ตอนที่แล้วตอนที่ 33 ห้วงแห่งจิตใจ (ปราสาทจิฮาดะ Part 1)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 35 บทสรุป (ปราสาทจิฮาดะ Part 3)

ตอนที่ 34 บททดสอบของทั้งสอง (ปราสาทจิฮาดะ Part 2)


ตอนที่ 34 บททดสอบของทั้งสอง (ปราสาทจิฮาดะ Part 2)

 

“ท่านเทพชอบท่านชุนอย่างนั้นหรือ”

เสียงมาจากด้านหน้า ลินจิไม่กล้าเงยหน้ามอง

“ผู้ชายที่ไม่เห็นคุณค่าในตัวท่านเช่นนั้น ท่านจะยอมถูกเอาเปรียบฝ่ายเดียวหรือ”

อีกคำถามดังแผ่วพร้อมลมร้อนที่สัมผัสหลังคอ ฝ่ามือหนึ่งสัมผัสเส้นผมของตน

ลินจิใจเต้นแรง สายตามองต่ำสั่นระริก แม้จะสงสัยว่าบ่าวใช้เหล่านี้รู้เรื่องของตนได้อย่างไร แต่คำถามเหล่านั้นก็ดึงเอาอารมณ์หมองหม่นภายในใจออกมา

“ท่านอยากให้พวกข้าอะไร ขอแค่เอ่ยมาเท่านั้น”

อาผิงซึ่งนั่งรัดร่างลินจิอยู่ด้านหลัง ถามด้วยน้ำเสียงพิลึกพิลั่น

ใกล้มาก ใกล้จนรู้สึกถึงลมร้อน ๆ ที่สัมผัสใบหู พลันนั้นลินจิก็เอียงศีรษะหนี

“…ไม่ครับ”

ทว่าเสียงเบาเหลือเกิน

“จริงหรือ”

ใบหน้าหนึ่งถามพลางวางบนไหล่

ลินจิหลับตา ส่ายหน้าแทนคำตอบ

เหล่าบ่าวใช้ที่เหลือขยับเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ

ฝ่ามือมากมายสัมผัสผิวกายอย่างบางเบา

“ปล่อย!”

แม้จะห้ามปรามเพียงใด แต่ก็ไร้ผล

“ข้าได้ยินมาว่า ท่านชุนมีคู่หมั้นอยู่แล้ว ท่านไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือ”

ได้ยินเช่นนั้น เปลือกตาก็ร้อนวาบขึ้นมา ในสมองตีกันยุ่งไปหมด

ทั้งเรื่องที่กำลังเกิดขึ้น ทั้งเรื่องความรู้สึกที่มีต่อชุน

ไม่คิดว่าจะต้องมาเจอเรื่องลักษณะนี้ ไม่รู้ควรทำอย่างไร

ลินจิข่มตา ส่ายหน้า

“ท่านจะแย่งม่านชุนมาจากคู่หมั้นของเขาหรือ”

ทั้งที่เป็นเรื่องที่ต้องการจะลืม แต่ตนก็ระลึกถึงตลอดเวลา และไม่รู้ว่าควรแก้ไขความย้อนแย้งกันเองนั้นอย่างไร

“ท่านชุนก็มองท่านเป็นเพียงเทพเจ้าอัญเชิญ หามองด้วยความรู้สึกอื่นไม่”

ประโยคที่กรอกหู หวนย้อนถึงเรื่องของชุนที่ทับถมภายในใจ คำพูดที่ไม่เอ่ยจากปากของชุน ความคิดคำนึงอันไม่แสดงผ่านท่าที ภาพนั้นผุดเพิ่มพูนในส่วนลึกจนหายใจไม่ออกมากขึ้นทุกที มันเตรียมจะล้นอย่างง่ายดาย หากมีแรงสั่นสะเทือนอีกเพียงนิด… ลินจิเม้มริมฝีปากแน่นเพื่อสะกดกลั้นสิ่งซึ่งทำท่าจะเอ่อล้นออกมา

“ท่านไม่เสียใจหรือ…”

คำถามเดิม ซ้ำเติมอีกครั้ง

ลินจิส่ายหน้า

หัวใจกระตุกแรงคล้ายจะปริแยก

เต้นตูมตามเสมือนมีกำปั้นทุบรัว

“ไม่รู้สึกอะไรเลยจริงหรือ”

…มันก็รู้สึกอยู่หรอก

…แต่

…จะให้ทำอย่างไรล่ะ

…ก็เรา

…ก็เรา

…ชอบคุณชุนแล้วนี่

ใบหน้าแดงก่ำ ร่างพยายามดิ้น แต่ดิ้นเท่าไหร่ก็ไม่หลุด

“แม้ฝ่ายนั้นมีคู่หมั้นอยู่แล้ว ก็จะแย่งมาอย่างนั้นหรือ”

…ถึงตอนแรกจะไม่รู้

…และถึงจะรู้แล้ว

…ก็ไม่ได้คิดจะแย่งมาสักหน่อย

ลินจิพยายามดันแขนที่รัดตนไว้ สองมือกำแน่น กล้ามเนื้อแข็งเกร็ง ลมหายใจกระตุก

ช่วงเวลาตั้งแต่อยู่ที่นี่แม้จะลำบาก แม้จะทุกข์ทน แถมยังอันตราย แต่มันก็หมุนเวียนอย่างอ่อนละมุนทุกครั้งที่อยู่กับชุน

จู่ ๆ เหล่าบ่าวใช้ก็หัวเราะเสียงต่ำ

“หึหึหึ”

“มีอะไรน่าขำงั้นเหรอ!”

เสียงแผดดัง ลินจิโน้มตัวไปด้านหน้า การดิ้นรนนี้ช่างเปล่าประโยชน์

“ตอนนี้กำลังคิดอยู่สิว่า ถ้าคู่หมั้นของคุณชุนตาย ๆ ไปซะก็ดี และถึงแม้ฝ่ายนั้นจะยกโทษให้ แต่ท่านก็ไม่มีทางยกโทษให้ตัวเอง”

“ไม่ใช่นะ ไม่ได้คิดแบบนั้นสักหน่อย!”

ตนพูดขัดทันที ใบหน้าเบ้เล็กน้อย นึกแล้วในอกเหมือนถูกบีบโดยไม่ทันตั้งตัว

หยาดน้ำบาง ๆ เหมือนจะเอ่อล้นมาจากภายใน เสียงลมหายใจจากเหนือศีรษะ เสียงชายแปลกหน้าที่แผ่วเบาพาให้อยากร้องไห้

ไม่อยากได้ยินอะไรอีกแล้ว แต่ตนก็หนีไปไม่ได้ ลินจิคล้ายหัวใจจะหยุดเต้นอยู่ตรงนั้น

“เลิกถือทิฐินั้นได้แล้ว ต่อให้ท่านจะทำทุกอย่างให้ดูสวยหรูเพียงใด แต่ในใจของท่านก็เต็มไปด้วยความสกปรกโสมม ทั้งริษยาและปรารถนาร้าย ทั้งที่เป็นอย่างนั้น ท่านก็ยังแสร้งทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไร”

มือที่วางบนตักกำแน่น น้ำเสียงสั่นเครือ “พูดอะไรน่ะ…”

“ท่านเกลียดทุกคนที่เข้าใกล้คนที่ท่านหลงรัก แม้รู้ว่าเขามีคู่หมั้น แต่ก็ยังไม่ตัดใจ อันที่จริง ท่านก็อยากจะให้ทุกคนที่มาขัดขวางตาย ๆ ไปสิท่า”

“หยุดพูดบ้า ๆ สักที!”

ใบหน้าส่ายปฏิเสธ สิ่งที่กล่าวมานั้นไม่ใช่ เปลือกตาสัมผัสถึงความร้อน ของเหลวใส ๆ เอ่อล้นออกมาอย่างจริงแท้

ยิ่งไม่พูด ไม่ขัดขืนมากเท่าไหร่ บ่อน้ำภายในก็เหมือนจะล้นทะลักออกมา

ลินจิสูดลมหายใจเข้าลึกเท่าที่จะทำได้ ก่อนเอ่ยว่า…

“แล้วยังไงล่ะ ถ้ามันรู้สึกชอบ รู้สึกรัก เป็นใครมันก็ต้องรู้สึกอย่างนั้นกันทั้งนั้น ก็ไม่ได้อยากจะเป็นแบบนั้นสักหน่อย”

…ผิดเหรอไงที่รู้สึกอย่างนั้น ความรู้สึกมันห้ามกันได้อย่างนั้นเหรอ

“เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ ท่านชุนจะไม่มีทางได้เห็น ไม่สนใจสนุกกับพวกเราสักหน่อยหรือ ยังไงซะท่านก็ไม่มีพันธะกับใคร ฝ่ายนั้นคงจะสนุกกับท่านชายไปแล้ว…”

มือหนึ่งสอดเข้าไปในเสื้อ แม้สัมผัสจะแผ่วเบา แต่ตนก็ไม่ตอบสนอง

“ไม่มีพันธะงั้นเหรอ…”

 

—เสียงหนึ่งดังขึ้น

ต่อให้โลกนี้จะมากด้วยอันตราย

          ต่อให้โชคชะตาต้องเปลี่ยนผัน

          ต่อให้ถึงวันที่ไร้ซึ่งความฝัน

เจ้าจะเป็นเทพอัญเชิญของข้า

ตราบจนวันที่ข้าหมดลมหายใจ

—กึกก้องในใจ

เสียงของชุน

คำพูดนั้นฉุดรั้งตนให้ขึ้นมาได้

ต่อให้อีกฝ่ายจะเปลี่ยนไป คุณค่าของคำพูดนั้นก็ไม่เปลี่ยนแปลง

“…”

ริมฝีปากกัดแน่น หัวใจเต้นสั่นสะท้านไปทั่วร่าง ชั่วแวบที่พยายามดิ้นให้หลุด เรี่ยวแรงมหาศาลก็ดึงตนให้ล้มไปข้างหลัง ปากเปล่งเสียงร้องสั้น ๆ เมื่อแผ่นหลังกระแทกอย่างแรง บ่าวใช้คนหนึ่งก็ขึ้นคร่อมโดยไม่ปล่อยให้มีโอกาสลุก

“คิดว่าพวกข้าจะเชื่อในความดีจอมปลอมของท่านอย่างนั้นหรือ ท่านก็ต้องการใช่ไหมล่ะ หึหึ”

น้ำหนักที่โถมทับบนท้องทำให้รู้สึกอึดอัด ข้อมือทั้งสองถูกตรึงไว้บนเตียง อีกฝ่ายค่อย ๆ โน้มร่างลงมา

ลินจิออกแรงต้าน แผดอย่างสุดเสียง…

“ก็ไม่ได้บอกว่าตัวเองดีสักหน่อย แต่ถึงจะมีหรือไม่มีพันธะอะไรที่ว่านั้น ต่อจากนี้จะเป็นยังไง มันก็ขึ้นอยู่กับผม ไม่ว่าใครจะพูดอะไร สุดท้ายก็อยู่ที่ตัวผมเองจะเลือก การกระทำชั่วช้าที่ยัดเยียดให้คนอื่นแบบนั้น ใครจะไปยอมรับกัน!”

ไม่มีช่วงเวลาเกี่ยวกับอนาคตให้เอ่ยถึง นึกถึงอดีตก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ความรู้สึกของตนที่มีต่อชุนในเวลานี้คือทุกสิ่งทุกอย่าง แม้อีกฝ่ายจะไม่ตอบรับก็ตาม แต่ตนก็เป็นฝ่ายตัดสินใจเลือกต่อจากนี้เอง

แม้จะพูดไม่ได้ว่าพรุ่งนี้จะยังรู้สึกเหมือนเดิมรึเปล่า แต่ตนก็ไม่เคยตั้งเงื่อนไขบ้า ๆ ในความรักครั้งนี้สักหน่อย

[ได้รับทักษะ ‘กลายร่าง LV.2’ เพิ่มระดับเป็น ‘กลายร่าง LV.3’]

เสียงหนึ่งผุดขึ้นจากภายใน

[‘กลายร่าง LV.3 เริ่มทำงาน’]

“ปล่อยน้า—”

เสียงตะโกนของลินจิดังขึ้นพร้อมกับเพลิงสีขาวปรากฏรอบร่างที่ปะทุออกมา เหล่าบ่าวใช้ปลิวกระเด็นหลังชนผนัง ผิวกายเปล่งแสงสว่างก่อนวูบดับลง ร่างเทพจิ้งจอกสวรรค์ผมขาวพลิ้วยืนสง่าอยู่เหนือเตียง ลินจิใช้จิตเทวะเป่าเหล่าบ่าวใช้ที่พยายามกระโจนใส่จนกระเด็นออกไป

เมื่อร่างของเหล่าบ่าวใช้สัมผัสกระแสพลังของเทพจิ้งจอก ก็กลายเป็นหุ่นอาคมกระดาษปลิวว่อนก่อนจะมอดไหม้สลายไปด้วยเพลิงจิ้งจอกสวรรค์

พลังศักดิ์สิทธิ์ซึ่งอัดอยู่ภายในถูกปลดปล่อยพรวดเดียวจนอาละวาดราวกับพายุ ข้าวของปลดปลิวกระจุยกระจาย ร่างของเทพจิ้งจอกสวรรค์พุ่งทะลุผนังตรงไปห้องรับรองทันที เสียงกระแทกดังสนั่นทั่วปราสาท

การรับรู้กลับคืนสู่โสตประสาท

“…”

ชุนลืมตาช้า ๆ รู้สึกถึงลมเย็นปะทะแก้มจึงหันศีรษะมอง ต้นซากุระผลิดอกบานอยู่ไกล ๆ บึงใหญ่เต็มไปด้วยดอกบัวบาน รุ้งกินน้ำทอดตัวลงมาเป็นสายสวยงาม

ที่นี่คือที่ไหนกัน

สมองขาวโพลนไปชั่วขณะ ก่อนที่ทุกสิ่งจะหวนกลับมา

ชุนลุกพรวดและสังเกตเห็นผ้าคลุมสีน้ำตาลกำลังโบกสะบัดอยู่ไม่ไกล

“นั่นคือ…”

ถ้าจำไม่ผิดเป็นของเทพบุตรคิกิ

“รู้สึกตัวแล้วหรือ”

เจ้าของผ้าคลุมเอ่ยทัก ก่อนหันมา

เทพบุตรคิกิมองมาด้วยนัยน์ตาสีมรกต

ชุนกวาดตามองรอบข้าง ผืนน้ำห้อมล้อมทั่วทิศทาง ตนกำลังยืนอยู่บนเกาะกลางบึง

“ที่นี่….คือ…”

เทพบุตรคิกิไม่ตอบ ก้าวเท้ามาด้านหน้า ชุนไม่ไว้ใจพลันถอยหลัง มือหนึ่งสัมผัสด้ามดาบทันที

จังหวะนั้นพายุมรกตสีเขียวก็ห้อมล้อมด้ามดาบของเขาไว้ มือหนาถูกบาดด้วยสายลมจนเลือดซึมออกมา เช่นนั้นจึงรีบปล่อยมือ

“ช้าก่อน… มาถึงก็จะใช้กำลังกันเลยหรือ”

เทพบุตรคิกิเอ่ย ก่อนนั่งกอดอก แล้วหลับตาช้า ๆ เพื่อให้อีกฝ่ายมั่นใจว่าตนไม่ได้มาประมือ

ชุนก้มมองฝ่ามือครู่หนึ่ง บาดแผลมีไม่มากก็จริง แต่กลับรู้สึกปวดระบมราวถูกของมีคมรนไฟเชือดเฉือน

เมื่อเห็นอีกฝ่ายหยุดนิ่ง เขาจึงยอมรามือ กวาดตามองรอบ ๆ อีกครั้ง ทว่าสถานที่แห่งนี้กลับเต็มไปด้วยหมอกควัน ไม่ปรากฏทางออกแต่อย่างใด เช่นนั้นจึงเอ่ยถาม

“…มีธุระอะไร …ข้าต้องการกลับ”

ได้ยินคำถาม เทพบุตรคิกิก็ลืมตาช้า ๆ ก่อนหัวเราะเสียงทุ้ม

“หึหึหึ เจ้านี่ซื่อบื้อจริง ๆ ข้าปรากฏตัวเพื่อที่จะมาบอกเรื่องสำคัญกับเจ้า”

ชุนเหลือบมองผู้พูด ขมวดคิ้ว ตอนนั้นเทพบุตรคิกิก็ยื่นมือมาด้านหน้า บอกว่า

“นั่งลงก่อนสิ”

ขณะที่รอดูท่าทีอีกฝ่าย เมื่อแน่ใจตนจึงนั่งลง

จากนั้นเทพบุตรคิกิก็ยื่นมือมาด้านหน้า กริชเงินส่องสว่างก็ปรากฏบนฝ่ามือ

“นี่มัน…”

ชุนพึมพำ สองคิ้วถอยห่างออกจากกันช้า ๆ แสงสว่างทอประกายในดวงตา

เทพบุตรคิกิยกยิ้มเล็กน้อย เอ่ยว่า…

“นี่คือ กริชล้างพันธเทพ”

“ล้างพันธะ”

ชุนพึมพำ แสงสว่างของกริชเงินสะท้อนในดวงตาเป็นจุดเล็ก ๆ วูบไหวไปมา

“…”

พอชุนเงยหน้า เทพบุตรก็วางกริชเงินลงบนผืนหญ้า ชุนมองต่ำลงตาม

“เจ้ายังไม่รู้ตัวอีกหรือ เทพเจ้าตนนั้นไม่สามารถมอบพลังที่สมบูรณ์ให้เจ้าได้”

“ท่านหมายถึง…”

คำถามค้างไว้เท่านั้น เขามองเทพบุตรคิกิด้วยสายตาเย็นชา แสงสว่างจากกริชเงินส่องสว่างต่อหน้าทั้งสอง

“พลังของข้าวนเวียนอยู่ในจิตของเจ้าตั้งแต่ที่ถูกคลื่นมังกรธาตุคำรามกลืนกินไป แต่เจ้าไม่มีวันใช้มันได้หรอก หึหึหึ”

เทพบุตรคิกิยิ้ม สายตาคมปลาบ

“ไม่เชื่อเจ้าก็ลองใช้พลังนั่นดูสิ”

“…”

ชุนก้มหน้าครุ่นคิด หลังจากการต่อสู้กับเทพบุตรคิกิครั้งนั้น ตนก็ไม่ได้ลองใช้พลังเวทอีกเลย หรือว่า…

เมื่อสัญชาตญาณกับสิ่งที่เทพบุตรคิกิกล่าวเมื่อครู่ผนวกกัน ชุนก็เงยหน้า

“หรือว่า…”

“ใช่แล้ว… ช่างรู้ตัวช้าเสียจริง โปรดลองใช้ก่อนเถอะ”

ชุนพยักหน้ายอมฟังเทพบุตรคิกิ ก่อนแบสองมือช้า ๆ หลับตาลง

วินาทีนั้น เพลิงสีเขียวปรากฏห่อหุ้มร่างกาย ทว่าเมื่อพายุหมุนสีเขียวก่อตัวอ่อน ๆ บนฝ่ามือ ความเจ็บปวดก็ถาโถมเข้าสู่ภายในอย่างฉับพลัน

“…อึก”

พายุมรกตก็ผล็อยดับวูบ ชีพจรกระตุกรุนแรง เจ็บปวดราวโดนเหล็กแหลมแทงทะลุอกซ้าย ลมหายใจสะดุดอย่างฉับพลัน

“ฮะฮะฮ่า ใช้ไม่ได้ล่ะสิ ตราบใดที่พันธสัญญากับเทพเจ้าตนนั้นยังมีผลอยู่ เจ้าจะไม่สามารถใช้พลังเวทวายุนี้ได้”

เทพบุตรคิกิหัวเราะแล้วหยิบกริชเงินบนผื่นหญ้ายื่นให้

“กริชล้างพันธเทพนี้ จะช่วยลบล้างพันธสัญญาของเจ้ากับเทพตนนั้น เพียงแค่สังเวยเลือดหนึ่งหยด แล้วทำพันธสัญญากับข้า เท่านี้เจ้าก็จะสามารถควบคุมธาตุวายุได้”

ความเจ็บปวดบรรเทาลงราวกับตนถูกเวทมนตร์เยียวยา

ชุนเบิกตาเล็กน้อย ก่อนรับกริชเงินมา

เรื่องนี้หรือที่โมโมะหมายถึง ที่ว่าพลังเวทของตนเปลี่ยนไป

แต่…

ถ้าทำอย่างนั้น แล้วเจ้าหนูล่ะ คิดได้เช่นนั้นจึงถามออกไป

“แล้วเทพเจ้าของข้า…”

“หึหึหึ ก็จะหายไปยังไงล่ะ ไม่ดีหรือไง หรือเจ้าคิดว่าพลังของข้าสู้ไม่ได้กัน”

…หายไปอย่างนั้นหรือ

นึกถึงตรงนั้น แววตาก็สั่นไหว

“ไม่มีเวลาแล้ว ที่นี่คือห้วงแห่งจิตวิญญาณ ดวงวิญญาณใดหลุดเข้ามาเกินหนึ่งชั่วยามจะไม่สามารถกลับไปโลกเดิมได้อีก”

เทพบุตรคิกิเอ่ย

“…”

ชุนคิดเล็กคิดน้อยก่อนส่ายศีรษะ

“ไม่ล่ะ… ข้าซาบซึ้งในน้ำใจของท่าน แค่คิดว่าคงไม่ถูกต้องถ้าทำแบบนั้น”

ชุนคิดว่า แม้จะเกิดอะไรขึ้น ความรู้สึกและความผูกพันย่อมสำคัญกว่าพละกำลังและอำนาจ นั่นคือเงื่อนไขที่ตนเลือกจะปฏิบัติ ถึงเทพของตนจะอ่อนแอ ไม่ได้เรื่อง แถมยังบ้าบอ แต่อีกฝ่ายก็มีจิตใจ รู้ถึงตรงนี้ดวงตาก็รื้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

ชุนสูดหายใจเข้าลึก เอ่ยขอบคุณแล้วคืนกริชกลับไป ก่อนลุกขึ้นยืน

“ไม่มีเวลา ข้าต้องไปแล้ว บอกข้าทีว่าจะกลับได้อย่างไร”

ได้ยินเช่นนั้น เทพบุตรคิกิก็เหลือบมองแวบหนึ่ง

ชุนปรายตามองมาทางนี้เช่นกัน ทำให้สายตาของทั้งสองส่องประสาน

เทพบุตรคิกิยกยิ้มมุมปาก เอ่ยถาม

“เจ้าทราบดีว่าพลังธาตุล้วนเกื้อกูลกัน คิดดีแล้วหรือ”

“พลัง อำนาจ ชื่อเสียง เกียรติยศ เป็นสิ่งสำคัญก็จริง แต่หากจะให้ข้าทิ้งมิตรภาพ ทิ้งความรู้สึกดีดี ทิ้งช่วงเวลาทั้งหมด ข้าก็คงทำไม่ได้เช่นกัน ขออภัยท่านด้วย”

ดวงตาของชุนเป็นประกาย ทว่าคิ้วของเทพบุตรคิกิขมวดเป็นรอยย่นลึก

“เจ้ามันโง่สิ้นดี…”

เทพบุตรคิกิทิ้งท้ายเช่นนั้น ก่อนจะกลายเป็นละอองแสงสีเขียวระยิบระยับลอยซึมเข้าสู่ร่างของชุน วินาทีนั้นตนจึงสัมผัสได้ถึงพลังอันมหาศาลที่พรั่งพรูในร่างกาย

ไม่นานเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น…

‘เจ้าผ่านการทดสอบแล้ว จิตใจมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง กระนั้นเจ้าก็ไม่โป้ปดต่อความรู้สึกของตน ต่อจากนี้เจ็บก็จงยอมรับว่าเจ็บ รักก็จงยอมรับว่ารัก เกลียดก็จงยอมรับว่าเกลียด เพราะเจ้าจะเอาชนะมันไม่ได้หากไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร เช่นเดียวกับการเจ็บป่วย เจ้าไม่มีทางรักษาได้ถูกทางหากไม่รู้ว่าตนเองป่วยเป็นอะไร สรุปคือการยอมรับความรู้สึกของตนเองนั้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่นั่นก็อาจจะยากที่สุดในบางครั้งเช่นกัน’

เสียงเทพบุตรคิกิดังก้องจากภายใน

‘จากนี้ ดวงจิตของข้าคือหนึ่งเดียวกับจิตของเจ้า พลังเวทต้องอาศัยจิตวิญญาณภายในควบคุม เจ้าลองใช้ดูสิ’

สิ้นสุดคำกล่าว ฝ่ามือหนึ่งจึงยื่นออกไป แสงสีเขียววูบไหวท่วมร่างกาย พายุมรกตก่อตัวบนผืนพสุธา หมอกควันขาวถูกพัดปลิวสลายไป เมฆหนาเปิดออกอยู่เบื้องบน ฝืนฟ้าส่องแสงสว่างกลืนกินทัศนวิสัย สติสัมปชัญญะผล็อยวูบดับไป …ไม่เหลืออะไร ณ ที่แห่งนี้

 

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด