บทที่33: แม่เฒ่าฝูและงักหลอ
บทที่33: แม่เฒ่าฝูและงักหลอ
ชีวิตสุขสบายเต็มไปด้วยข้อห้ามมากมาย หากเป็นคนไร้หัวคิดคงปล่อยเลยตามเลย ทว่างักหลอไม่ใช่คนเช่นนั้น
เขารู้ดีว่าตนเองมีภาระหน้าที่และชีวิตบ่าวต้องดูแลรับผิดชอบ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเขาคิดดีและพยายามทำดีเพื่อให้สกุลงักกลับมามีชื่อเสียง แต่ทำไมท่านแม่ไม่ยินยอม
สิ่งที่เขาไม่ชอบใจคือมีชาวบ้านหลายคนเริ่มมองว่าเขาที่เป็นทายาทของตระกูลดัง ทำอะไรไม่เป็น ใครจะรู้ความทุกข์ใจของเขากัน
ระหว่างนั้นเองที่เขาได้พบกับหลานฟาน หญิงสาวที่เข้าอกเข้าใจในความคิดและได้กลายมาเป็นคู่ชีวิตให้กำเนิดทายาทของสกุล งักหลอรู้สึกมีความสุขมาก ถึงขนาดคิดในใจว่าชีวิตแบบนี้ก็ไม่เลว ไม่ต้องเดือดร้อนอะไร ในเมื่อมารดายอมถอยให้เขาได้แต่งงานกับสตรีสามัญชนธรรมดาเพื่อตามใจเขา เขาก็ยอมถอยเลิกคิดเรื่องหาเงินอีก แค่มีความสุขกับตอนนี้ก็พอ
แต่มันก็เป็นเพียงความสุขที่แสนสั้นก่อนจะนำพาเรื่องราวทุกข์ระทมมาให้
เมี่องักหลิวบุตรชายคนโตของเขาป่วยเป็นโรคประหลาด สามวันดีสี่วันมีอาการเจียนตาย หมอหลายคนกล่าวว่าไม่มีทางรักษา ซ้ำชีวิตของเด็กน้อยจะไม่ยืนยาว คนเป็นพ่อไม่ยอมแพ้โชคชะตา เขาหาทุกวิถีทาง แม้กระทั่งพึ่งพาวิชาอาคมเพื่อรักษาชีวิตของดวงใจ โดยที่ไม่รู้เลยว่าจะส่งผลเป็นบาดแผลในใจให้กับลูกชายที่เขารัก
การรักษากินเวลาหลายปีและเงินทองจำนวนไม่น้อย นั่นเองที่ทำให้เขาเริ่มกังวลกับการหาเงินอีกครั้ง งักหลอนึกถึงสมบัติที่ถูกเก็บซ่อนไว้ในป่าหลังคฤหาสน์ บางทีอาจถึงเวลาแล้วที่จะค้นหามันอย่างจริงจัง
เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาจึงนำความคิดไปคุยกับมารดา ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับมาไม่ช่วยอะไร
“แม่ไม่รู้เหรอว่าสมบัตินั่นอยู่ที่ไหน แม่แค่ได้ยินมาจากท่านตาของเจ้าว่ามันถูกซ่อนไว้ที่ที่ดินผืนนี้ บางทีมันอาจจะไม่มีจริงก็ได้”
งักหลอกลัดกลุ้มจนเกือบสิ้นหวัง กระทั่งทำหยกของสกุลงักที่มารดาให้ไว้ตกพื้น เขาจึงได้สังเกตเห็นรอยต่อของหยก เมื่อลองขยับจึงได้พบว่ามันสามารถแยกออกเป็นสองส่วนได้ และภายในนั้นเก็บซ่อนแผนที่หนึ่งเอาไว้
งักหลอเชื่ออย่างสุดใจว่ามันคือแผนที่ที่จะนำเขาไปสู่สมบัติประจำตระกูล จึงเริ่มออกค้นหาเพื่อหวังนำความร่ำรวยและมั่นคงกลับมาสู่ครอบครัว โดยที่ไม่รู้ตัวเลยสักนิด ว่าการทุ่มเทในการหาสมบัติของเขา มันทำให้ลูกๆ ต้องห่างเหินและขาดบิดาคอยเคียงขาด
งักหลิวกลายเป็นคนเก็บตัว งักเจียงถือนิสัยเอาแต่ใจ และงักโยวขาดความอบอุ่นคิดว่าตนเป็นส่วนเกิน...
