ตอนที่ 35 บทสรุป (ปราสาทจิฮาดะ Part 3)
ตอนที่ 35 บทสรุป (ปราสาทจิฮาดะ Part 3)
จิตต่อสู้สีขาวสลัวลุกโหมกระหน่ำทั่วห้องรับรอง
ลินจิในร่างเทพจิ้งจอกสวรรค์กวาดตามองด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ร่างสูงของชุนนอนหมดสติอยู่บนพื้นเบื้องหน้า ท่านชายอาเมะซึ่งนั่งดื่มชาอย่างสบายใจเห็นเทพจิ้งจอกสวรรค์จึงสะดุ้งพร้อมเบิกตากว้าง ก่อนรีบหดคอทำทีมุดหนี
“อึ๋ย!”
“ท่านทำอะไร”
เสียงทุ้มเอ่ยถาม สองตาจับจ้องไปยังร่างของชุน เมื่อเห็นท่านชายทำท่าจะคลานหนี เทพจิ้งจอกสวรรค์พลันเคลื่อนไหวด้วยความเร็วราวกับหายตัว จากนั้นจึงปรากฏกายด้านหลังของท่านชาย มือหนึ่งคว้าคอเสื้ออีกฝ่ายไว้ทันที
ทว่าพริบตานั้น ร่างของท่านชายก็หายวับไป
จากนั้นปรากฏกายอยู่ด้านหลังของเทพจิ้งจอกสวรรค์
ลินจิในร่างเทพจิ้งจอกสวรรค์สามารถสัมผัสถึงคลื่นพลัง จึงควบคุมเพลิงขาวจู่โจมไปยังด้านหลัง ทว่าร่างของท่านชายอาเมะพลันกลายเป็นหมอกขาว
เพลิงซึ่งแผดเผาความชั่วร้ายปะทะกับหมอกขาวจนปลิวหายไป จากนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“ท่านเทพ ใจเย็น ๆ ฟังข้าก่อน”
เสียงนั้นไร้ซึ่งเจ้าของร่าง
“ออกมานะ! ทำอะไรชุนน่ะ”
สายตาเยือกเย็นกลอกมองซ้ายขวา คิ้วเรียวขยับเข้าหากัน
เสียงท่านชายก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ดูเหมือนพลังของท่านจะพัฒนาขึ้นนะ”
ได้ยินเช่นนั้น ลินจิจึงได้สติ คิ้วทั้งส่องค่อย ๆ คลายออกจากกัน
ตั้งแต่จัดการเหล่าบ่าวรับใช้หุ่นอาคมพวกนั้น ตนก็อยู่ในร่างนี้มาเกินหนึ่งนาทีแล้ว
“ก่อนหน้านี้ข้าสัมผัสได้ถึงความริษยาในใจท่าน แต่มันก็ไม่ผิดที่ท่านจะรู้สึกเช่นนั้น สำคัญคือท่านรู้ว่าตัวเองรู้สึกเช่นไร และไม่ยอมเอนอ่อนต่อความชั่วร้ายนั้น แม้ข้าจะเสกหุ่นอาคมเป็นเหล่าชายหนุ่มไปหลอกล่อท่าน แต่จิตใจของท่านก็ไม่หวั่นไหว สมที่เป็นท่านจริง ๆ”
“เรื่องนั้นช่างมันก่อน รีบทำให้คุณชุนฟื้นเดี๋ยวนี้!”
ขณะเอ่ยหันมองรอบห้อง ร่างของท่านชายอาเมะก็ยังไม่ปรากฏ
เสียงหนึ่งดังรอบบริเวณ…
“ชุนกำลังรับบททดสอบภายในจิตใจอยู่เช่นกัน ข้าร่ายมนตร์มายาลงไปในพวงองุ่นนั่น กะไว้ไม่ผิดจริง ๆ”
สิ้นสุดคำพูด ท่านชายก็ปรากฏตัวอยู่อีกฝั่ง ร่างของชุนนอนแผ่อยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสอง
ตอนนั้นเองแสงสีเขียวสลัวก็สว่างวาบมาครู่หนึ่ง
“สงสัยคงใกล้กลับมาแล้วล่ะ”
ท่านชายยิ้มเจื่อนยกมือกุมหน้าผาก ถอนหายใจแผ่วออกมา
ลินจิรู้สึกสงสัยในตัวท่านชายจึงใช้ทักษะ ‘หยั่งรู้’
[จิฮาดะ ริวไซ เซียน เพศชาย]
วินาทีนั้น ท่านชายรู้ตัวว่า ฝั่งตรงข้ามใช้เวทบางอย่างกับตนจึงสะดุ้งร้อง “เอ๊ะ!”
“ท่านคือ…” ลินจิพึมพำ
“แหมข้าอุตส่าห์ร่ายอาคมปกปิด เผลอจนได้”
ว่าแล้ว กลุ่มควันสีขาวก็ปกคลุมร่างของท่านชาย พริบตาเดียวที่ควันจางหายก็กลายเป็นร่างชายชรา
“ใช่แล้ว ข้าคือ จิฮาดะ ริวไซ”
สิ้นสุดคำตอบแสงสว่างก็เปล่งทั่วกายของลินจิ
[ยกเลิก ‘กลายร่าง LV.2’]
ซึ่งเป็นวินาทีเดียวกันที่ร่างของชุนถูกปกคลุมด้วยเพลิงสลัวสีเขียว
สองตามองร่างชุน กายของตนกำลังกลับสู่สภาวะเดิม เพลิงจิ้งจอกสว่างวาบอีกครั้ง ก่อนจะวูบดับลง
“โอ้! มาไวกว่าที่ข้าคิดเสียอีก”
จังหวะที่จิฮาดะเอ่ย ลินจิก็กลับสู่ร่างเดิมเรียบร้อยแล้ว แม้ตนจะไม่รู้แน่ชัดว่าอยู่ในร่างเทพจิ้งจอกสวรรค์นานเพียงใด แต่ก็รู้สึกว่านานกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
ตอนที่เปลือกตาของชุนก็ขยับเล็กน้อย สองเท้าก็พาร่างเคลื่อนไปด้านหน้า
“คุณ…ชุน”
น้ำเสียงแผ่วเบาอย่างเป็นห่วง แม้รู้ว่าเป็นการทดสอบ แถมยังจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ตนก็ไม่มีเวลามาคิดเรื่องนั้น
ร่างของชายชรา ที่ลินจิเพิ่งทราบว่าเป็นจิฮาดะเลือนหายไป ก่อนจะปรากฏอยู่ข้างกายของตน
แม้รู้เช่นนั้นแต่ลินจิก็ไม่สนใจ สองตาจับไปเพียงภาพชุนตรงหน้าเท่านั้น
“สำเร็จแล้วอย่างนั้นเรอะ หึหึ”
จิฮาดะกล่าวแล้วนั่งลง ลินจิก้าวสั้น ๆ คุกเข่ามองคนตรงหน้า
…คุณชุนก็มีเรื่องภายในจิตใจที่ต้องทดสอบเหมือนกันเหรอ
ชุนลืมตาขึ้นช้า ๆ เบื้องหน้าคือห้องรับรองที่ตนนั่งอยู่ก่อนหน้านี้ ใบหน้าของเทพเจ้าปรากฏอย่างเลือนราง
ภาพที่เห็นก่อนหน้านี้คือพายุเสียงเขียวของเทพบุตรคิกิ และแสงสว่างที่สาดส่องลงมาจนมองไม่เห็นอะไร
ชุนถอนหายใจแผ่วเบา หลับตาแล้วเปิดปากขึ้นช้า ๆ
“…เจ้าหนู”
ลินจิยังไม่ทันได้ตอบอะไร เสียงของ จิฮาดะ ริวไซ ก็ดังจากด้านหลัง
“ทั้งหมดเป็นเวทมายาที่ข้าสร้างขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อให้เจ้าได้เรียนรู้และยกระดับจิตใจของตน หากแต่เมื่อใดที่เจ้าไร้ซึ่งสติจนถูกความโลภเข้าครอบงำ หรือไม่รู้กระทั่งความรู้สึกที่แท้จริงของตนเอง เจ้าอาจจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีก”
ชุนลุกขึ้นนั่งช้า ๆ ตอนนั้นลินจิก็ร้อง “อ๊ะ” ออกมาอย่างติดนิสัย
“เจ้า…”
ที่เรียกเช่นนั้นเพราะรอบตาของอีกฝ่ายดำคล้ำเหลือเกิน ช่างน่าสงสาร
“…”
ลินจิหลับตาส่ายหน้า เรื่องที่ตนเจอแม้เป็นเพียงการทดสอบ แต่มันก็ขุดลึกไปถึงแก่นแท้ความรู้สึกในจิตใจที่มีต่อคนคนนี้ พอรู้แน่ชัดว่าไม่อาจถอนตัวได้ ร่างกายก็ขยับเข้าหาทันควัน ลินจิโผเข้ารัดร่างสูงเอาไว้
“อะแฮ่ม ๆ”
จิฮาดะกระแอมใส่กำปั้นขณะนั่งอยู่ ชุนได้ยินเช่นนั้นจึงหันมอง ว่าจะถามตั้งแต่เมื่อครู่ แต่ตนก็เพิ่งมีโอกาสเอ่ยปาก
“ท่านคือ…”
ถามแล้ว ชุนก็มองต่ำยังคนที่กำลังสวมกอดตนไว้ จิฮาดะกำลังจะตอบ ทว่าก็มีอีกเสียงหนึ่งแทรกเข้ามา
“ดีใจที่ปลอดภัยนะครับ…”
เสียงดังอู้อี้จากอกของตน เมื่อรู้ว่ามีใครสักคนคอยเป็นห่วง ความรู้สึกเป็นสุขอย่างมากมายก็เข้ามาครอบครองจนปวดถึงศีรษะอย่างห้ามไม่ได้ ความเจ็บปวดในกระบอกตาบีบรัดหัวใจจนถึงขีดสุดโดยไม่ทราบสาเหตุ
จะผลักไสร่างกายนี้ได้อย่างไร ตนหมดหนทางโดยสิ้นเชิงจนไม่รู้จะทำอย่างไรดี
“ขอบใจเจ้ามาก…”
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้วครับ”
เสียงของอีกฝ่ายที่พูดใส่อกของตนสั่นสะเทือนไปถึงภายใน
พอชุนทำคอตก ลินจิก็ขยับออกห่างเล็กน้อยแล้วยิ้มแป้น ถึงดูรู้ว่าฝืน แต่คราบน้ำตาเปรอะเปื้อนซึ่งสะท้อนกับแสงตะเกียงช่างสวยงาม ชุนยิ้มเฝื่อนตอบแล้วเช็ดน้ำตาที่ยังคั่งค้างอยู่บนดวงตาคู่นั้นให้ ลินจิเข้ามากอดอีกครั้งราวกับกระโจนหา
จิฮาดะกระแอม “แฮ่ม ๆ” ขึ้นมาอีกครั้ง พอชุนหันไป ฝั่งนั้นจึงเอ่ยขึ้น…
“ข้าคือจิฮาดะ ริวไซ ผู้ตีดาบกระดูกเทพให้กับบรรพบุรุษของเจ้า ท่านชายอาเมะคือร่างจำแลงของข้าที่อยู่เพื่อปกป้องเกาะแห่งนี้ ส่วนบ่าวรับใช้คือหุ่นอาคมที่ข้าสร้างขึ้นมา แต่เหมือนว่าจะโดนพลังของเทพจิ้งจอกสวรรค์เป่ากระจุยไปหมดแล้ว”
เมื่ออีกฝ่ายกล่าว ตนจึงสงสัย เพราะเหตุใดเจ้าหนูถึงต้องทำเช่นนั้น ขณะครุ่นคิดสายตาก็มองลงต่ำ
เส้นผมของเทพเจ้าซึ่งกอดตนถูกลมจากนอกหน้าต่างพัดพลิ้ว ชุนอยากจะลูบศีรษะนั้น แต่สองมือก็กำแน่นห้ามตัวเองไว้
จิฮาดะเห็นเทพเจ้าในสภาพนี้จึงเข้าใจ หุ่นอาคมเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ตนสร้างขึ้นมาเพื่อทดสอบ แม้อาจดูรุนแรงเกินไป แต่มันก็ช่วยให้รับรู้ถึงสภาวะในจิตใจของตนเอง เช่นนั้นจึงกล่าวว่า
“ท่านเทพเองก็ถูกทดสอบเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเหล่าบ่าวรับใช้รูปงาม ท่านชายอาเมะที่ทำให้ตนรู้สึกด้อยกว่า ทุกอย่างคือบททดสอบของข้า แต่ท่านเทพก็ผ่านมาได้ด้วยแก่นแท้ของจิตใจที่ดีงาม”
ชุนเงยขึ้น จิฮาดะเอ่ยต่อ…
“ความริษยาหรืออารมณ์ด้านลบที่สามารถผุดขึ้นมาในจิตใจได้ทุกเมื่อ ตราบใดที่ยังรับรู้ ก็มีสิทธิ์ที่จะรู้สึก แต่หลังจากนั้นต่างหากล่ะที่สำคัญยิ่งนัก นั่นคือ การตัดสินใจว่าจะตอบสนองอารมณ์ หรือ จะหยุดมองเพื่อเรียนรู้ฝึกฝนเพื่อขจัดสิ่งแปดเปื้อนนั้นออกจากจิตใจ”
ชุนพยักหน้า รับฟังอย่างเข้าใจ
ลินจิซ่อนใบหน้าเหยเกไว้กับอกของชุน ตนไม่ได้อยากร้อง แต่กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เหตุการณ์ที่ผ่านมาไม่ใช่แค่เรื่องทดสอบจิตใจ แต่มันหวนคืนทุกวินาทีตั้งแต่ตนหลุดมาที่นี่
แม้ที่ผ่านมาตนจะดูเหมือนไม่เศร้า แท้จริงแล้ว ตนก็แค่พยายามไม่นึกถึงเรื่องบั่นทอนจิตใจ ถึงดูเหมือนหนีปัญหา แต่ตนก็ทำได้ดีที่สุดเพียงเท่านี้ ในเมื่อความอดทนมีจำกัด ก็อยากระบายทุกสิ่งออกมาให้หมดพร้อมน้ำตา
“…ร่างกายเจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
“อืม สบายมาก”
ลินจิตอบอู้อี้ ฝังใบหน้าเปียกชุ่มไว้กับคนตรงหน้า ชุนสัมผัสถึงของเหลวที่ซึมผ่านเสื้อเข้ามา เขาขยับตัวเล็กน้อย
“นี่…เจ้าหยุดร้องสิ”
ว่าแล้วสองมือก็จับต้นแขนของอีกฝั่งแล้วเขย่าแรง ๆ ทว่าเหมือนจะไม่ได้ผล
“อ้า… เดี๋ยวสิชุน”
จิฮาดะรีบลุกขึ้นปราม ตอนนั้นลินจิก็ถอยตัวออกมา ชุนปล่อยมือทันที
“เจ็บนะ”
“ทะ…โทษ”
ลินจิฟ้องด้วยใบหน้าจริงจัง น้ำตาของเขาเริ่มแห้งแล้ว ชุนเพ่งสายตาไปยังต้นแขนของอีกฝ่ายที่ตนเผลอทำรุนแรง เมื่อเห็นว่าไม่เป็นอะไรมากจึงลุกขึ้นแล้วยื่นมือให้
“…”
ตอนนั้นลินจิก็เงยมองพลางกะพริบตา
“…”
สายตาของชุนก็มองไปทางนั้นเช่นกัน
“ลุกเถอะ…”
พอชุนพยักหน้าให้ ลินจิก็ยื่นแขนออกไป ยิ้มอย่างฝืน ๆ แล้วหัวเราะฮะ ๆ ออกมา
ถึงอย่างนั้น รอยยิ้มของเขาก็น่าเอ็นดูราวดอกไม้เบ่งบานกลางแสงสว่าง ลินจิยื่นมือขวาออกมาแตะมือขวาของชุนก่อนจะล้อว่า “มือด้านสุด ๆ เลย” แล้วห่อไหล่อย่างอาย ๆ
—ชอบนะครับ ชอบที่สุดในจักรวาลเลยนะคุณชุน
เสียงกระซิบแผ่วเบาภายในใจ
ขณะที่สองฝ่ามือสัมผัสกันอย่างแผ่วเบา พอต่างฝ่ายต่างออกแรงก็กลายเป็นสัมผัสที่แน่นแฟ้น
ลินจิยึดมือของอีกฝ่ายแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นมา ก่อนที่มือของทั้งสองจะปล่อยออกจากกัน
จิฮาดะเดินเข้ามาหาทั้งสองโดยพลัน ตอนนั้นกำปั้นหนึ่งก็ลงเข้ากลางหัวของเขาทันที
“…โอย… มันบาปนะเจ้า”
จิฮาดะพึมพำ ศีรษะปูดโน พลางใช้มือข้างหนึ่งลูบศีรษะไปมา เอ่ยว่า…
“พวกท่านก็ไปพักเสียเถอะ อีกไม่นานก็เช้าแล้ว”
“ที่ไม่ได้พัก เป็นเพราะใคร…”
ชุนรู้สึกไม่พอใจกับการทดสอบที่ไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากต่อว่าเล็กน้อย เสียงหนึ่งก็ดังแทรก
“ขอบคุณนะครับ”
ลินจิเอ่ยยกยิ้ม ใบหน้าพาดสีแดง
แม้ตนจะเพิ่งร้องไห้มา แต่คงไม่มีใครอยากอยู่ใกล้คนงอแง คิดเช่นนั้นจึงสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะผ่อนออกช้า ๆ ขณะนั้นชุนก็ปรายตามอง เอ่ยว่า
“ไปกันเถอะ”
“อ้า… เดี๋ยวสิพวกท่าน”
จิฮาดะเอ่ย ยกมือปรามทั้งสอง จากนั้นหมอกขาวก็แผ่ปกคลุมทั่วกาย
เมื่อทั้งสองหันไปมองอย่างสงสัย เมื่อหมอกขาวจางหาย ท่านชายอาเมะคนเดิมปรากฏกาย จากนั้นก็ยกยิ้มให้ทั้งสองด้วยดวงตากระจ่างใส
“เดี๋ยวข้าให้เหล่าบ่าวรับใช้ไปส่ง”
หลังจากที่กล่าวเช่นนั้น ท่านชายอาเมะก็สอดมือเข้าไปในเสื้อเหมือนหาบางอย่าง เมื่อดึงมือกลับออกมา หุ่นกระดาษจำนวนมากก็ปรากฏในมือ
แปะ!!! เสียงฝ่ามือประกบเข้าหากัน สองตาหลับลง ริมฝีปากเรียวเล็กอมชมพูขยับบริกรรมคาถา แสงขาวสลัวปกคลุมร่าง เส้นผมและชายผ้าลอยพลิ้วปลิวขึ้นด้านบนตามกระแสพลัง
เมื่อสองฝ่ามือโปรยหุ่นอาคมกระดาษขึ้นเหนือศีรษะ แสงสีขาวพลันสว่างวาบจากหุ่นอาคมกระดาษ กระจายไปตามจุดต่าง ๆ ทั่วบริเวณห้อง ก่อนจะขยายเงาแสงเป็นรูปคน หลังจากแสงวูบดับลง เหล่าบ่าวรับใช้มากมายก็ปรากฏกาย
“พวกเจ้าส่งแขกเข้าห้องพักด้วย!”
“ขอรับ”
เหล่าบ่าวรับใช้ขานรับคำสั่งของท่านชายอาเมะ
เช่นนั้นลินจิจึงนึกขึ้นได้ ตอนที่ตนแปลงกายเป็นเทพจิ้งจอกสวรรค์ตนเผลอพังห้องเสียเละ
“เอ่อ…คือ…” เขาอึกอัก
“อะไร”
ชุนถาม ปรายตามอง ใบหน้าของอีกฝ่ายแดงเล็กน้อย แววตาที่ผ่านน้ำตาช่างสดใสเหลือเกิน ภาพนี้ไม่ต่างจากคำว่า ‘ฟ้าหลังฝน’ อย่างแน่นอน
ลินจิหันไปยังผนังห้องที่เป็นรู ข้าวของที่กระจัดกระจาย รอยไหม้ที่เกิดจากเพลิงจิ้งจอกสวรรค์
จิฮาดะในร่างท่านชายอาเมะเห็นท่าทางของฝั่งนั้นจึงพอเดาออก เขาหัวเราะ ฮิฮิ ก่อนเอ่ยว่า…
“เรื่องแค่นี้ สบายมากท่านเทพ”
หมอกสีขาวปรากฏอย่างไร้ที่มา บดบังทัศนวิสัยทั่วบริเวณโดยพลัน เมื่อเสียงหนึ่งคล้ายเสียงดีดนิ้วดังขึ้น ป๊อก! หมอกขาวก็สลายตัวทันควัน จากนั้นสภาพภายในห้องก็กลับมาดังเดิม
“ท่านเทพจะให้อาผิงไปส่งอีกไหม”
ท่านชายยิ้มถามอย่างสบายใจ ลินจิส่ายหน้าทันที
“มะ…ไม่ครับ”
“ไปกันเถอะ”
เสียงชุนเอ่ยพร้อมสัมผัสบางเบาที่เกิดขึ้นบนมือของตน
“อ๊ะ...”
ลินจิเผลอร้องสะดุ้งหดมือถอยออกมาเล็กน้อย แต่มือขวาของชุนก็กุมมือซ้ายของเขาเอาไว้แน่น
“เจ้าควรจะพักได้แล้ว… ไปกันเลยไหม”
ชุนพูดแล้วยิ้มอย่างเป็นผู้ใหญ่
…ความสบาย ๆ นี่อะไรกัน ถึงจะหมั่นไส้แต่ตนก็ชอบ พอใช้อีกมือดึงหลังเสื้อของชุนไว้แทนคำตอบ อีกฝ่ายก็เปลี่ยนสีหน้าเหมือนคนไม่สบาย เอ่ยว่า “ข้าอึดอัด”
รู้ตัวอีกทีตนก็รวบเสื้อด้านหลังของเขาจนเสื้อด้านหน้ารัดแน่นไปถึงคอ
เป็นครั้งแรกที่ลินจิถูกอีกฝ่ายสัมผัสโดยไม่ต้องร้องขอ คิดได้เช่นนั้นใบหน้าก็ร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ จึงก้มหน้าเล็กน้อย แล้วรอยยิ้มก็ผุดขึ้นมา