ตอนที่ 36 ความสามารถของโซอี
ตอนที่ 36 ความสามารถของโซอี
“แน่ใจนะว่านี่ไม่ได้กำลังมาปิกนิก”
ฟอแกนด์มองสถานการณ์ตรงหน้าแล้วได้แต่ถอนใจ บนพลาสติกขนาดใหญ่ที่เอาไว้ปูนั่งกับพื้นมีอาหารขนมเครื่องดื่มมากมายไปหมด ท่ามกลางป่าหนาทึบที่พร้อมจะหลงทางได้ทุกเมื่อ กับบรรยากาศเย็นยะเยือกของต้นฤดูหนาวที่แทบจะพ่นไอออกมายามพูดหรือหายใจ แต่ดูเหมือนเจ้าพวกเด็กในหน่วยจะครึกครื้นกันไปหน่อยไหมในระหว่างเวลางานแบบนี้
วันนี้หน่วยเคซีโร่มีภารกิจสำคัญที่ทำให้ทุกคนกลับมารวมตัวกัน นั่นคือการมาสำรวจร่องรอยของต้นไวท์แอชที่หายไป เป็นความพยายามในการรื้อฟื้นความทรงจำของโซอี เพื่อเป็นเบาะแสที่จะสาวไปถึงตัวคนร้ายได้มากขึ้น
ในอดีตต้นไวท์แอชเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์อันดับหนึ่งของคาเรม นักท่องเที่ยวจะสามารถนำรถยนต์จอดไว้ได้ที่ปากทางเข้าอุทยานแห่งชาติด้านหน้า ก่อนจะต้องเดินเท้าเข้าไปในป่าตามทางเดินที่ถูกทำไว้ให้สะดวกยิ่งขึ้น แต่เนื่องจากสถานที่แห่งนี้รกร้างมานานเกือบยี่สิบปีไม่มีนักท่องเที่ยวอีกแล้ว ทางหน่วยจึงทำเรื่องขออนุญาตให้นำรถยนต์เข้าไปได้เพื่อความสะดวกในการเดินทาง
มีเพียงฟอแกนด์กับเอ็ดเวิร์ดเท่านั้นที่เคยเห็นต้นไวท์แอชขณะที่มันยังอยู่ และเคยเดินทางมาตรวจสอบเมื่อเกิดเหตุตอนที่มันหายไป และแม้ว่าเฮคเตอร์ ชาเกล เคนเซย์จะเคยมาสำรวจที่นี่เมื่อหลายปีก่อน แต่ภาพก็เลือนลางจนเฮคเตอร์แทบจำไม่ได้แล้วว่าเป็นอย่างไร การจะให้ชาเกลใช้พลังพาทุกคนเข้าไปทีเดียวก็ดูจะเป็นภาระหนักเกินไปสำหรับเขา และนกไฟของเคนเซย์ก็ยังมีปัญหาบาดเจ็บ
ดังนั้นคำตอบสุดท้ายจึงต้องเลือกการเดินทางด้วยรถยนต์ เพราะไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นบ้างทุกคนจึงต้องประหยัดพลังวิญญาณไว้สำหรับเตรียมการต่อสู้ และเพราะร่องรอยเส้นทางสัญจรในอดีตสมัยเป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังก็ยังอยู่ จึงทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องการหลงทางมากนัก
ทุกคนเข้ามาที่นี่ตั้งช่วงสายของวัน แต่เนื่องจากระยะทางไกลจนทำให้ต้องหยุดพักทานมื้อกลางวันที่โซอีกับเฮคเตอร์เตรียมมาเผื่อทุกคนไว้ด้วย
“เอาน่ะ ยังไงก็เป็นเวลาพักกลางวัน มากินข้าวเถอะ”
เอ็ดเวิร์ดตบไหล่ฟอแกนด์ก่อนที่ท่านรองของหน่วยจะเข้าไปนั่งสมทบกับเด็กๆ จนท้ายก็ท่านหัวหน้าหน่วยก็ตามไปร่วมวงด้วยในที่สุด
“เฟย์นะเป็นยังไงบ้างเคนเซย์ เห็นว่าตรวจวัดค่าพลังได้เลเวลเจ็ด”
ฟอแกนด์ที่นั่งลงคนสุดท้ายถามขึ้น เนื่องจากก่อนหน้านี้เขาแทบไม่ได้เจอเคนเซย์เลย
“ก็ตามนั้นแหละครับ เพราะพลังเยอะแบบนั้นถึงได้มีภูมิคุ้มกันดิคเคนส์แทบจะ 100% ไปด้วย ก็หายห่วงไปได้เยอะเลย เพราะเธอเองก็บอกว่าอยากจะทำงานในกองปราบ จากนี้ไปคงต้องฝึกเรื่องอื่นๆ อีกเยอะ ถึงจะเก่งกับวิญญาณ แต่อยู่ต่อหน้าพวกพลังสายพิเศษเราก็เหมือนคนธรรมดานั่นแหละ”
“แต่ดูแล้วก็เป็นสายต่อสู้อยู่แล้วนี่นา คงพอมีพื้นฐานบ้างแล้ว แค่ต้องพัฒนาตัวเองไปสินะ”
เอ็ดเวิร์ดพูดต่อ หลังกระดกขวดน้ำชายี่ห้อโปรดไป
“ผมไม่ให้เธอทำงานเต็มเวลาแบบนั้นหรอก เป็นพาร์ทไทม์เป็นครั้งๆ ไปก็พอแล้ว ผู้หญิงแต่งงานแล้วก็อยู่บ้านเลี้ยงลูกสิ”
โซอีเกือบน้ำลักน้ำผลไม้ที่กำลังจิบ ถ้านี่เป็นอะไรที่ได้ยินจากคนรุ่นอายุหกสิบขึ้นไปที่ยังมีความคิดล้าสมัยแบบนั้นเธอจะไม่ตกใจเลย
“หัวโบราณจัง”
เสียงหัวเราะดังขึ้นรอบวงยกเว้นผู้พูดกับผู้ที่ถูกกล่าวถึงซึ่งได้แต่ทำหน้าจืดเจื่อน
“เธอยังไม่รู้สินะ เคนเซย์มันก็เป็นแบบนี้แหละ”
เฮคเตอร์บอกข้อมูลให้กับโซอี
“ตะ...แต่ผมไม่ได้ปิดกั้นเรื่องอื่นนะ ไม่ใช่พวกแบบ...ผู้ชายหัวโบราณขนาดจะไม่ยอมรับเรื่องการอยู่ด้วยกันก่อนแต่งงานอะไรอย่างนั้น”
“โหว… พูดแบบนี้ก็แปลว่าคิดเผด็จศึกเจ้าสาวของตัวเองอยู่สินะ”
พอวกเข้าเรื่องลามก ทุกคนก็ไม่แปลกใจที่ฟอแกนด์จะแซวอะไรออกมา แม้แต่โซอียังเคยชินไปแล้ว
“แน่สิลุง! เราแต่งงานกันแล้วนะมันผิดตรงไหน มีผู้ชายคนไหนไม่คิดเรื่องอย่างนั้นกับผู้หญิงที่ชอบบ้าง ผมหมายถึงทัศนคติต่างหาก ไม่ได้รู้สึกว่าเรื่องแบบนั้นมันแย่หรือต่อต้านอะไร แบบ...ดูอย่างพี่เฮคเตอร์กับคุณโซอีแบบนี้นี่ไง”
“อ้าว...โยนมาให้พวกฉันทำไม”
“ก็พวกพี่ดูเหมือนคู่แต่งงานใหม่มากกว่าผมที่เพิ่งแต่งไปจริงๆ อีกน่ะสิ”
เฮคเตอร์หันไปมองหน้าโซอี ที่หมู่นี้ดูเหมือนจะเป็นสาวน้อยเขินได้อายเป็นขึ้นมาบ้างแล้ว
“อืม...ฉันก็ไม่ได้คิดจะแต่งงานนะ ถ้าโซอีไม่แต่งงานกับคนอื่นเราก็คงจะอยู่ด้วยกันไปแบบนี้แหละ...เนอะ” พูดจบ ชายหนุ่มก็ขยับตัวไปชนร่างของหญิงสาวเบาๆ ราวกับสะกิดของความเห็นด้วย
“อื้อ ก็คงอย่างนั้นล่ะมั้ง”
ได้ยินโซอีตอบแล้ว กลิ่นบูดๆ ของความรักก็ลอยควุ้งให้คนที่แต่งงานแล้วแต่ไม่มีโมนเมนท์แบบนี้บ้างหมั่นไส้
“มันต่างอะไรกับแต่งงานตรงไหน ถ้าคิดจะทำแบบนั้นจริงๆ พวกพี่ก็แต่งงานกันไปเหอะ ผู้หญิงทุกคนอยากใส่ชุดเจ้าสาวกันทั้งนั้นแหละ อยู่กันแบบเป็นทางการยังไงมันก็สบายใจกว่าไม่ใช่เหรอ เพราะแบบนั้นบ้านผมถึงต้องรีบจัดงานแม้อะไรๆ จะไม่พร้อมแบบนี้ไง”
“ก็บ้านนายเป็นตระกูลใหญ่โตที่ต้องรักษาภาพลักษณ์ไง ไม่เหมือนชาวบ้านธรรมดาแบบพวกฉัน ห่วงตัวเองก่อนเถอะ ก่อนจะมายุ่งเรื่องคนอื่นเนี่ย ดูแล้วชีวิตรักนายไม่ง่ายแน่ๆ”
เฮคเตอร์ยกมือไปดีดกะโหลกน้องชายที่รักที่ยุ่งไม่เข้าเรื่อง
“รู้น่า...ผมรอได้ ตัดสินใจแล้วว่ากี่ปีก็จะรอนั่นแหละ”
จนท้าย เฮคเตอร์กับชาเกลที่นั่งอยู่แต่ละข้างของเคนเซย์ก็ได้แต่ตบไหล่เจ้าบ่าวผู้น่าสงสารคนละทาง
“ว่าแต่...ตั้งแต่เข้ามานี่ไม่เห็นดิคเคนส์สักตัวเลยนะ พลังของเคนเซย์คงแรงขึ้นมากจริงๆ”
เอ็ดเวิร์ดพาทุกคนเปลี่ยนเรื่อง
“ก็วัดค่าพลังใหม่ได้ตั้งเกือบแสนนี่ครับ สบายทางเราเลยทีนี้ น่าอิจฉาจังผมก็อยากมีเยอะๆ บ้าง”
ชาเกลได้มีโอกาสพูดขึ้นบ้างหลังจากนั่งฟังอย่างเดียวมานาน
“โหยพี่...ถ้าพวกพี่สองคนมีเยอะขนาดนั้น อย่าว่าแต่เท่าผมเลย เอาแค่เท่าหัวหน้าของเราพวกพี่ก็สัตว์ประหลาดแล้ว คนนึงก็หายตัวได้ อีกคนก็บินไปไหนมาไหนก็ได้ ถ้ามีพลังให้ใช้แบบไม่จำกัด ใครจะไปสู้พวกพี่ได้เนี่ย พระเจ้าให้เรามาอย่างเท่าเทียมนะ”
เคนเซย์เถียง เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าพลังวิญญาณของรุ่นพี่ทั้งสองอยู่ระดับเลเวลสามเป็นเรื่องสมเหตุสมผลแล้ว
“ไม่จริงอ่ะ งั้นเงินในกระเป๋าพวกเราตอนเกิดต้องมีเท่ากันสิ”
เฮคเตอร์เถียงกลับต่อ
“ไม่เกี่ยวสิ อันนั้นมันเป็นผลสะสมจากการกระทำรุ่นต่อรุ่นของบรรพบุรุษนะพี่ ถ้าผมทำไม่ดีมันก็วอดวายในรุ่นผมนี่แหละ ลูกผมก็จะลำบากไง”
เฮคเตอร์นิ่งงันไปเลยทีเดียว ตระหนักชัดเจนว่าตัวเองกับเคนเซย์เติบโตมากับสภาพการสั่งสอนคนละขั้วอย่างแท้จริง
“เออ ก็จริงของนายนะ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ถ้าไม่คิดจะมีลูกก็ไม่ต้องขยันทำงานขนาดนั้นสินะเนี่ย มีเงินเยอะๆ ก็ไม่รู้จะส่งต่อให้ใครนี่นา หลังจบเรื่องไอ้บ้าหัวทองนี่ลางานยาวๆ ไปเที่ยวสักเดือนดีกว่า ถ้าได้ไปเที่ยวบ่อน้ำร้อนด้วยกันกับทุกคนก็คงจะดีนะ ไว้จบงานนี้แล้วไปด้วยกันเถอะ”
โซอีฟังเฮคเตอร์แล้วก็นึกภาพตามในหัว คงจะดีไม่น้อยถ้ามันเกิดขึ้นได้จริงๆ หญิงสาวตัวเล็กไล่สายตามองทุกคนที่นั่งล้อมวงพูดคุยหยอกล้อกันต่อ จะเกิดอะไรขึ้นหากเรื่องที่พยายามทำในตอนนี้ล้มเหลว ชีวิตอันยาวนานกับภาพตรงหน้าเหล่านี้คงจะเป็นความทรงจำที่แสนมีความสุข และสุดจะเจ็บปวดในเวลาเดียวกัน
“เอาล่ะๆ เลิกเล่น รีบกินรีบไปกันต่อได้แล้ว”
เมื่อโดนดุจากหัวหน้าหน่วย ทุกคนก็เพียงบ่นอุบอิบกันไปตามประสา แล้วรีบกินให้เสร็จรีบเก็บของกลับไปขึ้นรถมินิแวนที่ชาเกลเป็นคนขับเพื่อเดินทางต่อ
ตลอดเส้นทางมีการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องเบาะแสที่อังกฤษบ้าง เรื่องสัพเพเหระสลับไปบ้าง ยกเว้นเฮคเตอร์ที่ต้องนอนนิ่งสลบเหมือดนอนตักโซอีอยู่บนเบาะหลังสุดเพราะเมารถนั่นเอง
เมื่อพบรั้วที่เป็นลวดหนามขึงกั้นอย่างแน่นหนาแข็งแรงเป็นเขตห้ามเข้า ท้ายที่สุดคณะเดินทางก็มาถึงจุดหมายปลายทาง ในอดีต...แม้นักท่องเที่ยวทุกคนจะสามารถเข้ามาบริเวณใกล้ๆ ต้นไวท์แอชได้ แต่ก็มีข้อห้ามอย่างเคร่งครัดว่าไม่ให้ปีน หรือแม้แต่จะสัมผัสแตะต้องกับส่วนใดๆ ของต้นไม้โดยเด็ดขาด จากการพยายามฝ่าฝืนกฎจากผู้คนมากมายในอดีต ไม่เคยมีใครรอดชีวิตจากอาการหัวใจวายตายในทันทีได้สักคน
แม้จะเห็นตัวอย่างชัด แต่ก็ยังมีนักท่องเที่ยวจำพวกไม่ลองไม่รู้จำนวนมากที่คิดจะสัมผัสประสบการณ์ความท้าทายนั้น สร้างความเดือดร้อนให้กับทางอุทยานมาเนิ่นนาน จนต้องมีการลงทะเบียนรายชื่อผู้ที่เข้าออกสถานที่แห่งนี้ พร้อมกับเซ็นใบรับรองว่าหากเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของนักท่องเที่ยวในกรณีที่ไปฝ่าฝืนสัมผัสต้นไม้ ทางอุทยานแห่งชาติจะไม่รับผิดชอบใดๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
แม้จะมีการล้อมรั้วไว้ในระยะที่ห่างไกลมากพอสมควรและติดป้ายเตือนไว้โดยรอบ แต่ก็ยังมีข่าวอยู่เสมอว่ามีผู้เสียชีวิตจากการฝ่าฝืนกฎนี้
หน่วยเคซีโร่และโซอีลงจากรถ ภาพเบื้องหน้าอันห่างไกลออกไปขากด้านหลังของรั้วลวดหนาม คือเวิ้งแหล่งน้ำขนาดใหญ่ประมาณสี่สนามฟุตบอลขนาดมาตรฐานวางต่อกันเป็นสี่เหลียม มีต้นไม้ใบสีเขียวปกติขึ้นเป็นป่าล้อมวงโดยรอบ
โซอีขนลุกวาบไปหมดเมื่อเห็นภาพทุกอย่างตรงหน้า เฮคเตอร์ที่สังเกตอาการอยู่แต่แรกแล้วคว้ามือหญิงสาวร่างเล็กมาจับไว้แน่น เมื่อเห็นว่ายืนตัวแข็งนิ่งไป
“เห็นรอยแบบนี้แล้วต้นจริงจะใหญ่ขนาดไหนกันนะ ถึงจะดูจากในรูปก็นึกภาพไม่ออกเลย เสียดายจังถ้าผมเกิดเร็วกว่านี้สักหน่อยคงได้ทันเห็นบ้าง”
เคนเซย์พูดออกมาได้เป็นคนแรก ฟอแกนด์หันมาขมวดคิ้วมองน้องเล็กของหน่วยในทันที
“จริงสินะ ต้นไม้มันหายไปในปีที่นายเกิดมาพอดีเลย… นับจากเดือนแล้วนายเกิดทีหลังซะด้วย พลังก็เยอะแบบนี้มันน่าสงสัยนะเนี่ย”
“อ้าวลุง...หมายความว่ายังไงครับ พลังของผมได้มาจากพ่อกับท่านแม่นะ อย่ามาใส่ร้าย”
“เปล่าสักหน่อย ก็แค่สงสัยไปเรื่อย อันที่จริงตัวลำต้นมันไม่ได้ใหญ่เท่านี้หรอก ส่วนที่หายไปจนเป็นสระน้ำแบบนี้เพราะส่วนรากที่ฝังในดินคงใหญ่มากน่ะ น่าสงสัยมากกว่าว่าพลังของไอ้วิญญาณต้นไม้นั่นมีมากเท่าไหร่กันแน่ ถึงได้ออกมาต้นใหญ่ขนาดนี้”
“นั่นสิครับ แต่ผมสงสัยมากด้วยว่าคนที่สะกดต้นไวท์แอชไว้ได้มีพลังแค่ไหนกันแน่ ถึงทำได้ขนาดนี้”
เสียงของชาเกลดังขึ้น นั่นไม่เหมือนถามใครสักคน แต่เหมือนพึมพำกับตัวเองมากกว่า เพราะสายตาของเขาจดจ่ออยู่กับภาพตรงหน้าราวกับหลงเสน่ห์ในสิ่งมหัศจรรย์นี้เข้าไปแล้ว
“นักสะกดวิญญาณไม่ต้องมีพลังมากขนาดนั้นหรอก เป็นความสามารถเฉพาะทางของพวกเขาที่สามารถสะกดวิญญาณ หรือไล่วิญญาณที่มีพลังมากกว่าตัวเองมากๆ ออกจากร่างกายของมนุษย์ได้ แต่โมริส ชามันด์ก็คงมีพลังเยอะจนเหลือเชื่อจริงๆ นั่นแหละ เพราะถ้ามันแตกต่างกันมากขนาดแบบ 1 หมื่น กับ 1 ล้านจริงๆ มันก็ไม่น่าจะทำอะไรได้หรอกนะ”
เอ็ดเวิร์ดให้ข้อมูลที่ถูกต้องตามหลักการกับทุกคน
“เพราะอย่างนี้ เจ้าต้นไม้นั่นคงแค้นจริงจังเลยสินะ พอหลุดออกมาได้ถึงได้ไล่เก็บนักสะกดวิญญาณจนหมดแบบนี้ อาจจะกลัวว่าตัวเองจะถูกสะกดกลับเข้าไปใหม่ เพราะถ้าพลังเยอะมากขนาดนั้นจริงพวกสายนักปราบวิญญาณก็ไม่น่าทำอะไรได้จริงๆ นั่นแหละ”
เฮคเตอร์เอ่ยขึ้นบ้าง พูดจบก็หันไปมองคนข้างตัวที่บีบมือเขาไว้แน่น
“ขอเข้าไปดูใกล้ๆ มากกว่านี้ได้มั้ยคะ”
ทุกคนหันไปมองที่โซอีในทันที แม้จะปากสั่นหน้าซีดแต่หญิงสาวตัวเล็กก็พยายามต่อสู้กับตัวเองอย่างถึงที่สุด
“พอนึกอะไรออกได้บ้างมั้ย โซอี”
ก่อนจะอนุญาตให้กลุ่มรุกคืบเข้าไปมากกว่านี้ ฟอแกนด์ก็หันไปถามโซอีขึ้นก่อน
“ไม่แน่ใจค่ะ ฉันจำได้ว่าเคยเห็นต้นไม้นี่ แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นการเคยเห็นแบบปกติจากการมองไกลๆ ตอนอยู่ในคฤหาสน์ชามันด์รึเปล่า แถมสภาพอะไรหลายๆ อย่างก็เปลี่ยนไป อยากไปดูใกล้ๆ กว่านี้หน่อยค่ะ”
“ห้ามฝืนจนเกินไปนะ ไม่ไหวก็ต้องบอก”
เป็นเสียงจากเฮคเตอร์ขี้ห่วงคนเดิม
“เข้าไปใกล้กว่านี้ก็ได้ แต่อาจจะต้องอยู่ใกล้ๆ ฉันหรือเคนเซย์แทนนะ ต้นไม้นั่นฝังรากอยู่ที่นี่มาเกือบสองพันปี เศษซากร่องรอยพลังต่างๆ อาจจะยังตกค้างอยู่ได้ ตอนหายไปใหม่ๆ ก็มีบางคนเกือบตายเพราะร่องรอยจากพลังตกค้างเหมือนกัน มันค่อนข้างอันตรายสำหรับคนที่พลังวิญญาณไม่มาก”
“อ้าว แล้วโซอีจะไม่เป็นไรเหรอหัวหน้า”
เฮคเตอร์รีบแย้งกลับ
“อย่ามองแค่ขนาดตัวสิเจ้าเด็กโง่ เกราะกำบังที่หนาจนแม้แต่เอ็ดเวิร์ดยังมองพลังไม่ออกนั่นน่ะ ไม่กระจอกเหมือนแกแน่นอน ดีไม่ดีจะพอๆ กับเคนเซย์ ไม่ก็อาจจะเป็นเลเวลเจ็ดเหมือนเฟย์นะเลยก็ได้”
ลูกน้องเถียงข้อเท็จจริงของหัวหน้าไม่ออกทีเดียว
“ผมจะลองไปไกลเท่าที่ไปได้ ถ้าไม่ไหวจะบอกเคนเซย์ช่วยดูแทน”
เมื่อตกลงกันได้ตามนั้น ทุกคนก็ข้ามรั้วลวดหนามกั้นผ่านเข้าไป ค่อยๆ ขยับเดินไปเรื่อยๆ อย่างระแวดระวัง เฮคเตอร์ใจเต้นตุ้มต่อมเลยทีเดียวเพราะกังวลว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝัน แต่แล้วทุกอย่างกลับไม่เป็นไปตามที่คำกล่าวที่น่ากลัวในตอนแรกขนาดนั้น จนท้าย...ทุกคนก็เดินมาได้จนถึงริมสระน้ำอย่างปลอดภัย
“ทุกคนโอเคใช่มั้ย”
เอ็ดเวิร์ดเช็คสภาพทุกคนและก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ยกเว้นจากโซอี
หญิงสาวตัวเล็กยังยืนนิ่งมองไปตรงหน้าอย่างเลื่อนลอย และอยู่ๆ ก็ขาอ่อนทรุดนั่งลงกับพื้นจนเฮคเตอร์ที่จับมือกันอยู่เซเกือบจะล้มตามไป
“โซ...”
ก่อนที่เฮคเตอร์จะได้เอ่ยชื่อนั้นออกมาเต็มคำ เสียงร้องไห้อย่างเจ็บปวดราวกับเก็บกลั้นไม่ไหวอีกแล้วก็ดังขึ้นตัดหน้า
ทุกคนได้แต่มองอย่างเห็นใจพูดอะไรไม่ออก อาการแบบนี้คงจะนึกอะไรออกมาได้แล้วจริงๆ
โซอีไม่ยอมให้เฮคเตอร์ดึงเข้าไปปลอบ เธอสะบัดมือของเขาออกด้วยซ้ำ
“ทำไมฉันต้องมีชีวิตอยู่ด้วย ทั้งๆ ที่สมควรตายที่สุด ทุกคนตายเพราะฉัน ทั้งคนที่คฤหาสน์นั่น ทั้งนักสะกดวิญญาณที่โดนตามล่า เพราะฉันคนเดียว…”
คำพูดเหล่านั้นถูกปลดปล่อยออกมาผสมกับอาการสะอึกสะอื้น
“ฉันถูกจับไปฝึกโดยไม่ได้ตั้งใจ ทุกคนแค่บอกให้ฉันฝึกเท่านั้น แต่ฉันเกลียดตระกูลนั่น เกลียดพวกนักสะกดวิญญาณ ฉันก็แค่อยากทำขนมอยู่บ้านกับคุณแม่เท่านั้น ฉันหนีออกมาจากที่นั่น พยายามจะหนีกลับบ้านแต่ก็ไม่รู้ทางกลับแล้วเผลอวิ่งเข้ามาในป่า หลังจากนั้น… จากนั้น ฉันคงเป็นคนปล่อยต้นไม้นั่นออกมา”
“พอแล้ว ตอนนี้พอก่อนเถอะ อย่าพูดอีกเลย ถ้าจำได้แล้วก็ค่อยๆ เล่าออกมาตอนที่เธอโอเคแล้ว”
เฮคเตอร์ทนไม่ไหวอีกแล้ว เขารวบตัวโซอีเข้ามากอดไว้แน่น หญิงสาวซึ่งไร้เรี่ยวแรงตอบโต้ได้แต่จำยอมอยู่ในสภาพนั้นก่อนจะค่อยๆ กอดคอชายหนุ่มไว้แล้วร้องไห้ต่อไป
“กฎเหล็กของนักสะกดวิญญาณคือไม่มีใครสามารถคลายสะกดของใครได้ แล้วเธอทำได้ยังไงโซอี”
“หัวหน้า!”
เฮคเตอร์หันไปตวาดใส่หัวหน้างานที่ยังบังคับโซอีไม่หยุด ทั้งๆ ที่เธออยู่ในสภาพแบบนี้
“คลายสะกด…”
แต่อยู่ๆ เสียงอู้อี้ของโซอีดังขึ้นมา
“พลังของฉันสะกดอะไรไม่ได้ แต่คลายสะกดพลังของคนอื่นได้แทน ท่านเจ้าตระกูลเคยบอกไว้แบบนั้น…”