เวลานั้นนางฝูเห็นถึงปัญหาในข้อนี้ แต่ก็ไม่สามารถทำให้ลูกชายเชื่อฟังตนได้อีก เขามีความตั้งใจดีที่จะทำเพื่อส่วนรวมและตำหนินางที่เป็นแม่ว่าสร้างข้อห้ามทุกสิ่ง
“คงอีกไม่นานที่ท่านแม่จะห้ามข้าให้หยุดหายใจ” งักหลอกล่าวด้วยโทสะเมื่อถูกมารดาของตนตักเตือนในคืนหนึ่งหลังกลับมาจากการตามหาสมบัติ
นั่นเองที่ทำให้นางฝูไม่เคยห้ามอะไรลูกชายในเรื่องนี้อีกเลย สองแม่ลูกแม้จะพูดคุยกันปกติในอีกวันถัดมา แต่ความบาดหมางได้สร้างแผลลึกไว้ในใจของทั้งสอง
นางฝูไม่กล้าบอกความจริงแม้กระทั่งกับลูกชายตัวเองว่าชาติกำเนิดที่แท้จริงของพวกตนคือใครและแซ่อะไร แต่ความผิดไม่เคยจางหาย มันคอยหาทางมาหลอกหลอนให้นางต้องหวาดกลัวอยู่เสมอ และครั้งนี้มันมาในร่างของทารกคนหนึ่ง
เมื่อเข้าฤดูฝนของปีเถาะ นางฝูได้รับการส่งข่าวจากเด็กหนุ่มคนหนึ่งว่าเจ้าอาวาสของวัดใหญ่ประจำหัวเมืองข้างเคียงเชื้อเชิญนางให้ไปร่วมพิธีสักการะพระพุทธรูปที่เพิ่งบูรณะเสร็จสิ้น
นางฝูเห็นว่าช่วงหลังครอบครัวเต็มไปด้วยเรื่องทุกข์ยากจึงหวังจะทำบุญเพื่อเกื้อหนุนทุกอย่างให้ดีขึ้น ทว่าเมื่อไปถึง กลับไม่พบพิธีใดๆ
สิ่งที่นางพบ คือเจ้าอาวาสชรารูปหนึ่ง ที่อุ้มเด็กทารกคนหนึ่งมาให้
“มารดาของเด็กคนนี้ สิ้นใจตายไปเมื่อเจ็ดวันก่อน นางฝากฝังไว้ว่าหากตัวนางเป็นอะไรไป ให้อาตมาส่งมอบเด็กคนนี้ให้กับสีกา”
“ขะ ใคร นางเป็นใคร แล้วเกี่ยวอะไรกับข้าแล้วทำไมต้องถึงขนาดหลอกกันเพื่อให้มาที่นี่”
“เรื่องที่ปิดบังเหตุผลที่แท้จริง สีกาดูสิ่งที่ติดตัวเด็กทารกเถิดแล้วจะเข้าใจเอง”
นางฝูมองดูเด็กน้อย เห็นสร้อยเส้นหนึ่งติดตัวอยู่จึงหยิบขึ้นมาดู มันมีจี้หยกที่เหมือนกันกับที่บิดาของนางเคยยึดเอามาเป็นของตนก่อนที่จะมอบให้กับนาง
จี้หยกของสกุลงัก...
นางฝูรู้ได้ทันทีว่าเด็กทารกคนนี้คือทายาทที่แท้จริงของสกุลงัก นางทั้งตกใจ หวาดกลัวและสับสน
“อาตมาแค่ทำตามคำขอร้องของผู้ที่จากไปแล้ว เรื่องอื่นใดของทางโลก หวังว่าสีกาจะจัดการอย่างที่ควร แต่อาตมาขอกล่าวอะไรสักประโยคเถิด”
นางฝูแววตายังตื่นตระหนก แต่ยินยอมรับฟัง
“เมตตาธรรม ค้ำจุนจิตใจ”
เพียงเท่านั้นนางฝูก็บรรลุในสิ่งที่ควร เพื่อชดใช้ในสิ่งที่ตัวเองได้ทำผิดไป นางจึงรับเด็กคนนี้ไว้เป็นบุตรีบุญธรรมของตนเอง นามว่าเสี่ยวจือ แม้จะถูกคัดค้านจากลูกชายก็ตามที
ไม่กี่ปีถัดมา เกิดอาเพศครั้งใหญ่ ทำให้หลายสิ่งเปลี่ยนไป รวมถึงที่สกุลงักด้วย หลานฟานให้กำเนิดบุตรสาวขึ้นมาอีกคน งักหลอยิ่งหมกหมุ่ยกับการหาสมบัติจนภายในบ้านไม่หมดเดิมอีก
นางฝูหนีความจริงที่ทุกข์ใจ ไม่ใจอะไรนอกจากเลี้ยงดูเสี่ยวจือ ช่วงเวลานั้นเองที่งักหลอประสบเรื่องเลวร้ายในชีวิต เขาตายอย่างไม่รู้สาเหตุว่าใครทำ หลานฟานกลายเป็นศพจนแทบจำสภาพเดิมไม่ได้ งักโยวกลายเป็นคนสติไม่สมประกอบ มีเพียงงักฮัวที่ไร้เดียงสาไม่รู้เรื่องอะไรที่รอดปลอดภัย
เรื่องราวที่เกิดทำให้ยิ่งทุกข์ระทม คนหัวหงอกส่งคนหัวดำขึ้นสวรรค์ นางฝูเชื่อเหลือเกินว่าที่ลูกตัวเองตายส่วนหนึ่งเป็นเพราะตัวอัปมงคลอย่างหลานสาวงักฮัว แต่แท้จริงที่นางรู้สึกกลัวคือการที่บาปของตนเองที่เคยทำไว้ต่างหาก จะเป็นสิ่งที่ฆ่าลูกชายตาย
และมันก็เป็นจริงอย่างที่นางคิดไว้...
เมือกลางดึกคืนหนึ่ง แม่เฒ่าฝูตื่นขึ้นพบวิญญาณตนหนึ่งในชุดแม่ทัพ ยืนจ้องมองตนเองอย่างอาฆาต ดวงตาแดงก่ำของมันแสดงชัดว่าต้องการเอาชีวิตนาง ทว่าก่อนที่จะเกิดเหตุร้าย กลับมีวิญญาณอีกตนปรากฏขึ้น วิญญาณของลูกชายนาง งักหลอ
เขามายืนขวางมองจนวิญญาณของแม่ทัพจากไป ก่อนที่จะหายตามไปด้วยเช่นกัน นั่นเองที่ทำให้แม่เฒ่าฝูยอมเล่าความผิดบาปในใจของตนเองให้กับบุตรีบุญธรรมของตนเองทราบถึงชาติกำเนิดของตัวเองและบาปที่นางกระทำ
เสี่ยวจือเพราะรู้ความจริง ไม่ได้ตกใจกับเรื่องราวเช่นที่นางคาดการณ์ไว้ แต่กลับถามกลับเพียงสั้นๆ เท่านั้น
“ท่านแม่เห็นข้าเป็นลูกไหม?” ท่าทางในตอนนั้นของเสี่ยวจือ ดูจะให้ความสำคัญกับสิ่งนี้เหนือสิ่งอื่นใด
แม่เฒ่าฝูแม้ไม่ได้รักเท่าใครแต่ก็ผูกพันกับนางไม่น้อย คำตอบนั้นจึงไม่อยากอะไรเลย
“เจ้าเป็นลูกของแม่”
“เช่นนั้น เรื่องอื่นๆ ก็ช่างมันเถิด ข้าพอใจที่ได้เป็นลูกสาวของท่านแม่ แค่นั้นก็พอแล้ว”
