ตอนที่แล้วตอน 34 พิธีแต่งงาน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 36 ความสามารถของโซอี

ตอนที่ 35 จนกว่าจะหมดหวัง


ตอนที่ 35 จนกว่าจะหมดหวัง

 

“ลุงฮะ ผมตัดสินใจแล้วว่าผมจะไปอยู่กับคุณโซเฟีย”

ธาวินเอ่ยขึ้นกับฟอแกนด์ในตอนเช้า เมื่อทั้งสองกำลังหาอะไรรองท้องอยู่บนโต๊ะอาหารก่อนจะเข้าไปที่กองปราบ ที่พักเจ้าหน้าที่ของระดับหัวหน้าหน่วยนั้นต่างจากระดับเจ้าหน้าที่ทั่วไป ซึ่งจะเป็นห้องขนาดใหญ่ที่อยู่ชั้นบนสุดของคอนโด

หัวหน้าหน่วยเคซีโร่วัยสามสิบเก้าเงยหน้ามองเด็กหนุ่มจากไทย เงียบเหมือนอึ้งไปชั่วขณะก่อนจะลุกไปหยิบบางอย่างกลับมาวางบนโต๊ะ

“นี่อยากตั้งใจเรียนให้เต็มที่ หรือปิ๊งคุณน้าคนสวยเข้าแล้ว”

“โธ่ลุงงง เห็นผมเป็นคนยังไงเนี่ย”

ฟอแกนด์เพียงหัวเราะ ก่อนจะหยิบของบางอย่างออกมาจากถุงกระดาษที่ดูเหมือนจะเป็นของจากร้านแบรนด์เนม มันคือกระเป๋าเงินของผู้ชายใบหนึ่งที่ดูดีมีราคาทีเดียว

“ผู้ชายเราต้องมีกระเป๋าเงินดีๆ สักใบ ไว้ควักจ่ายดินเนอร์เลี้ยงสาวๆ นะ”

“...ให้ผมเหรอ”

“อื้อ ตั้งใจจะให้แต่แรกแล้ว โทษทีนะ ฉันไม่ค่อยได้ดูแลนายเท่าที่ควรจะเป็น จากนี้ไปคิดจะลงหลักปักฐานที่นี่ไม่คิดจะกลับบ้านแล้วใช่มั้ย”

ธาวินมองผู้ที่เป็นคนพาตัวเขามา เด็กหนุ่มพยักหน้าราวกับเป็นเรื่องที่ตัดสินใจมาเนิ่นนานแล้ว

“เคยโทรคุยกับคุณแม่เรื่องบ้างนี้บ้างรึเปล่า”

“เคยครั้งนึงครับ ยิ่งรู้ว่าผมอยู่สุขสบายดีไม่ได้มาลำบาก เขาก็บอกว่าอยู่ที่นี่ดีแล้วอย่ากลับไปที่นั่นอีกเลย”

ฟอแกนด์นึกย้อนภาพในความทรงจำของการเจอกันครั้งแรก บ้านธาวินเป็นครอบครัวมีฐานะไม่เบาเลย แม้ตอนแรกไม่อยากจะเชื่อกับภาพที่เห็นกับตา เมื่อเห็นพ่อแท้ๆ ของเขาที่เหมือนซ้อมลูกชายกับภรรยาเหมือนเป็นกระสอบทราย เขาต้องหยุดทุกอย่างไว้โดยจัดการผู้ที่กำลังลงไม้ลงมือให้สงบลงก่อน ถึงได้เริ่มคุยกันได้อย่างรู้เรื่องบ้าง

และก็เป็นแม่ของเขาเองที่บอกให้เขาพาธาวินไป ทางครอบครัวจะบอกกับคนอื่นว่าส่งธาวินไปเรียนโรงเรียนประจำที่ต่างประเทศ เขาเสนอที่จะพาคุณแม่กลับมาด้วย แต่กลับถูกปฏิเสธแล้วบอกว่าเธอต้องอยู่ที่นี่ต่อไป

