี่ยวหลง!” คนเป็นพ่อรีบถามขึ้นทันทีที่ตั้งสติได้
“...” ไป่หลงทั้งตกใจ ทั้งมึนงงได้แต่นั่งนิ่งเช่นนั้น
“เสียวหลง! เสี่ยวหลง! เป็นอะไรไหม?!” ชายหนุ่มรีบลุกมาดูอาการของลูก ทันทีที่ถูกสัมผัสตัว ไป่หลงสะดุ้งขึ้นเล็กน้อย
“มะ ไม่ครับ ขะ ข้าปลอดภัยดี” เด็กชายตอบ
“ลุกเถอะ อันตรายเกินไป เราอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว”
บิดาฉุดแขนลูกชายให้ลุกขึ้น แต่สายตาของไป่หลงกลับจับจ้องไปที่จุดเดียว กองไฟที่สว่างขึ้นรอบข้างร่างของเด็กน้อย มันทำให้เขาเห็นร่างเฉินหลินชัดขึ้น แม้จะเป็นเพียงภาพเลือนรางก็ตามที แต่ครั้งนี้เขาแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด
“พ่อครับ คนคนนั้น” ไป่หลงกล่าวแค่นั้นแล้วเดินนำเข้าไปหาเพื่อพิสูจน์ความจริง
ทว่าฝนที่ตกลงมาทำให้ที่พื้นมีน้ำขังขึ้นสูงจนไฟที่ไหม้อยู่มอดลงไปในเวลาไม่นาน ร่างของเฉินหลินก็จางหายไปจากสายตาของไป่หลงในทันที เด็กชายจึงทำได้เพียงยืนนิ่งงันอย่างไม่เข้าใจ
ไป่เลี่ยนเดินตามลูกชายเข้าไป จึงสังเกตเห็นบางสิ่ง ไป่ยู่กลับมาหายใจมีชีวิตขึ้นอีกครั้งราวกับปาฏิหาริย์ เขารีบเข้าไปอังปลายจมูกและตรวจจับชีพจร
“เขาฟื้นแล้ว” เมื่อดูที่บริเวณหน้าอก กลับไม่พบเศษสะเก็ดหินหยกเหล่านั้นอยู่อีกแล้ว คล้ายกับว่าพวกมันจมหายเข้าไปในร่างกายของเด็กน้อยราวกับถูกดูดกลืน
สีหน้าของเด็กน้อยมีสีเลือดขึ้น แต่ก็ยังไม่สู้ดีนัก ไป่เลี่ยนพอจะคาดการณ์ได้แล้วว่าอาการของเด็กน้อยไม่ใช่การได้รับบาดเจ็บทั่วไป แต่มันเกิดจากไสยเวทที่ชั่วร้ายซึ่งตัวเขาไม่อาจจะเข้าใจและหาคำตอบได้
................................................
ด้วยเดิมทีไป่เลี่ยนเป็นพรานป่าล่าสัตว์ที่ป่าชางหลง แห่งนี้หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าหุบเขาซ่อนมังกร เขาเลี้ยงดูลูกชายเพียงลำพังเพราะภรรยาเสียชีวิตด้วยอาการป่วยไปตั้งแต่ไป่หลงอายุเพียงสี่ปี ไม่นับเรื่องที่มีรูปร่างสูงใหญ่ จิตใจทระนงเด็ดเดี่ยว รักเพื่อนพ้องและมีฝีมือในการต่อสู้ระยะประชิดกับยิงธนูแม่นยำ ชายหนุ่มยังพอจะรู้เรื่องคาถาอาคมอีกเล็กน้อย เพราะจำต้องศึกษาไว้เพื่อป้องกันตัวในยามที่เข้าไปล่าสัตว์ในป่าลึก
สองวันนี้เกิดเรื่องราวแปลกประหลาดขึ้นจนชวนให้รู้สึกสยดสยอง ตอนนั้นเขากำลังผ่าฟืนอยู่หลังกระท่อมที่พัก อยู่ๆ ท้องฟ้าพลันดำมืดราวกับหลุมลึกไร้ที่สิ้นสุด เกิดเสียงร้องคำรามโหยหวนจากสัตว์เลี้ยงรอบบริเวณก่อนที่พวกมันจะล้มลงนอนตายอย่างไร้สาเหตุ และมีฝนตกลงมาเป็นหยดเลือดโหมกระหน่ำแรงทั่วผืนดิน
หลังจากนั้นกลับยิ่งเกิดเรื่องวิปลาสสุดคาดคิด เมื่อมีคนเห็นคนตายฟื้นคืนชีพ บ้างเห็นสัตว์ประหลาดที่ไม่เคยพบเห็น ไป่หลงวิ่งมาบอกเขาหลังฝนหยุดท้องฟ้าสงบว่าระหว่างที่ตนหลบอยู่ในป่า ได้เห็นแมงมุมยักษ์ที่ครึ่งบนเป็นอิสตรี ไป่เลี่ยนไม่คิดว่าลูกโกหก หากเด็กชายเห็นเช่นนั้นย่อมหมายถึงเขาเห็นจริงๆ มันกลายเป็นเหตุอาเพศที่ทำให้ทุกคนกล่าวขานด้วยความหวาดกลัว
พอตะวันลับฟ้าในคืนนั้น ทุกสิ่งยิ่งน่าหวาดหวั่น กระท่อมที่พักของสองพ่อลูกแซ่ไป่ สร้างอยู่ใกล้ตีนเขาติดกับป่าชางหลง ในละแวกเดียวกันมีกระท่อมของครอบครัวอื่นอยู่อีกสี่ห้าหลัง ทั้งหมดได้ยินเสียงหวีดร้องด้วยความทุกข์ทรมานของเหล่าสัตว์ที่อยู่ในป่า
มีเพียงไป่เลี่ยนเท่านั้นที่กล้าออกมายืนดูด้วยต้องการรู้ที่มาให้กระจ่างชัด หากไม่ติดที่ห่วงความปลอดภัยของลูกชาย เขาอาจจะออกเดินทางเพื่อพิสูจน์สิ่งที่สงสัย
เมื่อแสงแรกของวันมาเยือนในตอนรุ่งสาง เพื่อนบ้านส่วนใหญ่ต่างเก็บข้าวของเตรียมย้ายหนีกลับเข้าเมืองด้วยความหวาดกลัว ไป่เลี่ยนด้วยเข้าใจในความรู้สึกของทุกคนจึงไม่คิดห้าม ออกจะเห็นเป็นเรื่องดีเสียด้วยซ้ำที่ถอยห่างออกจากป่าที่ไม่แน่ใจว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้น
มีคิดเผื่อไว้ถึงขนาดจะฝากลูกชายให้ไปกับพวกที่อพยพหนี ทว่าไป่หลงรู้เขาก็ยืนยันหนักแน่นว่าจะอยู่เคียงข้างบิดา ไม่หนี ไม่ซ่อนและพร้อมจะตามไปพิสูจน์ความจริงด้วยกันในป่า เขาภูมิใจในตัวลูกชาย เพราะเฝ้าสอนให้เป็นผู้กล้าและไป่หลงก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
เพื่อนบ้านใกล้เคียงกันอีกสามสี่คนขอตามติดไปด้วย ทั้งหมดนับเป็นพรานป่าล่าสัตว์ที่เก่งฉกาจ โดยเฉพาะในป่าแห่งนี้ แต่เพราะพอจะรู้เรื่องอาคมอยู่บ้าง ไป่เลี่ยนจึงมองว่าเหตุการณ์ดังกล่าว ทั้งฝนเลือด ทั้งการตายของสัตว์เลี้ยง รวมถึงแมงมุมครึ่งอิสตรีและเสียงร้องในป่าลึก น่าจะเกิดจากสิ่งชั่วร้ายที่ไม่ใช่แค่ลูกธนูก็จัดการได้
เขาตั้งใจจะเดินทางไปหารือกับนักบวชนาม เลี่ยงหวง ที่วัดอู๋หมิง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหุบเขานี้เพราะอีกฝ่ายเชี่ยวชาญในด้านอาคมเป็นพิเศษ
“พี่เลี่ยน อย่าเสียเวลาเลยน่า ข้ารู้นะว่าท่านกังวลแล้วกับนักบวชนั่น พวกท่านก็สนิทกัน แต่พวกข้าไม่เชื่อไอ้อาคมคาถาบ้าบออะไรนั่น”
“ใช่พี่ ไม่ใช่ว่าจะลบหลู่อะไรพี่นะ พวกข้านับถือพี่ด้วยใจจริง แต่กับนักบวชพิลึกคนนั้น... ข้าว่าเขาดูสติไม่ดีมากกว่า อย่าว่าแต่จะให้นับถือที่เป็นพระ กระทั่งจะให้คิดว่าเป็นคนปกติ ข้ายังไม่เชื่อด้วยซ้ำ”
ทุกคนลงความเห็นกันว่าให้เดินทางเข้าป่าไปเลย เพราะไม่อยากเสียเวลา ท้องฟ้าวันนี้ก็ใช่ว่าจะปกติ เมฆครึ้มยังปกคลุมทั่ว หากเกิดอาเพศแบบเมื่อวานขึ้นมาอีกจะทำให้การเดินป่าลำบากยิ่งกว่าเดิม ที่สำคัญทุกคนห่วงกับดักจับสัตว์ที่วางเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวันก่อน เกรงว่าเหยื่อที่จับได้จะเน่าคากับดักเสียก่อน
ไป่หลงมองพอรอการตัดสินใจ ทุกคนก็เช่นกัน ไป่เลี่ยนรู้ดีว่าหากเขารั้นไม่เห็นด้วย ทุกคนคงเลือกที่จะเข้าป่าไปโดยไม่รอตน และนั่นจะยิ่งทำให้เขากังวลใจในความปลอดภัยของทุกคนยิ่งกว่าเดิม นั่นจึงทำให้เขาเลือกที่จะเดินทางร่วมกับทุกคน โดยไม่คาดคิดมาก่อนว่ามันจะนำพาหายนะมาให้
“เสี่ยวหลง เจ้าไม่ต้องตามมา”
“แต่ท่านพ่อ ข้าไหว ข้าเอาตัวรอดได้ ท่านไม่ต้องห่วง”
“ใช่ พ่อห่วง แต่ไม่ใช่เพราะคิดว่าเจ้าจะกลายเป็นภาระ ที่พ่อห้ามไม่ให้ไปเพราะอยากให้เจ้าทำงานสำคัญชิ้นหนึ่ง” คำพูดนี้ทำให้เด็กชายกระตือรือร้นที่จะรับภารกิจตามคำสั่ง
“ได้ครับ ท่านพ่อบอกมาเลย ให้บุกน้ำลุยไฟ ข้าก็จะทำให้สำเร็จ” ไป่เลี่ยนยิ้มให้กับท่าทีมุ่งมั่นของลูกชาย
“ไปพบหลวงพี่เลี่ยงหวง พ่อสังหรณ์ใจว่าเรื่องครั้งนี้มันต้องมีอะไรยิ่งกว่าที่พวกเราเห็น ถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้นและควรทำอย่างไร”
“ได้ครับ!”
“เมื่อเจ้าได้รับคำตอบมาเรียบร้อยแล้ว ให้เจ้ายิงพลุนี่ขึ้นฟ้าจากตรงนี้แล้วไปรอพบพ่อที่ผาหางมังกร” บิดายื่นแท่งไฟสีแดงให้
ไป่เลี่ยนนัดแนะกับลูกชาย แน่ใจว่าด้วยฝีมือของไป่หลงการไปผาหางมังกร ไม่ได้ยากเย็นสำหรับอีกฝ่าย ที่สำคัญคือตรงนั้นเป็นปลอดภัยกว่าในป่ามากนัก
“ได้ครับท่านพ่อ ข้าจะรีบไปรีบกลับมา” ไป่หลงรับคำ แล้วกล่าวขึ้นอย่างลังเล “ท่านพ่อ...”
ไป่เลี่ยนมองลูกชายรอคำต่อ
“ระวังตัวด้วยนะครับ... เรื่องแมงมุมที่ข้าเห็นเมื่อวาน... ข้า... ข้าเห็นมันแถวถ้ำเขี้ยวมังกร ท่านพ่อระวังตัวไว้นะ”
“อืม เข้าใจแล้ว เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง เจ้าก็เหมือนกัน เดินทางระวังตัวด้วยนะ หากมีอันตรายอะไรที่คิดว่าเกินกำลัง อย่าฝืนเด็ดขาด” ไป่เลี่ยนยิ้มรับแล้วกำชับอีกฝ่าย
“พี่เลี่ยน พวกข้าพร้อมแล้ว” กลุ่มนายพรานตะโกนบอกทันทีที่เตรียมตัวเสร็จ ไป่เลี่ยนหันไปพยักหน้ารับก่อนจะกลับมามองลูกชาย สองคนมองตากัน ไป่เลี่ยนลูบหัวลูกชายเบาๆ แล้วดูเขาออกเดินทางไป