คล้ายความผิดในใจได้รับการชำระล้างออกไป คืนนั้นเป็นค่ำคืนแรกที่แม่เฒ่าฝูได้นอนอย่างเป็นสุข
เรื่องราวของนางน่าจะจบลงเพียงเท่านั้น ทว่าชีวิตที่ยังไม่หมดลมหายใจ จะคาดหวังแต่เรื่องดีๆ ได้เช่นไร
นอกจากจะยังได้เห็นวิญญาณร้ายในชุดแม้ทัพที่จ้องจะมาเอาชีวิตของตัวเองอยู่บ้างบางครั้ง แม่เฒ่าฝูยังต้องเผชิญปัญหาทางโลกอีกด้วย
ข่าวลือมากมายเกิดขึ้นกับบ้านสกุลงัก ทั้งเรื่องของงักหลิวที่ใกล้ตาย หรืองักเจียงที่ทำตัวเป็นนักเลงโต แต่ทั้งหมดไม่น่าหนักใจเท่ากับงักฮัว หลานสาวที่เข้าไปอยู่ในป่านั่น ป่าที่เกิดคดีคนตายห้าสิบสองศพ ป่าที่พรากลูกชายและลูกสะใภ้ของตนไป
แม่เฒ่าฝู คิดหาทางจัดการกับเรื่องนี้มาโดยตลอด นางเชื่อว่าหลานสาวคนนี้ต้องมีบางสิ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องเร้นลับชั่วร้าย เพราะช่วงหลังๆ แม้จะไม่ได้เห็นวิญญาณแม่ทัพบ่อยครั้ง แต่นางมักจะเห็นวิญญาณของลูกชายตัวเองอยู่เป็นประจำ เขาเอาแต่ตามติดงักฮัวไม่ไปไหนไกลนาง รูปร่างหน้าตาของเขาเปลี่ยนไป ดูราวกับปีศาจ แม้คนเป็นแม่จะพยายามพูดคุยสื่อสารด้วย แต่ก็ไม่เป็นผล
จนกระทั่งแม่เฒ่าฝูได้ยินข่าวของคนผู้หนึ่งมาที่เมืองหัวอันแห่งนี้ คนที่เป็นจอมเวทติดต่อสื่อสารกับวิญญาณได้ คนที่ชื่อไป่ยู่ นางจึงตามหาเขาและเมื่อเจอจึงหลอกให้อีกฝ่ายเข้าไปในป่า นางเชื่อว่าเขาจะได้เจอหลานสาวของตัวเอง
เสี่ยวจือเคยถามว่าที่ทำเช่นนี้เพื่ออะไร หากอยากให้รักษาหรือดูว่างักฮัวเป็นอะไรหรือเปล่าทำไมไม่ขอร้องไปตรงๆ ทว่าแม่เฒ่าฝูก็ไม่ได้ให้คำตอบกับอีกฝ่าย ไม่ใช่เพราะนางไม่อยากตอบ แต่แท้จริงนางก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่าคาดหวังสิ่งใด
จะให้ไป่ยู่ที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าว่าเป็นอย่างที่คนอื่นร่ำลือจริงไหม มารักษาอย่างเปิดเผย มันอาจส่งผลร้ายกับครอบครัวหรือหลานสาวมากกว่าที่กังวล และบางทีอาจทำให้วิญญาณของลูกชายที่รักเป็นอันตราย ที่สำคัญหากไป่ยู่ไม่ได้เป็นจอมเวทอย่างที่คาดคิด นั่นจะกลายเป็นเรื่องเลวร้ายเข้าไปอีก
เพราะฉะนั้น สิ่งที่แม่เฒ่าคิดจึงมีเพียงแค่ว่า ให้ไป่ยู่ได้เจอกับงักฮัว แล้วเรื่องที่เหลือค่อยว่ากันทีหลัง โดยที่ตอนนั้นนางไม่ได้รู้เลยว่า มันจะเป็นการนำพาให้ครอบครัวมาถึงจุดๆ นี้ จุดที่ความจริงในอดีตถูกเปิดเผย จุดที่ต้องสูญเสียหลานที่รักไปถึงสองคน จุดที่นางเสียใจ...
.................................
แดดอ่อนสว่างกระจ่างตา โจวหม่าจงบิดตัวแล้วเหยียดแขนออกไปจนสุดเพื่อยืดเส้นยืดสาย พร้อมสูดสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะผ่อนลมหายใจออก เมื่อนึกถึงเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นและจบลงไปเมื่อวานนี้
ไม่รู้ว่าเรื่องไหนกันแน่ที่ควรกังวลใจมากที่สุดในตอนนี้ ระหว่างเรื่องคนสกุลงักที่ตายไปหลังกลายเป็นปีศาจอาละวาดทำร้ายเข่นฆ่าผู้คน ข่าวลือเรื่องนี้ดังไปทั่ว ยิ่งรวมกับการที่สกุลงักจัดพิธีศพของงักเจียงขึ้นยิ่งทำให้คนเชื่อข่าวนั้นแม้ว่ามันจะฟังดูเกินจริง
หรืออีกเรื่อง
เมื่อความจริงเกี่ยวกับตัวตนของแม่เฒ่าฝูเปิดเผยว่าแท้จริงแล้วนางเป็นใคร เรื่องนี้หากแจ้งไปทางราชสำนัก คงหนีไม่พ้นโทษประหารทั้งตระกูล นี่เองที่เป็นสาเหตุให้ไป่ยู่ตั้งเงื่อนไขกับหงซาเถียนว่าห้ามเปิดเผยความจริง ให้จับเพียงคนร้ายที่กระทำความผิดเท่านั้น ก่อนที่จะไปคลี่คลายคดี
แต่ความจริงของเรื่องนี้ใหญ่เกินไปและไม่ได้จบลงง่ายๆ เพียงแค่เจ้าเมืองหัวอันรับปากว่าจะไม่กระทำแล้วสิ้นเรื่องสิ้นราว
ว่าไปจุดนี้ยังมีอีกส่วนที่หม่าจงนึกสงสัย ว่าทำไมไป่ยู่ถึงรู้ความลับที่แม่เฒ่าฝูปิดบังเอาไว้ ขบคิดเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก หรือบางทีจอมเวทคนนี้จะได้ยินเรื่องราวแท้จริงอันดำมืดของตระกูลมาจากคนที่ตายไปแล้วอย่างงักหลอหรืองักเจียงละมั้ง
คิดมากไปก็เสียเวลาเปล่าๆ สู้รอถามกับเจ้าตัวน่าจะได้ความกว่า แต่เรื่องนั้นก็ไม่ได้สำคัญอะไรอีกแล้ว เพราะความจริงเปิดเผยไปหมดแล้ว ที่น่าห่วงยังคงเป็นเรื่องที่ว่าใต้เท้าเถียนจะจัดการยังไงกับเรื่องนี้
และที่น่าห่วงเหนือยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดคือไป่ยู่ยัง...
“รองหัวหน้าจง จะออกเดินทางแล้วเหรอ?” เสียงหนึ่งร้องทัก ทำสติหม่าจงกลับมาที่ต้นเสียง
“ครับ ใต้เท้าเถียน นี่ก็ช้ากว่าที่คาดวันหลายวันแล้ว”
“เป็นเพราะข้ารั้งเจ้าไว้ให้ช่วยงาน ทำให้เจ้าพาหานตงไปกราบอาจารย์ช้ากว่ากำหนด”
“ไม่ใช่เช่นนั้นเหรอครับ เรื่องที่เกิดขึ้นข้าเต็มใจช่วยอยู่แล้ว ใจจริงยังอยากจะอยู่ต่อเพื่อรอให้ทุกอย่างเรียบร้อย เข้าที่เข้าทางกว่านี้ด้วยซ้ำ แต่อยู่ไปก็ช่วยอะไรไม่ได้” หม่าจงกล่าว
“ไม่ต้องห่วงนะ ข้ารับปากว่าจะดูแลพวกเขาอย่างดีที่สุด จะตามหมอมือดีของเมืองอื่นๆ มาดูอาการด้วย” ซาเถียนกล่าวเช่นนั้นเพราะหมอในเมืองนี้มาดูอาการคนเจ็บแล้วได้แต่ส่ายหัว ไม่อาจทำอะไรได้ บอกแค่ว่า มีชีวิตราวกับเหมือนไม่มี ให้ทำใจไว้
“แล้วเรื่องของสกุลงัก... ท่านใต้เท้า... ตัดสินใจยังไงครับ”
ซาเถียนถอนหายใจอย่างจนใจก่อนจะกล่าวตอบ
“หลังไต่สวนเรื่องราว คงได้แต่ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่เคยเป็น เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้วคนที่เหลือในสกุลก็มีแค่ไม่กี่คน อีกอย่างเสี่ยวจือที่ว่าตามหลักคือทายาทที่แท้จริงก็ต้องการเช่นนั้น อย่างไรนางก็รักคนที่เลี้ยงดูนางมา และไม่ต้องการให้มารดาต้องสูญเสียใครอีก งักหลิวเองก็ดูจะสงบเสงี่ยมเจียมตัวขึ้นเยอะ คงไม่สร้างความวุ่นวายอะไรอีกแล้ว”
หม่าจงยิ้มรับ ไม่คิดว่าความซับซ้อนของครอบครัวตระกูลนี้จะจบลงง่ายๆ เช่นนี้ แต่ก็ดีกว่าที่มันจะสับสนมากไปกว่าที่เป็น...