ตอนที่แล้วบทที่ 18 เอาสือเสี่ยวไป๋ของฉันคืนมา
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 20 โลกย้อนกลับ

บทที่ 19 ความสามารถพิเศษของหลีจื่อ


บทที่ 19 ความสามารถพิเศษของหลีจื่อ

 

พลังจิตก็คือศักยภาพของชีวิต การฝึกฝนพลังจิตก็คือการขุดเอาศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวออกมาอย่างไม่หยุด ให้เหนือขีดจำกัดการฝึกฝนของร่างกายเสมอ ดังนั้นผู้ที่ถูกเรียกว่ามีพลังจิตทั้งหลาย ความจริงก็เป็นเพียงมนุษย์ที่พัฒนาศักยภาพในตัวได้เท่านั้น และด้วยระดับการพัฒนาที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นจึงต้องแบ่งการฝึกฝนออกเป็นหลายขั้น ซึ่งขั้นปฐมจิตก็คือขั้นฝึกหนักด่านแรก

 

สำหรับวิธีการพัฒนาศักยภาพอย่างไรนั้น อันที่จริงโลกใบนี้ได้ก่อเกิดระบบการฝึกฝนที่เกือบจะสมบูรณ์แบบขึ้นมาแล้ว มีการพัฒนารูปแบบการฝึกฝนสำหรับคนในแต่ละกลุ่ม ทั้งยังทำให้มนุษย์ร้อยละ 99 ต่างสามารถดำเนินการฝึกฝนพลังจิตได้ จนกลายเป็นผู้มีพลังจิต เพียงแต่ผู้มีพลังจิตส่วนใหญ่กลับทำได้เพียงวนเวียนอยู่ในขั้นปฐมจิตเท่านั้น

 

พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ การฝึกฝนพลังจิตนั้นคล้ายกับวิชาศิลปะการต่อสู้ของโลก ไม่ว่าใครก็สามารถจะเรียนรู้ฝึกหัดการต่อสู้ได้ แต่คนส่วนมากก็ทำได้ถึงเพียงขั้นฝึกสมรรถภาพร่างกายให้แข็งแรง แต่มีน้อยคนนักที่จะสามารถฝึกฝนดึงกำลังภายในออกมาจนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ จะพูดได้ว่าผู้มีพลังจิตนั้นมากเท่าขนวัว[1] แต่ผู้มีพลังที่แข็งแกร่งนั้นกลับน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ทว่าความจริงแล้วสือเสี่ยวไป๋ในเวลานี้กลับเทียบขนวัวสักเส้นยังไม่ได้เลย ดังนั้นหลีจื่อจึงเห็นว่าเรื่องสำคัญที่สุดในตอนนี้ของสือเสี่ยวไป๋คือควรรีบเริ่มการฝึกพลังจิต

 

“ปกติแล้ววิธีการฝึกฝนพลังจิตแบ่งออกเป็นสามอย่างคือ ฌานสมาธิ ฝึกฝนและการต่อสู้”

 

หลีจื่อเริ่มอธิบายความรู้พื้นฐานของการฝึกพลังจิตให้สือเสี่ยวไป๋เข้าใจ “สำหรับการพัฒนาศักยภาพมนุษย์นั้น เมื่อเปรียบระหว่างการฝึกฝนร่างกายและสัญชาตญาณในการต่อสู้แล้วเป็นเรื่องที่ค่อนข้างกว้าง อีกทั้งไม่เป็นประโยชน์ต่อการฝึกฝนระยะยาว ด้วยเหตุนี้สำหรับผู้มีพลังจิตแล้ว วิธีปฏิบัติที่สำคัญที่สุดก็คือฌานสมาธิ”

 

สือเสี่ยวไป๋เก็บท่าทีหยอกล้อลงไป ประหนึ่งเด็กน้อยที่ตั้งใจฟังคุณครูอธิบาย เมื่อมีข้อสงสัยจึงเอ่ยถามขึ้น “ฌานสมาธิคืออะไร?”

หลีจื่อตอบ “ฌานสมาธิก็คือการนำจิต สติ และปัญญาทั้งหมดจดจ่ออย่างแน่วแน่อยู่กับจุดแรกแห่งต้นกำเนิดแล้วจึงเริ่มจินตนาการความคิดอย่างไร้ขอบเขตในสภาวะว่างเปล่า ดังนั้นฌานสมาธิที่ต่างกันจะสามารถบรรลุผลแห่งการฝึกจิตที่ต่างกันราวฟ้ากับเหวขึ้นอยู่กับเนื้อหาแห่งจินตนาการในห้วงสมาธิและระดับความจริงแท้แห่งภาพจินตนาการ”

 

สือเสี่ยวไป๋ถามต่ออีก “อาศัยแค่การจินตนาการก็สามารถพัฒนาศักยภาพมนุษย์ได้แล้วเหรอ?”

 

รอยยิ้มที่ผุดขึ้นมาอย่างเผลอตัว ดูท่าแล้วหลีจื่อคงจะพอใจท่าทีของสือเสี่ยวไป๋ในตอนนี้อยู่ไม่น้อย ก่อนจะเอ่ยตอบคำถาม “นี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมการฝึกจิตสามารถโดดเด่นอยู่ในยุคสมัยแห่ง”ระบบการฝึกปฏิบัติของร้อยสำนักประชันภูมิ“ได้ จนกลายเป็นเหตุผลหลักในการปลูกฝังการฝึกฝน เนื่องจากบนโลกแห่งนี้มีพลังงานพิเศษที่เรียกว่า”พลังทางจิต“ดำรงอยู่ เวลาที่มนุษย์อยู่ในโลกแห่งจินตนาการอันว่างเปล่า ร่างกายจะสามารถดูดซับ ‘พลังทางจิต’ ได้เองโดยอัติโนมัติ จนกว่าจะเสร็จสิ้นการฝึกพลังจิตนั่นเอง”

 

หลีจื่อกล่าวต่ออย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย “อัตราการดูดซึม ‘พลังทางจิต’ ของร่างกายในระหว่างการทำฌานสมาธินั้นขึ้นอยู่กับสองปัจจัย ซึ่งปัจจัยแรกคือเนื้อหาแห่งจินตนาการในห้วงสมาธิ ปัจจัยที่สองก็คือระดับความจริงแท้แห่งภาพจินตนาการ ปัจจัยแรกคือเนื้อหาที่ประมวลได้จากการฝึกปฏิบัติจริงทั้งหมด ว่าจินตนาการถึงสิ่งใด ลำดับขั้นตอนแห่งจินตนาการเป็นเช่นไร พื้นฐานเหล่านี้ล้วนเป็นประสบการณ์ที่สั่งสมมาของคนรุ่นก่อน อีกทั้งบางส่วนคือแก่นแท้ที่ออกมาจากสัญชาตญาณของผู้ไร้เทียมทาน”

 

“ส่วนระดับความจริงแท้แห่งภาพจินตนาการเป็นอย่างไรนั้น อันที่จริงสิ่งสำคัญก็คือพลังแห่งจินตนาการของนายเป็นอย่างไรต่างหาก เนื่องจากระดับสติปัญญาคือปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อพลังจินตนาการของมนุษย์ ดังนั้นระดับสติปัญญาคือหนึ่งในเกณฑ์ตัดสินคุณสมบัติการฝึกพลังจิต”

 

“สรุปก็คือ วิธีการฝึกปฏิบัติและระดับสติปัญญาคือกุญแจสำคัญแห่งฌานสมาธินั่นเอง กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือทั้งสองสิ่งนี้เป็นปัจจัยกำหนดความช้าเร็วของการฝึกจิต”

 

เมื่อฟังคำอธิบายร่ายยาวเป็นชุดเช่นนี้ สือเสี่ยวไป๋ก็พอจะเข้าใจความหมายของหลีจื่อ

“ที่แท้สิ่งที่ใช้เปรียบเทียบการฝึกจิตก็คือมันสมองของใครเยอะกว่ากันนี่เอง”

 

สือเสี่ยวไป๋สรุปเอาเองในใจเช่นนี้ แต่กลับพยักหน้าไม่หยุด คล้ายท่าทางของนักเรียนที่ดี

 

ทันใดนั้นเอง สือเสี่ยวไป๋พลันฉุกคิดถึงปัญหาที่กวนใจเขามานานแสนนาน

 

เขาเอ่ยถามขึ้น “ยีนพลังจิตพิเศษมันคืออะไรกันแน่? แล้วผู้มีพลังจิตพิเศษล่ะคืออะไร?”

 

แม้ว่าระดับสติปัญญาในระดับหนึ่งจะสามารถกำหนดระดับความเร็วของการฝึกจิตได้ ถ้าเช่นนั้นยีนพลังจิตพิเศษที่สำคัญยิ่งกว่านั้นมันวิเศษอย่างไรกันนะ?

 

“เอ่อ ให้อธิบายเรื่องผู้มีพลังจิตพิเศษอีกมันค่อนข้างจะเปลืองแรงนะ”

 

หลีจื่อเรียบเรียงถ้อยคำอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อว่า “เมื่อสามพันปีก่อน ในคราวที่กาลอวสานโลกครั้งที่สามของ”จุดจบแห่งอารยธรรม“ในประวัติศาสตร์ได้มาเยือนนั้น มีมนุษยชาติจำนวนเพียงหนึ่งในล้านที่มีชีวิตรอด เนื่องจากหลักการวิวัฒนาการทางชีวภาพของการมีชีวิตอยู่ของผู้ที่คู่ควร ในช่วงภัยพิบัติอวสานโลกนั้น กลุ่มมนุษย์ที่รอดชีวิตจำนวนมากเกิดการกลายพันธุ์ของยีนขึ้นอย่างกะทันหัน ทว่าการกลายพันธุ์ของยีนเหล่านี้กลับไม่ค่อยเสถียร อีกทั้งยังค่อยๆ จางหายไปตามการเวลาอีกด้วย มาถึงตอนนี้จึงเหลือเพียงคนกลุ่มน้อยเท่านั้นที่ได้รับการถ่ายทอดยีนพันธุกรรมกลายพันธุ์เหล่านั้นมา และคนพวกนี้ก็คือผู้มีพลังจิตพิเศษนั่นเอง”

 

“ยีนผ่าเหล่าที่เกิดมาพร้อมกับผู้มีพลังจิตพิเศษนั้นได้มอบพลังพิเศษให้กับพวกเขา ในความเป็นจริงเราสามารถเรียกมนุษย์ที่สืบทอดยีนกลายพันธุ์เหล่านี้เป็นมนุษย์กลายพันธุ์ได้ เพียงแต่มนุษย์กลายพันธุ์เหล่านี้ยังคงต้องเข้าสู่การฝึกพลังจิตเช่นเดียวกับคนธรรมดา นั่นก็เพราะว่าพวกเรารวมมนุษย์กลายพันธุ์กับผู้มีพลังจิตเข้าด้วยกัน และเรียกมันว่าผู้มีพลังจิตพิเศษ”

 

หลังจากฟังคำอธิบายของหลีจื่อเช่นนี้ ในที่สุดสือเสี่ยวไป๋ก็เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว คำนิยามของมนุษย์กลายพันธุ์นั้นพบเห็นได้เกลื่อนบนโลกใบนี้ และผู้มีพลังจิตพิเศษนั้นก็คือมนุษย์กลายพันธุ์ที่เข้ารับการฝึกพลังจิตแล้ว หรืออาจจะเรียกว่าเป็นผู้มีพลังจิตที่มีพลังพิเศษก็ได้

 

“ถ้าเช่นนั้นยีนพลังจิตพิเศษระดับ S ที่ทดสอบออกมาของข้านั่นก็ถือว่าเป็นผู้มีพลังจิตพิเศษด้วยใช่หรือเปล่า? น่าแปลกจัง แล้วพลังพิเศษของข้าคืออะไรล่ะ?” เมื่อสือเสี่ยวไป๋นึกถึงพลังพิเศษที่ตนมีพลันรู้สึกดีใจขึ้นมาทันที หลีจื่อเห็นท่าทางตื่นเต้นดีใจของสือเสี่ยวไป๋ถึงกับกลั้นไม่อยู่จนต้องปิดปากหัวเราะออกมา “น่าเสียดายมาก ผู้มีพลังจิตพิเศษจะต้องฝึกฝนจนถึงขั้นปฐมจิตชั้นสี่เสียก่อน พลังพิเศษถึงจะถูกปลุกขึ้นมาได้ ดังนั้นอ่ะนะ ถึงแม้นายจะมียีนพลังจิตพิเศษระดับ S แต่ทว่าในตอนนี้ก็ยังเป็นเพียงคนธรรมดาอยู่”

 

คำพูดที่เอ่ยออกมานี้ดุจดั่งน้ำเย็นหม้อหนึ่งที่เทราดลงมา เพียงชั่วครู่ก็ดับไฟแห่งความตื่นเต้นดีใจของสือเสี่ยวไป๋จนมอดดับ

 

หลีจื่อเห็นท่าทางเช่นนั้นจึงกลอกตาใส่รอบหนึ่ง ก่อนจะยิ้มพลางกล่าวอย่างมีแผนการในใจ “อันที่จริงอ่ะนะ ชั้นก็คือผู้มีพลังจิตพิเศษ ทั้งยังเป็นยีนพลังจิตพิเศษระดับ B เชียวล่ะ!”

 

ดวงตาของสือเสี่ยวไป๋พลันลุกวาว เอ่ยถาม“สาวน้อย เธอถึงขั้นปฐมจิตชั้นสี่แล้วใช่ไหม?”

 

หลีจื่อกลอกตามองบน กล่าวเสียงเคือง “เหลวไหล ชั้นคือขั้น...เหอะ ไม่พูดจะดีกว่า พลังที่แท้จริงของชั้นเมื่อเทียบกับนายแล้วมันห่างไกลเสียเหลือเกิน ทว่าวันนี้ชั้นอารมณ์ดี จะเมตตาช่วยสงเคราะห์ให้นายได้เห็นพลังพิเศษของชั้นเป็นบุญตาสักหน่อยก็ได้”

 

หลีจื่อพูดพลางเดินไปยังห้องครัว ครู่เดียวก็เดินกลับมายังห้องรับแขกพร้อมกับมีดปอกผลไม้ด้ามหนึ่งและหัวไชเท้าผลหนึ่ง

 

นัยน์ตาของสือเสี่ยวไป๋สว่างไหวขึ้นชั่วขณะ ในใจเกิดความเฝ้ารออันยิ่งใหญ่ต่อพลังพิเศษของหลีจื่อ

 

“ดูให้ดีล่ะ!”

 

หลีจื่อยิ้มอ่อนก่อนโยนหัวไชเท้าขึ้น มีดปอกผลไม้ในมือขวา ตวัดตัดเบาๆ กลางอากาศ เพียงพริบตาหัวไชเท้าผลนั้นพลันถูกสับออกเป็นหมื่นเป็นพันชิ้น ในชั่วพริบตาก็ถูกสับละเอียดจนไม่เหลือชิ้นดี

 

รูม่านตาของสือเสี่ยวไป๋หรี่เล็กลง เขาพลันคิดถึงช่วงพลบค่ำวันนั้นที่ปีศาจซ่าฮาตุนถูกสับจนไม่เหลือชิ้นดีในเวลาเพียงครู่เดียว เธอทำสิ่งนี้ได้อย่างไรกันนะ?

 

หลีจื่อยิ้มอย่างภาคภูมิใจ พลางอธิบายว่า “พลังพิเศษที่ชั้นครอบครองอยู่นี้เรียกว่า [พลังคลื่นสั่นสะเทือนสูง] พลังนี้สามารถทำให้เกิดคลื่นความถี่ในห้วงอากาศของบริเวณที่กำหนดเกิดอัตราสั่นสะเทือนถึงจุดสุดยอดได้ แม้ว่าขั้นพลังของชั้นในตอนนี้ จะทำได้เพียงพื้นที่วงเล็กๆ อีกทั้งส่งพลังคลื่นออกไปยังไม่ได้ไกลเท่าไร แต่ว่าหากใช้พลังอย่างถูกวิธี ก็จะถ่ายทอดพลังที่มีผลลัพธ์จนคนต้องตกใจเลยทีเดียว”

 

“เมื่อครู่ขณะที่ชั้นใช้มีตวัดตัดผลไม้นั้น ได้ส่ง[พลังคลื่นสั่นสะเทือนสูง]ไปยังคมมีด ด้วยเหตุนี้จึงเกิดพลังมีดสับอย่างนับไม่ถ้วนในเวลาเพียงครู่เดียว และนี่ก็เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของความสามารถพิเศษของชั้นเท่านั้น [พลังคลื่นสั่นสะเทือนสูง] คือความสามารถพิเศษระดับ B การใช้งานและช่องว่างในการเติบโตนั้นค่อนข้างดีเยี่ยม ด้วยขอบเขตพลังจิตของชั้นยังคงพัฒนาอยู่อย่างต่อเนื่อง สำหรับ [พลังคลื่นสั่นสะเทือนสูง]นี้ไม่ว่าจะเป็นขอบเขตการใช้พลัง ระยะในการปล่อยพลังหรืออัตราความถี่ของแรงสั่นสะเทือนต่างก็ต้องก้าวหน้ามากขึ้น เมื่อถึงเวลานั้นแล้วล่ะก็ หึหึ!”

 

ฉือเสียวไป๋ฟังไปพร้อมความรู้สึกอิจฉา ในใจของเขากลับยิ่งรู้สึกโหยหาความสามารถพิเศษ

 

หลีจื่อเห็นว่าถั่วสุกได้ที่แล้ว จึงรีบกล่าวเสริม “เสี่ยวไป๋ พลังความสามารถพิเศษระดับ B ยังแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ แล้วพลังความสามารถพิเศษระดับ S ที่นายครอบครองอยู่ล่ะจะยิ่งแข็งแกร่งขนาดไหน! หากว่านายอยากรีบปลุกความสามารถพิเศษให้ตื่นขึ้นมาเร็วๆ แล้วล่ะก็ มีอยู่ทางเดียวเท่านั้น นั่นก็คือทุ่มกำลังที่มีทั้งหมดแล้วพุ่งตัวให้ถึงขั้นปฐมจิตชั้นสี่ให้ได้!”

 

“ดังนั้นนะสือเสี่ยวไป๋! นายต้องรีบเริ่มการฝึกจิตแล้วล่ะ!”

 

หลีจื่อยิ้มอย่างมีเลศนัย ลอบคิดในใจว่าชั้นออกโรงเองขนาดนี้ ไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าโง่ฉือเสียวไป๋จะไม่ถูกจูงจมูกง่ายๆ!

 

 

 

 

[1] มากเท่าขนวัว หมายถึง มากเหลือคณานับ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด