ตอนที่ 35 สามคนย่อมสนุกกว่า
ตอนที่ 35 สามคนย่อมสนุกกว่า
นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย!
เสียงฮือฮาดังขึ้นมาจากผู้คนที่เข้าชมการแข่งขันในสนาม เมื่อภาพจากการถ่ายทอดสดการประลองได้ฉายให้เห็นถึงการต่อสู้กับพันเลณฑุ โดยสองคนคือศิษย์อนาคตไกลจากสกุลใหญ่ ผู้ท้าชิงอันดับหนึ่งอันดับสอง จวินหวังซื่อและหยางลู่ ส่วนอีกคนก็คือดาวรุ่งพุ่งแรง ผู้ไร้สังกัดที่คะแนนเบียดขึ้นมาเป็นอันดับเก้าในเวลาชั่วพริบตา
แม้การถ่ายทอดสดจะไม่มีเสียงประกอบแบบในโทรทัศน์ แต่สายตาของผู้เข้าชมก็เป็นประกายราวกับเห็นการแข่งขันที่น่าสนุกสนาน เป็นแมตซ์อันยิ่งใหญ่ดั่งได้ชมกับมวยปล้ำ WWE แบบสามรุมหนึ่ง...
แต่ทว่า...
ที่นั่งชั้นพิเศษนั้นกลับมีความวุ่นวายเล็ก ๆ ก่อเกิดขึ้นเมื่ออาจารย์ประจำสกุลเหอรวมถึงคนอื่นที่คุ้นเคยกับสกุลได้เห็นหน้าเหอไป๋เทียนชัดๆ ในการถ่ายทอดสด พวกเขาตกใจถึงกับออกเสียงอุทานออกมา โดยเฉพาะกัับท่านอาจารย์ เขาดูตกใจจนแทบวางมาดไม่อยู่ จนเหอไป๋หลานรีบเข้าไปอธิบายให้เป็นการใหญ่
ซึ่งแน่นอนพ่อพี่ชายคนดีโดนดุไปตามระเบียบ
แต่พูดกันตามตรงแล้ว เรื่องการที่อยู่ ๆ นายน้อยสกุลเหอโผล่ในการแข่งขันนั้นโดนปัดตกไปเป็นประเด็นรองเพราะมันมีเรื่องใหญ่กว่านั้นปรากฏอยู่ในตอนนี้ต่างหากล่ะ! เพราะต่อให้คนดูไม่มีใครเอะใจถึงเรื่องนี้ ทว่าเหล่ากรรมการจัดการงานหลาย ๆ คนถึงกับเหงื่อตก นั่งหน้าดำคร่ำเครียดบนอัฒจรรย์คงไม่พ้นเรื่องที่...ในบัญชีชื่อของปิศาจที่เจ้าหน้าที่จัดเลือกให้มาประลองนั้นไม่ได้มีพันเลณฑุอยู่ในนั้น...
เสวี่ยหงเยว่หันซ้าย หันขวา มองเล็กน้อย แล้วขมวดคิ้วมุ่น แม้อาจารย์จากต่างสำนักรวมถึงผู้เข้าร่วมชมงานไม่เอะใจถึงเหตุการณ์นี้กันก็จริงแต่เขาจะนิ่งนอนใจไม่ได้
พันเลณฑุนั้นเป็นปิศาจธาตุดินระดับกลางค่อนไปทางสูง แม้จะหาไม่ได้ยากและมีหนทางจัดการมันได้ แต่ก็ไม่สมควรที่จะอยู่ในสถานที่จัดการแข่งขันโดยเฉพาะรอบคัดเลือกเช่นนี้ เพราะก่อนจะถึงวันงานนั้นพวกเขาก็เคลียร์เอาปิศาจระดับยากเกินกว่าการรับมือได้ออกจากพื้นที่เกือบหมดแล้ว
เดิมทีเสวี่ยหงเยว่เป็นพวกรักสงบ และไม่ค่อยอยากยุ่งกับการรุกรานถิ่นที่อยู่อาศัยของใคร พื้นที่ในการแข่งก็มีแต่ปิศาจและผีร้ายชนิดที่จำเป็นต้องจำกัดการแพร่พันธ์ประชากรมาให้ล่า อุตส่าห์คิดว่าจะแข่งขันอย่างสุจริตใจ ไม่เป็นการรบกวนธรรมชาติแล้วแต่ไหงมีปิศาจดินเข้ามาอยู่ในการแข่งขันได้อีกเล่า...มันแปลก! แปลกเกินไปแล้ว!
คิ้วเรียวขมวดมุ่นพลางครุ่นคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในการแข่งขันนี้มันเกิดขึ้นในเรื่องย่อบ้างหรือไม่...การลงแข่งขันของเหอไป๋เทียนไม่เคยปรากฏในนั้นแต่การต่อสู้ระหว่างเหอไป๋เทียนและพันเลณฑุนั้นมีปรากฏอยู่ มันเป็นฉากที่ตัวพระเอกเจอกับปิศาจธาตุดินในระหว่างที่ปฏิบัติภารกิจบางอย่าง
...ซึ่งนั่นคือฉากแรกที่เหอไป๋เทียนจะได้เจอกับเฉวียนซือเสียน...
แต่ว่า!! สองคนนั้น!! เจอกัน!! แล้ว!!
ไทม์ไลน์นิยายเพี้ยนอีกแล้ว!!
“บางครั้งปิศาจที่เร้นกายก็สามารถปรากฏตัวอย่างไม่คาดฝันขอรับ ยิ่งกับเขาเสวี่ยแห่งนี้ด้วยแล้ว มันเป็นเรื่องที่ไม่ได้แปลกเลย ที่มันจะรอดสายตาพวกเรา” เป็นหลานซิ่นหลิงเองที่เอ่ยพูดพลางเอามือแตะไหล่เสวี่ยหงเยว่ เพราะเขาเข้าใจว่าอีกฝ่ายนั้นทำหน้าเครียดเพราะเรื่องพันเลณฑุจู่โจมเหอไป๋เทียน
"ท่านประมุขจะทำอย่างไรต่อขอรับ"
ได้ยินคำถามนั้นเสวี่ยหงเยว่ก็เม้มปาก สีหน้าเขาดูลังเลเล็กน้อยระหว่างพุ่งตัวออกไปเลยดีไหม ทว่าพอเห็นประชาชนตาดำ ๆ ที่ไม่รู้เรื่องอะไรแล้วจะต้องมาวุ่นวายเพราะความผิดพลาดอีกต่อให้เป็นห่วงเหอไป๋เทียนแค่ไหนก็ตาม เขาควรเลือกอะไรล่ะ
เรื่องส่วนตัว...
หรือว่าส่วนรวม...
“ศิษย์จะรอดูสถานการณ์อีกสักพักหนึ่งก่อนขอรับ ผลีผลามไปประชาชนจะตื่นตะหนก หากย่ำแย่เมื่อใด ศิษย์จะเข้าวิธีจัดการ” เสวี่ยหงเยว่ตัดสินใจได้ก็หันไปบอกกับหลานซิ่นหลิง แม้มือไม้จะไม่อยู่สุขนักเพราะความเป็นกังวลห่วงคนที่อยู่หน้างานแต่เขาก็ต้องข่มใจให้เย็นลง ที่ตรงนี้ยังมีคนนอกที่ไม่รู้เรื่องราวอีกมาก ความผิดพลาดนี้อาจจะทำให้คนแตกตื่นได้ เขาเลือกส่วนรวมมากกว่าเหตุผลของตัวเอง
อีกทั้งเขายังเชื่อว่าเหอไป๋เทียนจะจัดการมันได้ เขาเชื่อใจเด็กคนนั้น
หลานซิ่นหลิงพยักหน้า ระหว่างนั้นก็หันไปทางซุนจ้าวหาน พวกเขาทั้งสองคนส่งสายตากันสักพักก่อนที่ซุนจ้าวหานจะเรียกลูกบอลน้ำขนาดเล็กมาอีกอันแล้วยื่นส่งให้ ที่นั่งตรงนี้เป็นที่นั่งระดับพิเศษสำหรับสามสกุล มันจึงเป็นส่วนตัวมากพอที่จะทำให้ไม่เป็นจุดเด่นหากจะรวมหัวคุยอะไรสักอย่าง
ในตอนนี้บอลน้ำขนาดเล็กนั้นกำลังลอยวนอยู่ตรงกลาง โดยล้อมรอบด้วยชายห้าคนเรียงจากซ้าย เสวี่ยหงเยว่ เหอไป๋หลาน ซุนจ้าวหาน หลานซิ่นหลิง และเฟิงหลี่ผิง ผู้เป็นอาจารย์แห่งสกุลเหอ พวกเขาทั้งหมดกำลังจับจ้องภาพที่ฉายอยู่บนนั้น เพื่อเสาะหาว่านอกจากจุดที่มีพันเลณฑุแล้วมีตรงไหนที่มีสิ่งผิดปรกติอีกบ้าง
เมื่อสอดส่องไปจนทั่วแล้วก็เหมือนว่าจะไม่พบอะไรที่น่าจะผิดปกติ การแข่งขันบริเวณอื่นนั้นเรียกได้ว่าดำเนินไปอย่างไม่หวือหวา นั่นก็ทำให้พวกเขาวางใจไปได้เปราะหนึ่ง
แต่ในจังหวะนั้นเอง!!
มีเสียงหวีดร้องกรี๊ดดังขึ้นมาจากที่นั่งผู้ชม! พร้อมกับเสียงฮือฮาสนั่นลั่น เสียงวิพากวิจารณ์ออกรสชาติกันให้ขรม ราวกับตกใจอะไรบางอย่าง และนั่นทำให้เหล่าคนทั้งห้ารีบละสายตาหันกลับไปลานทันที
เมื่อเสวี่ยหงเยว่เห็นเหตุการณ์ที่ถ่ายทอดอยู่บนบอลน้ำขนาดใหญ่กลางนั้น ก็ทำให้ริมฝีปากก็เม้มเข้าจนฟันสบผิว ฝ่ามือกำแน่นจนสั่นระริกโดยที่ไม่รู้ตัว
เพราะสิ่งที่เขาเห็นนั้นก็คือภาพของเหอไป๋เทียนในสภาพที่หัวแตก เสื้อผ้าเลอะเต็มไปด้วยเลือด!
ร่างของเด็กชายนั้นโซซัดโซเซประครองตัวเองให้ลุกขึ้น แม้ว่าจะใช้พลังของหานหลิ่งในการทำลายก้อนหินยักษ์ก่อนที่จะร่วงลงมาทับได้ทันก็จริง แต่เหอไป๋เทียนก็ไม่อาจจะขยับตัวหลบได้ ผลจึงทำให้ศรีษะของเขาถูกหินกระแทกจนได้รับบาดเจ็บ เลือดไหลรินออกมาจนชะโลมชุดสีขาวให้เลอะไปด้วยสีแดง
เหอไป๋เทียนประครองร่างของจวินหวังซื่อให้ลุกขึ้น พูดคุยอะไรต่อเพียงสองถึงสามคำ แล้วผละตัวออก ในทีแรกนั้นเด็กชายตั้งใจจะใช้พลังรักษาในการปิดบาดแผลตัวเอง แต่หากใช้พลังตอนนี้จวินหวังซื่ออาจจะจับได้ว่าเขาเป็นคนสกุลเหอจึงต้องกลั้นใจข่มความเจ็บแล้วหันไปสู้ต่อ
เหอไป๋เทียนยกมือขึ้นเสยผมที่ชื้นไปด้วยเลือดผสมเหงื่อ นำหานหลิ่งอังไปที่ข้างขมับให้พลังของมันการสร้างน้ำแข็งล้อมปิดปากบาดแผลเอาไว้ชั่วคราว แผลที่ปวดตุบ ๆ เจอความเย็นเข้าไปก็ยิ่งเจ็บจนน้ำตาแทบไหล อีกทั้งการทำแบบนี้มันก็ไม่น่าจะใช่ทางเลือกที่ดีในการทำแผลหรือห้ามเลือด
แต่มันก็ยังดีกว่าปล่อยให้เลือดไหลเป็นทาง -- เหอไป๋เทียนคิดเช่นนั้น
"นายน้-- ศิษย์น้องไม่เป็นอะไรใช่ไหม?" หยางลู่ที่กางม่านป้องกันหินไว้ได้รีบวิ่งมาหาท่าทางตกใจทันทีที่เห็นว่านายน้อยได้เลือด ซึ่งเหอไป๋เทียนกลับส่ายหน้า บอกว่าตนไม่เป็นอะไรแค่หัวกระแทกหินเท่านั้น
"ศิษย์พี่หยางอย่าได้กังวลเลยขอรับ" เหอไป๋เทียนว่า ก่อนที่เขาจะหันไปมองยังพันเลณฑุเขาครุ่นคิดบางอย่างในหัว เด็กชายขมวดคิ้วแน่นขึ้นเรื่อย ๆ และเรื่อย ๆ
ม่านป้องกันนั้นเริ่มจะพังลงแล้ว พวกเขาเองก็ได้รับบาดเจ็บ เลือดตกยางออกจากการถูกหินกระทบกระแทก กันถ้วนหน้า ดูเหมือนว่าระดับของปิศาจตนนี้นั้นสูงกว่าที่ศิษย์รุ่นเยาว์เช่นพวกเขาจะรับมือได้เพียงคน ๆ เดียว หากไม่วาดแผนให้รัดกุม ดีไม่ดีอาจเอาตัวรอดไม่ได้ด้วยซ้ำ
"ท่านจวินขอรับ ท่านยังมียันต์เหลือหรือไม่" เขาเอ่ยถาม ซึ่งจวินหวังซื่อก็พยักหน้า
"ท่านใช้วิชาข่ายผนึกได้ใช่ไหมขอรับ"
เขาเอ่ยถามพลางนึกถึงสิ่งที่เขาเคยเห็นจากหงเกอในถ้ำนั้น จวินหวังซือพยักหน้าอีกครั้งเขาตอบว่าตนนั้นใช้ได้ก็จริงแต่ยังใช้วิชาได้ไม่คล่อง เขาไม่อาจตรึงยันต์ได้นานนัก
เหอไป๋เทียนยิ้มให้อีกฝ่ายเล็กน้อย หลังจากนั้นก็อธิบายแผนคร่าว ๆ ให้ฟัง ในระยะเวลาอันรวดเร็ว เด็กชายตอบออกไปอย่างซื่อ ๆ ว่าขอแค่ทำให้มันหยุดการเคลื่อนไหวได้สักระยะก็พอแล้ว เขาจะได้จัดการใช้น้ำแข็งแช่มันทั้งตัว
"ข้าเข้าใจแล้ว..." ปากของจวินหวังซื่อบอกแบบนั้นก็จริง แต่แววตาของเขากลับแข็งขึ้น
"ทว่าการที่เจ้ากล่าวเช่นนั้นเท่ากับว่าจะให้เราสามคนร่วมมือกัน แต่เจ้าจะเป็นผู้ลงดาบโฉบเอาคะแนนไปแต่เพียงผู้เดียวงั้นหรือ?"
"จวินหวังซื่อ อย่าพูดจาไม่สุภาพกับท่านผู้นั้นนะ--!!" แล้วเสียงของเขาก็ลดลงเมื่อโดนสายตาของเหอไป๋เทียนมอง หยางลู่หดเป็นหมาน้อยลงไปทันตา
"ไม่่ใช่เวลาทะเลาะกันนะขอรับ" เหอไป๋เทียนมองม่านป้องกันที่เริ่มพังแล้วก็ตั้งท่ารับมือทันที รอยร้าวที่เกิดจากก้อนหินและการทุบทำลายของพันเลณฑุนั้นยิ่งเร่งระยะเวลาในการปรึกษา พวกเขาแทบไม่เหลือเวลาแม้แต่จะคิดเยอะหรือโต้เถียงกันแล้ว และนั่นทำให้เหอไป๋เทียนเร่งมือให้เร็วที่สุด
"พวกเราสามคนต้องเลือกระหว่างร่วมมือกันกับเจ็บหนัก ถึงในตอนนี้จะเป็นการแข่งขัน แต่ข้าคิดว่าการเอาชีวิตรอดตอนนี้สำคัญกว่า...ท่านเป็นคนเก่งนะขอรับท่านจวินอีกทั้งข้าเชื่อว่าประมุขเสวี่ยคงไม่อยากเสียกำลังสำคัญในสำนักไปหรอกขอรับ" เหอไป๋เทียนเอ่ยออกมา แม้ว่าวาจาจะไม่ไหลลื่นคล่องแคล่วแต่เด็กชายเลียนแบบวิธีและน้ำเสียงการพูดโน้มน้าวจิตใจที่ครูพักลักจำมาจากหงเกอ
เซลส์แมนสไตล์นั่นเอง...
และนั่นก็ทำให้จวินหวังซื่อขมวดคิ้วทันที
เขาเสียดายคะแนนก็จริง ปิศาจเช่นนั้นน่าจะได้คะแนนที่เยอะนัก แต่หากเจ็บหนักตอนนี้นอกจากจะเสียหน้าแล้วดีไม่ดียังอาจโดนตัดจากการแข่งขันรอบถัดไป เสียหน้าถึงสำนักเสวี่ย ได้คะแนนมากเท่าใดก็ไม่มีความหมายและเขา...ก็ไม่อาจจะทำให้อาจารย์หรือท่านประมุขภูมิใจได้
"ตกลง..." เขาตอบอย่างเลี่ยงไม่ได้
"ข้าเองก็พร้อมแล้วขอรับ" หยางลู่นั้นเชื่อฟังคำสั่งโดยดีและเต็มใจที่จะยกคะแนนส่วนนี้ให้เหอไป๋เทียนอยู่แล้ว
ดวงตาสีทองมองส่งสัญญานให้กับคนทั้งสอง เมื่อม่านป้องกันพังลงไปแล้ว จวินหวังซื่อก็รีบกางข่ายยันต์ทันที มันล้อมรอบร่างของปิศาจหินเอาไว้ แม้จะไม่ใช่ข่ายที่ตรึงแน่นเท่ากับที่เสวี่ยหงเยว่ทำแต่ก็ออกมาได้ดีจนเหอไป๋เทียน (ผู้ซึ่งเคยเห็นการวางข่ายอันสมบูรณ์์แบบกับตามาแล้ว) ประทับใจมากทีเดียว
เด็กชายให้หานหลิ่งพาร่างตนเหินขึ้นไปจังหวะที่พันเลณฑุนั้นถูกตรึง โดยมีหยางลู่เป็นกองหนุนในการจัดการกับเศษหินที่ร่วงลงมาไม่ให้ตกใส่ตัว ชายหนุ่มใช้วิชาลมเทินหินให้ลอยได้นานขึ้นมากพอที่เหอไป๋เทียนละตัวออกมาจากกระบี่ ใช้หินขนาดใหญ่เป็นแท่นโดดเพื่อให้เข้าใกล้กับเป้าหมาย
และเมื่อใกล้มากพอหานหลิ่งก็ลอยกลับเข้ามาในมือของเหอไป๋เทียน เด็กชายร่ายพลังน้ำแข็งแล้วพุ่งปักเข้าไปยังซอกหินกลางหัวมันอย่างเต็มแรง แช่แข็งมันไล่จากส่วนนั้น กดมือลงไป ลึกขึ้นเรื่อย ๆ และเรื่อย ๆ เขาต้องการที่จะทำให้มันเป็นน้ำแข็งไปทั้งตัวให้เร็วที่สุดก่อนข่ายยันต์จะพัง
ทว่าด้วยขนาดตัวที่ใหญ่มากนัก เหอไป๋เทียนต้องใช้พลังมากกว่าที่เคยใช้ปกติ มือของเขาเริ่มเจ็บ พอใช้พลังเกิดก่าที่กำหนดเขาเริ่มควบคุมหานหลิ่งไม่ได้ นิ้วชาจนมีน้ำแข็งเกาะ ทว่าเด็กชายก็ข่มใจตัวเองรับความรู้สึกทรมานนี้ เขาจะต้องจัดการมันให้ได้แม้ว่าน้ำแข็งนั้นจะยิ่งทำร้ายเขามากขึ้นก็ตาม
เขาจะยอมแพ้ไม่ได้ หากแพ้ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นไร ต่อกรกับปิศาจระดับนี้จะรอดกลับไปหรือเปล่ายังไม่รู้เลย และเมื่อเป็นเช่นนั้นเขามีแต่จะต้องใช้พลังนี้จัดการพันเลณฑุให้ได้
เหอไป๋เทียนนั้นปรารถนาที่จะปกป้องคนทั้งสองที่อยู่ตรงนี้ให้ปลอดภัย...
และยิ่งกว่านั้น คือเขาปรารถที่จะปกป้องชีวิตของตัวเอง...เพื่อให้ได้กลับไปหาคนสำคัญ
ใช่แล้ว! เขาอยากจะเข้มแข็งเพื่อปกป้องตัวเอง! ไม่ว่าจะยังไงเขาก็ต้องมีชีวิตกลับไปให้ได้!
เมื่อความรู้สึกนั้นก่อเกิดก็ราวกับมีแสงสว่างบางอย่างแจ่มแจ้งในความคิดของเหอไป๋เทียน เขาตั้งสมาธิ หลอมรวมพลังของตัวเองเข้ากับพลังน้ำแข็ง เชื่องช้า ทว่าคลื่นอันอบอุ่นที่อยู่ในร่างกายเขานั้นเริ่มหลอมรวมกับกระบี่ พอเริ่มเข้าใจความปรารถนาของตัวเอง มือไม่เจ็บอีกต่อไปแล้ว...น้ำแข็งที่เกาะกุมได้ละลายไปหมดแล้ว...
พร้อม ๆ กับที่พันเลณฑุถูกแช่แข็งไปทั้งร่าง! และแตกสลายไปในพริบตา!
"ในที่สุด...เจ้าก็ทำได้สักที"
จังหวะที่กำลังร่วงหล่นลงไปนั้นเอง ในหัวของเขาก็แว่วยินถึงเสียงอันแผ่นเบาของหานหลิ่ง...และนั้นทำให้เหอไป๋เทียนหลับตาลง เขาเข้าใจแล้ว...ว่าความปรารถนาที่แรงกล้า คือแรงขับเคลื่อนของหานหลิ่ง
ในที่สุด...ก็ยอมรับข้าแล้วหรือขอรับ?
หากได้กลับไปเจอหงเกอ...เขาจะภูมิใจในตัวข้าไหมนะ...?
กริ๊ก…กริ๊ก…กริ๊ก กริ๊ก กริ๊ก….
นั่นคือเสียงของลูกแก้วนับที่ไหลบ่าทะลักเข้าไปยังนาฬิกาทรายใต้ชื่อของเหอไป๋เทียนทันทีหลังจากที่เขาได้จัดการกับพันเลณฑุไปเป็นที่เรียบร้อย ส่งผลให้คะแนนของเขานั้นพุ่งพรวดจากอันดับที่เก้าขึ้นมาเป็นอันดับที่สามอย่างรวดเร็ว
ทว่าเรื่องคะแนนนั้นก็ยังไม่อาจเทียบเท่ากับภาพที่คนดูเห็นจากการถ่ายทอดสด การที่เด็กเยาว์วัยคนหนึ่งที่ทุ่มเทพลังทั้งหมดในการต่อสู้กับปิศาจร้ายตัวใหญ่ยักษ์อย่างไม่ย่อท้อแม้กายจะบาดเจ็หนักแค่ไหนก็ตาม มันสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมมากมายเหลือจะกล่าว
ซ้ำยังมีใครสักคนหนึ่งจำได้ เขาพูดออกมาเสียให้เสียงดังว่าเด็กคนนี้ไงที่เข้ามาต่อสู้กับสาหร่ายหัวผีเมื่อสามเดือนก่อน!
ผลตามมาจึงไม่ต้องสงสัย เสียงฮือฮาเยี่ยงตลาดแตกเช่นนี้แทบจะกลบเสียงเชียร์การแข่งขันไปเสียฉิบ ซึ่งหากมองในมุมมองคนอ่านแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกตรงไหน พระเอกโชว์เทพ สร้างความเชื่อถือ สร้างความประทับใจให้เหล่าประชาชนตัวประกอบกลางงานประลอง เป็นสูตรสำเร็จของนิยายทั่ว ๆ ไป
แต่หากว่าเป็นความรู้สึกของ ‘คนใกล้ชิด’ ของพระเอกแล้วนั้น บอกเลยว่าไม่ดีเอาเสียเลย...
เสวี่ยหงเยว่เหงื่อแตกเต็มฝ่ามือ ท่าทางเลิกลักสีหน้านั้นเป็นกังวล แม้ว่าคะแนนของเหอไป๋เทียนนั้นจะพุ่งพรวดจนมาอยู่สามอันดับแรกแล้ว แต่เขากลับรู้สึกจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
บาดเจ็บขนาดนั้น ใช้พลังจนเกินตัวแบบนั้นจะเป็นยังไงบ้าง ร่างกายจะปลอดภัยไหม จะทนรับผลกระทบจากการใช้หานหลิ่งได้หรือเปล่า นั่นคือสิ่งที่ออกมาจากห้วงความกังวลของเสวี่ยหงเยว่ เขาไม่มีสมาธิจะดูอะไรต่อ ตกใจมากเสียจนเผลอกระโจนตัวลุกออกไปแล้วด้วยซ้ำ
สีหน้าเขาเครียดมากเสียจนต้องพักหลับตาสักครู่หนึ่งเพื่อให้ใจเย็นลง
พวกพระเอกนิยายนี่ต้องมีเซลส์สั่งการให้ทำอะไรบ้าบิ่นทุกเรื่องเลยหรือไงนะ ไม่สนหัวอกหัวใจคนดูบ้าง ต่อให้มีพรเทพคุ้มครองให้หนังเหนียว แต่…ให้ตายสิ! คนแก่จะช็อคตาย!
กลับมานะพ่อจะบ่นให้หูชา ต่อให้ทำหน้าหงอยเป็นหมาหงูวก็จะไม่ใจอ่อนเด็ดขาด!
...
แล้วหลังจากนั้นค่อยชมละกันว่าวันนี้ทำได้ดี...
เมื่อปรับอารมณ์ได้แล้วเสวี่ยหงเยว่ก็ค่อย ๆ ลืมตามองดูการแข่งขันในลานประลอง พอรู้ว่าเหอไป๋เทียนไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงแล้วก็ถอนหายใจโล่งอก คนอื่นที่เฝ้าดูเหตุการณ์เองก็หายใจได้อย่างทั่วท้องมากขึ้น โดยเฉพาะกับเหอไป๋หลานรายนั้นนั่งอยู่ไม่ติดที่ตั้งแต่เห็นน้องตัวเองหัวแตกแล้ว
เสวี่ยหงเยว่กำมือเข้าแบมือออก จนถึงตอนนี้เขากำมือแน่นมากเสียจนมือตัวเองสั่นระริก ภาวนาด้วยใจว่าขอให้เหอไป๋เทียนไม่เป็นอะไรจนกว่าจะจบงาน
หลังจากนั้นเขาก็หันไปหาคล้ายจะขอบอลน้ำขนาดเล็กมาจากซุนจ้าวหาน เขาอยากสอดส่องสนามแข่งเพิ่มอีกสักหน่อย หลังจากเซย์ฮัลโหลทักทายพันเลณฑุมาแล้วรอบหนึ่ง เซนส์ของเขามันบอกว่าสถานการณ์ไม่น่าวางใจเอาเสียเลย นิยายประเภทนี้มักมีภัยพิภัยหรืออีเวนท์สำคัญซัมติงเกิดขึ้นช่วงงานประลองเสมอ และเขาเองก็ไม่อย่างเสี่ยง อีกไม่นานก็จะหมดระยะเวลาการประลองแล้วด้วย
ดวงตาสีแดงจ้องมองภาพไปเรื่อย ๆ ส่องสายตามองเช็คความปลอดภัยโดยรอบสนามแข่งอย่างละเอียดอีกครั้งเมื่อคิดว่าคงไม่มีอะไรน่าห่วงแล้วและน่าจะปิดพิธีการได้อย่างสบายใจอยู่นั้นเอง ภาพในลูกบอลน้ำก็ตัดไปยังภาพหนึ่งซึ่งเป็นชายป่า
ในทีแรกนั้นก็ไม่มีอะไรมาก เพียงแค่ป่าเงียบสงบมีบึงใหญ่ธรรมดา ๆ แต่ทว่า สายตาเจ้ากรรมของเสวี่ยหงเยว่นั้นดันเห็นอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ในมุมหนึ่งของภาพ ด้วยจิตใจอันสงสัย บวกกับเขาไม่ควรปล่อยผ่านกับเรื่องเล็กน้อยให้กลายเป็นภัยพิบัติในภายหลัง เขาจึงเรียกซุนจ้าวหานให้มาหาใกล้ๆ แล้วขยับตัวพูดคุยกันอยู่สองคนโดยพยายามไม่ให้เหอไป๋หลานได้ยิน
“ขยายภาพตรงมุมนั้นทีจ้าวหาน” เขาว่า ซึ่งซุนจ้าวหานก็พยักหน้า เขาเอามือแตะเบา ๆ ที่ลูกบอลน้ำนั้น แล้วภาพตรงมุมเล็ก ๆ ก็ขยายขึ้นจนเห็นได้ชัด
ว่านั่นคือภาพของเฉวียนซือเสียนที่กำลังสลบถูกมัดมือมัดเท้าปิดปากเอาไว้ โดยมีใครบางคนลักพาตัวอยู่!
มาแล๊วววว มาแล้วววว นั่นไงล่ะ นั่นไงล่ะ ตูว่าแล้วว่ามันต้องมีอีเวนท์ วอทเดอะเฮลซัมติง เกิดขึ้นแน่ ๆ แล้วแม่งก็มาจริง ๆ จบจากพระเอกปราบปิศาจก็เป็นนางเอกโดนลักพาตัวเลยเหรออ โอ้ พระสงฆ์!