ฟอแกนด์ไม่เข้าใจนักหรอกว่าทำไมคนเราต้องเลือกที่จะทนทุกข์ ไม่เลือกที่จะก้าวออกมาความทรมานนั้น แต่ในเมื่อนั่นเป็นการตัดสินใจของอีกฝ่ายเขาก็ทำอะไรไม่ได้ และอาการของธาวินก็ดูแย่มากแล้ว เขาจึงต้องรีบพาธาวินให้ถึงมือแพทย์วิญญาณให้เร็วที่สุด หลังจากนั้นเขาก็กลับไปเจอแม่ของธาวินอีกครั้ง เพื่ออธิบายเรื่องราวทุกอย่างให้ชัดเจนขึ้น

สายเลือดของตระกูลชามันด์หรือชามิลเลียร์ของธาวินนั้นคงตกทอดมาทางแม่ แม้ตัวเธอจะไม่มีพลังอะไรนอกจากมีเซนส์การมองเห็นวิญญาณได้แบบอ่อนๆ แต่ก็คงพอรู้เรื่องอะไรบ้างจากคำบอกเล่าที่สืบทอดกันมาของครอบครัว

“อันที่จริงแม่ของนายส่งเงินมาให้ก้อนใหญ่เลยล่ะ แต่ก่อนจะให้นายต่อ ฉันแค่อยากรอดูว่าลูกคุณหนูตกยากอย่างนายจะทำยังไงตอนไม่มีอะไรเลย”

“อยู่กับลุงจริงๆ สินะ แม่ผมบอกอยู่ว่าฝากเงินไว้ให้ได้รับรึยัง ผมคิดว่ามันก็น่าจะอยู่แถวๆ นี้เป็นค่าข้าวผมนี่แหละ ก็เลยตอบว่าได้แล้วไม่งั้นแม่คงมาอาละวาด ที่ผ่านมาผมก็ไม่ค่อยได้ใช้เงินด้วย เพราะกินแต่ข้าวฟรีที่แผนกแพทย์วิญญาณ แต่พอรู้จักคุณโซอีแล้วผมก็อายนะ คิดว่าตัวเองควรจะหาเงินเองบ้างจริงๆ”

“เอาน่ะ มันเป็นเงินของนายนายต้องรับไปอยู่แล้ว อีกอย่างตอนโซอีเริ่มต้น ถึงจะตัวคนเดียวแต่เธอก็ไม่ได้ถึงกับตัวเปล่าไม่มีอะไรเลยแบบนี้ เพราะครอบครัวก็ทำกิจการเบเกอรี่มาก่อนอยู่แล้ว เดี๋ยวฉันจะคุยกับโซเฟียอีกที เรื่องที่ว่าควรส่งนายไปโรงเรียนปกติให้เป็นที่เป็นทาง ระหว่างนั้นก็ฝึกฝนพลังของนักสะกดวิญญาณไป เลือกหาสิ่งที่ตัวเองชอบแล้วทำไปซะ ถึงจะเกิดเป็นคนที่พลังวิญญาณแต่ก็ไม่ได้จำเป็นว่าจะต้องทำงานเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้หรอก ถ้ามีอะไรที่ชอบกว่าก็ไปทำเถอะ แล้วก็...โทรหาฉันได้ถ้ามีเรื่องอะไร”

เด็กหนุ่มยิ้มรับด้วยความรู้สึกขอบคุณ ถึงจะเป็นพวกท่ามากไปหน่อย แต่ธาวินก็รู้สึกเสมอว่าฟอแกนด์ดีกับเขาเท่าที่คนงานยุ่งระดับนี้จะดูแลเขาได้แล้ว

“ขอบคุณนะครับ ผมดีใจนะที่ได้รู้จักลุงเป็นคนแรกในโลกวิญญาณ”

 

สถาบันกองปราบปรามแห่งชาติ คือสถาบันระดับมหาวิทยาลัยแห่งเดียวในคาเรมที่มีชุดเครื่องแบบของนักศึกษา วันนี้เป็นวันแรกที่เฟย์นะจะได้กลับไปเรียน เมื่อตื่นมาและจะไปเข้าห้องน้ำเธอก็พบเคนเซย์ในชุดเครื่องแบบของสถาบันนั่งหลับตาอยู่บนโซฟา หญิงสาวตัดสินใจเดินผ่านแบบพยายามไม่ส่งเสียงให้อีกฝ่ายรู้ตัว ก่อนจะเข้าไปชำระล้างตัวเองที่เมื่อคืนหลังจากเอาร่างกายออกมาจากชุดที่สวมทับไม่รู้กี่ชั้นต่อกี่ชั้นนั่นได้แล้ว เธอก็แทบจะหลับไปทั้งอย่างนั้นเลย

เสื้อผ้าเครื่องแต่งตัวทั้งหมดที่ต้องใช้ถูกเตรียมไว้ให้ในห้องแต่งตัว มีกระดาษเขียนแปะระบุบอกไว้คร่าวๆ ว่าตู้ไหนคือเสื้อผ้าประเภทอะไร เธอคงจะรู้สึกตื่นตาตื่นใจอยู่หรอกถ้าไม่ใช่ในสถานการณ์แบบนี้

เมื่อเตรียมตัวเสร็จสรรพแล้วเดินออกมาเคนเซย์ก็ยังนั่งหลับอยู่ตรงนั้น เฟย์นะเลือกที่จะไปเก็บกระเป๋าของตัวเองแล้วเตรียมจะเดินออกไป

“ถ้าวันไหนรู้สึกเหนื่อย เพลีย หรือต้องรีบไปไหนมากๆ ก็ไม่ต้องฝืนไปกินข้าวเช้าก็ได้ บ้านเราไม่ได้เคร่งขนาดนั้น”

เสียงของเคนเซย์ดังขึ้นก่อนที่เฟย์นะจะเปิดประตูออกจากโซนห้องนั่งเล่นเพื่อออกไป

“เพราะเธออาจถูกหมายหัวจากพวกผู้การร้าย ทางตระกูลที่พอดีมีฉันเป็นเพื่อนร่วมสายชั้นก็เลยรับเรื่องมาดูแลต่อ แล้วย้ายมาอยู่ที่นี่ นี่เป็นสถานการณ์ของเราตอนนี้ อย่าลืมล่ะ”

“อื้อ ฉันจำได้”

เคนเซย์บิดขี้เกียจเล็กน้อยแล้วลุกขึ้นมา ก่อนจะยื่นบัตรบางอย่างให้กับเฟย์นะสองใบ

“นี่เป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน ฉันทำบัตรมาให้ใหม่เป็นบัตรเอทีเอ็มกับบัตรเครดิต เราคุยกันแล้วว่าต่อจากนี้ไปฉันจะเป็นคนดูแลเรื่องนี้ต่อจากคุณพ่อของเธอเอง ฉันใส่รหัสไว้เป็นเลขสองทั้งหมด เอาไว้ไปเปลี่ยนรหัสผ่านเอาก็แล้วกัน”

เฟย์นะเพียงมองแต่ไม่ได้รับมันมา

“ทำไมนายต้องดูแลเรื่องนี้ล่ะ ฉันได้จากคุณพ่ออย่างเดิมก็ดีอยู่แล้ว”

“มันเป็นธรรมเนียมของบ้านเรา เข้ามาอยู่ในสถานะแบบนี้แล้วฉันก็ต้องดูแลเรื่องพวกนี้ด้วย”

“แต่นี่ก็เงินของพ่อแม่นายเหมือนกัน”

เคนเซย์นิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะลอบถอนใจอย่างอดทน ที่เธอยังคิดแบบนี้ก็เพราะว่าเธอไม่ได้รู้จักเขาจริงๆ สักนิดเลย

“ฉันทำงานในกองปราบตั้งแต่เด็ก ในบัญชีทั้งหมดนั่นก็เป็นเงินของฉันที่หามาได้เอง ถึงจะไม่ได้ทำเต็มเวลาแต่แค่นั้นก็น่ามากพอสำหรับการใช้ชีวิตแบบปกติแต่ละเดือนแล้ว ถ้ารู้สึกเกรงใจก็กดเงินหรือรูดจ่ายในวงเงินเท่าที่เธอเคยใช้มาก็ได้”

จนท้ายเฟย์นะก็ถอนใจเฮือกใหญ่แล้วรับบัตรสองใบนั้นมา อย่างน้อยเธอก็เถียงไม่ออกว่าเขาไม่ใช่พวกผลาญสมบัติผู้ปกครอง

“ไปกินข้าวเถอะ เดี๋ยวจะสายเอา”

เคนเซย์กล่าวทิ้งท้ายไว้แล้วเดินออกจากห้องไป

 

สถาบันกองปราบปราม แม้ทุกสิ่งจะยังคงเป็นเหมือนดิม แต่ภาพและความรู้สึกที่เฟย์นะมองเห็นรู้สึกได้กลับเปลี่ยนไปหมดทุกอย่างแล้ว โลกทั้งใบของเธอไม่เคยมีใครอื่นเลยนอกจากทิม เพื่อนที่ผู้หญิงที่มีอันน้อยนิดในสถาบันต่างก็เพียงพูดคุยกันผิวเผินเท่านั้น

ยิ่งการที่เธอปรากฎตัวขึ้นพร้อมกับเคนเซย์ยิ่งสร้างเรื่องราวให้ถูกพูดถึงหนักมากขึ้นไปอีก เรื่องราวต่างๆ ถูกบอกเล่าออกไปตามการจัดฉาก เพื่อความสะดวกในหลายสิ่งอย่างขณะใช้ชีวิตที่สถาบัน

หลายคนมาแสดงความเสียใจ ปลอบโยน และพยายามแสดงความเห็นใจต่อเธอสารพัด กับเคนเซย์แล้วเขาก็ยังทำตัวเหินห่างเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นเคย

 

เวลาพักเที่ยง

หลังแน่ใจแล้วว่าพวกผู้หญิงร่วมชั้นจะคอยอยู่เป็นเพื่อนเฟย์นะได้ เคนเซย์ที่ดูอยู่ห่างๆ ก็แยกตัวออกมาหามุมสงบพักจิตใจ และห้องสมุดของสถาบันมุมเดิมก็เป็นที่ที่เขาโปรดปราน

“ไงจ๊ะ เจ้าบ่าวที่น่าสงสาร”

ชาหนุ่มสะดุ้งจากการหมอบบนโต๊ะทันทีเมื่อมีเสียงทักทายด้วยใจความแบบนั้น

“โธ่...ตกใจหมด นึกว่าใคร อย่าเรียกกันแบบนั้นในที่แบบนี้สิ”

เมื่อเห็นรุ่นพี่สาวสวมแว่นที่ปรากฎตัวขึ้น เคนเซย์ก็โล่งอกขึ้นมา

“แหมๆ รู้หรอกน่า ดูดีแล้วว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ ว่าแต่...ขนาดผ่านเมื่อคืนมาแล้วก็ยังต้องมานั่งจมจ่อมแบบนี้อีกเหรอ สถานการณ์ไม่ดีขึ้นเลยรึไง”

“เมื่อคืนมันก็ไม่ได้ต่างจากปีก่อนนักหรอก ถ้าไม่นับว่ามีใครบางคนหายไปจริงๆ”

พูดถึงเรื่องนี้ทีไรเคนเซย์ก็ได้แต่ถอนใจ หมู่นี้เขารู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นคนแก่ไปแล้วที่ถอนใจวันละตั้งไม่รู้กี่รอบ

“นี่... ถามจริงๆ นะ เคยคิดมั้ยว่ารักคนที่เขารักเรามันคงดีกว่าการที่จะต้องเป็นแบบนี้”

ยูทากะกระโดดขึ้นลงบนเก้าอี้ตัวสูงที่โต๊ะแบบเคาน์เตอร์ด้านข้างเคนเซย์

“เคยสิ แต่คิดกับทำจริงๆ มันต่างกันเยอะ อันที่จริงพี่ก็พอรู้นี่ว่า ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยลองมีแฟนมาก่อนเลย แต่มีแล้วมันไม่โอเคจนต้องเลิกไปนั่นแหละ”

“แต่หนนี้ถ้าเป็นคนที่เข้าใจรู้จักกันดี มีเวลาเดตกันในกองปราบได้ด้วยมันก็น่าจะพอไปกันได้นะ”

“จะหาจากไหนกันล่ะ เฮ้อ...เดี๋ยวผมไปก่อนนะฮะ ใกล้เวลาเข้าเรียนแล้ว”

แต่ยูทากะกลับออกแรงดึงแขนของเคนเซย์ไว้ให้ขยับเข้าใกล้ ก่อนจะโน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย ยืดตัวขึ้นอีกนิดจนกระทั่งเรียวปากของหญิงสาวแปะเข้ากับริมฝีมากของชายหนุ่มได้พอดี

“ฉันรู้ว่าเธอพยายามเลี่ยงไม่ให้ฉันพูดมาตลอด พยายามทำให้ฉันตัดใจ แต่เคนเซย์...เรื่องแบบนี้มันไม่ได้ตัดใจกันได้ง่ายๆ เธอเองก็รู้ดีที่สุดใช่มั้ย ฉันชอบเธอ ชอบมานานมากแล้ว ถึงจะรู้ว่าเธอเอาแต่มองใคร ฉันก็ตัดใจจากเธอไม่ได้เหมือนกัน”

เคนเซย์ที่ยังอึ้งอยู่เมื่อโดนขโมยจูบนิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะถอนใจอีกอย่างเหนื่อยหน่ายตัวเอง

“ขอโทษด้วยนะครับ ผม...”

“อย่าเพิ่งปฏิเสธเลย ฉันรู่อยู่แล้วว่าเธอจะปฏิเสธ แต่ถึงจะโดนปฏิเสธฉันก็ยังไม่หมดหวังหรอกนะ”

“แต่ว่า”

“ฉันว่าเธอน่าจะเป็นคนที่เข้าใจความรู้สึกฉันที่สุดแล้วล่ะนะ ตราบใดที่เธอยังไม่หมดหวังในตัวเฟย์นะ ฉันเองก็ยังไม่หมดหวังในตัวเธอเหมือนกัน มารอดูกันมั้ยว่าความหวังของใครจะยาวนานกว่ากัน”

ยูทากะกระโดดลงจากเก้าอี้ ยกมือขึ้นโบกบ๊ายบายยิ้มกว้างอย่างนารัก แล้วเป็นฝ่ายเดินออกจากตรงนั้นไปก่อนเอง

เคนเซย์ได้แต่กลับไปนั่งหมอบหมดอาลัยตายอยากบนที่นั่งตัวเดิม เรื่องเก่ายังไม่ดีขึ้นก็มีเรื่องใหม่เข้ามาให้ปวดหัวอีกแล้ว

 

เฮคเตอร์กำลังนั่งจมกองงานที่ออฟฟิศจนค่ำ สามวันผ่านไปแล้วที่เขากลับมาจากนิวยอร์กพร้อมกับแหล่งข้อมูลสำคัญที่ต้องมาสืบค้นด้วยตัวเองต่อ มันคือไฟล์ของกล้องวงจรปิดในโรงแรมแห่งหนึ่งที่จัดงานเลี้ยงใหญ่โต และนางแบบสังกัดเอเจนซีที่นาตาเลียทำงานอยู่ก็ไปร่วมงานกันหลายคน รวมถึงสาวพลังโคลนนั้นด้วย

นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เพื่อนๆ ได้พบเห็นเธอ จากคำบอกเล่าแล้วมีความเป็นไปได้สูงว่า ดูเหมือนคืนนั้นนาตาเลียจะออกไปต่อกับทายาทนักธุรกิจหนุ่มหล่อคนหนึ่งที่เดินเข้ามาจีบเธอ ดังนั้นแม้จะหายตัวไปเลยส่งเพียงจดหมายลาออกมา ทุกคนก็เข้าใจว่าเธอออกจากวงการ เลิกทำอาชีพนางแบบเพราะแฟนหนุ่มคนนั้นที่เหมือนจะเริ่มคบหากัน

แต่เพราะเป็นงานปาร์ตี้ขนาดใหญ่ และมีกล้องวงจรที่รัดกุมแทบทุกมุมหลายตัวให้ต้องค่อยๆ ค้นดูทีละตัว ฟอแกนด์กับชาเกลยังคงไปสืบความจากข้อมูลของเจ้าหญิงเฌอรีนที่อังกฤษ เคนเซย์เองก็เข้ามาช่วยบ้าง แต่เนื่องจากทุกคนลงความเห็นว่าเขาดูเหนื่อยล้าทางกายทางใจเอามากๆ จึงได้แต่สั่งให้กลับไปพักผ่อนให้เพียงพอแทน

ที่นี่จึงเหลือแค่เฮคเตอร์กับเอ็ดเวิร์ดที่คอยช่วยกันแกะความจริงจากกล้องวงจรนี้ออกมา แต่ตอนนี้เอ็ดจังก็เริ่มล้าจนขอตัวกลับไปพักผ่อนแล้ว

เฮคเตอร์ยังอยากทำต่ออีกนิดเพราะอยากค้นพบอะไรเร็วๆ แต่ความเหนื่อยและหิวจนเหมือนจะหน้ามืดก็ทำให้เขานึกถึงคนที่อยู่บ้าน วันนี้โซอีไม่ได้มาที่กองปราบด้วยเพราะเธอมีออเดอร์ขนมล็อตใหญ่ที่สั่งมาจากทางบ้านยูคิฮารุ จึงขอตัวอยู่บ้านเพื่อหารายได้ของตัวเอง

เฮคเตอร์หายตัวกลับไปที่บ้าน เสียงจากในครัวยังดังกุกกักจนเฮคเตอร์โผล่หน้าเข้าไปส่องดู ดูเหมือนเธอจะทำขนมเสร็จแล้วและกำลังแพ็คเจ้าพวกนั้นลงกล่อง

“หยุดนะ!”

โซอีตีมือของเฮคเตอร์อย่างรู้ทันว่าเขาจะแอบมาหยิบขนมไปกิน

“หิวจะตายอยู่แล้ว ขอของกินหน่อยไม่ได้เหรอ”

“ไม่ได้ วัตถุดิบมันหมดแบบพอดีๆ วันนี้แทบไม่ได้ทำเผื่อไว้กินเองเลย ไปนั่งรอก่อนนะ แพ็คจะเสร็จแล้วเดี๋ยวจะทำอะไรให้กิน”

เฮคเตอร์ออกไปจากห้องครัวอย่างว่าง่าย ก่อนจะไปนอนพักสายตารอที่โซฟาตัวยาว ไม่นานจากนั้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ต้มใส่วัตถุดิบเท่าที่ค้นได้จากตู้เย็นก็ถูกยกออกมาสองชามใหญ่

“ขอโทษนะ นึกไม่ออกว่าจะทำอะไร วันนี้ฉันก็เหนื่อยเหมือนกัน”

“เธอทำอะไรก็อร่อย อะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละที่เธอทำให้กินน่ะ แต่กินเสร็จแล้วฉันคงต้องกลับไปทำงานต่ออีก”

พูดจบเฮคเตอร์ก็ลงมือสวาปามอาหารตรงหน้าทันที ท่าทีหิวจัดเหมือนไม่ได้กินอะไรมาสามวัน

“ยังมีงานค้างอีกเยอะเลยเหรอ ต้องกลับไปทำอะไร”

“ต้องตรวจกล้องวงจรปิดน่ะ”

เฮคเตอร์ยังคงกินไปอธิบายเนื้อหางานไปด้วย แม้บางคำจะอู้อี้ไปบ้างแต่โซอีก็พอเข้าใจได้

“ไม่เอากลับมาทำที่นี่ต่อล่ะ เผื่อฉันจะช่วยหาได้นะ ฉันก็เคยเห็นหน้าเจ้าหัวทองนั่นเหมือนกัน”

เฮคเตอร์เงยหน้าขึ้นจากของกินราวกับเพิ่งนึกออก จริงด้วย...เขาลืมนึกไปเลยว่าอะไรพวกนี้มันหอบกลับมาทำที่บ้านก็ได้

“งั้นเดี๋ยวฉันจะกลับไปเอามา แต่เธอไม่ต้องช่วยก็ได้ วันนี้ก็เหนื่อยทั้งวันแล้ว พักผ่อนเถอะ”

“รีบหาช่วยกันให้เสร็จไวๆ ดีกว่านะ นายเองก็ต้องพักผ่อนเหมือนกัน”

เฮคเตอร์ขี้เกียจเถียงยัยตัวเล็กของเขาต่อแล้ว ชายหนุ่มรีบกินให้เสร็จก่อนจะรีบไปหอบงานกลับมา

โต๊ะหน้าโซฟาถูกเคลียร์ที่ทางไว้เพื่อวางโน้ตบุ๊คสองตัว บนพื้นปูพรมนุ่มและมีพนักพิงเป็นโซฟาตัวยาวที่ด้านหลัง พร้อมกับเครื่องดื่มผสมคาเฟอีนแบบเย็นๆ ที่ทำให้คลายอาการง่วงไปได้บ้าง

เมื่อง่วนหาส่วนที่ตัวเองรับผิดชอบไปได้พักใหญ่ ชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นมาพักสายตา ก่อนจะเพิ่งรู้ตัวว่าคนอาสาลงมือช่วยนั้นหลับไปแล้ว

เฮคเตอร์มองร่างของเด็กหญิงที่กองอยู่กับพรมข้างตัวแล้วได้แต่นึกขำ ตอนนี้เป็นเวลาตีหนึ่งแล้ว เฮคเตอร์สำรวจตารางงานพรุ่งนี้และพบว่า มันคือกำหนดการไปสำรวจร่องรอยต้นไวท์แอชเพื่อฟื้นความจำให้โซอี

ไม่ได้การแล้ว เพราะไม่รู้จะมีอะไรเกิดขึ้นเหมือนคราวก่อนบ้างไหม เพราะฉะนั้นเขาเองก็ต้องพักผ่อนเอาแรงเพื่อให้พร้อมสำหรับภารกิจวันพรุ่งนี้แล้วเช่นกัน

แต่ชายหนุ่มไม่ได้คิดจะกลับเข้าไปนอนในห้องนอน หรือปลุกให้โซอีลุกขึ้นไปนอนดีๆ เฮคเตอร์หายตัวกลับเข้าไปหยิบหมอนและผ้าห่ม ห่มผืนหนึ่งให้กับโซอี ก่อนจะวางหมอนของตัวเองไว้ข้างๆ กัน

เฮคเตอร์หลับไปแทบจะในทันทีด้วยความเหนื่อยล้า

โดยไม่รู้ตัวเลยว่า... พรุ่งนี้จะเป็นหนึ่งวันที่ยาวนานสำหรับกองปราบวิญญาณเหลือเกิน...

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด