บทที่ 34 : กำไลข้อมือ
บทที่ 34 : กำไลข้อมือ
ตลาดสินค้าหน้าสมาคมพาณิชย์ในช่วงเย็นของวันถัดจากเทศกาลไม่ได้แตกต่างไปจากทั่วไปเท่าไหร่นัก ผู้คนทั้งจากต่างแดนและคนพื้นที่ยังจับจ่ายซื้อสินค้ากันอย่าคึกคักแน่นขนัด เผลอไผลจะคึกคักกว่าวันอื่นๆ ด้วยซ้ำไป เพราะผู้คนที่มาเพื่อชมงานเทศกาลโดยเฉพาะต้องเริ่มเตรียมตัวเดินทางกลับกันแล้วและแน่นอนว่าต้องมีของติดไม้ติดมือกลับไปด้วย อย่างน้อยๆ ก็เป็นของฝากหรือของเตือนใจตัวเองเก็บไว้เป็นความทรงจำว่าครั้งหนึ่งเคยเดินทางถึงเทรียล เพราะไม่มีใครแน่ใจว่าจะมีโอกาสได้กลับมาที่นี้อีกครั้งหรือไม่เพราะตราบใดที่เส้นทางการค้ายังไม่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการยังไงมันก็นับว่าห่างไกล
แต่กระนั้นก็เป็นอันรู้กันในหมู่คนท้องถิ่นว่าร้านค้าที่เปิดอยู่บนถนนเส้นหลักส่วนใหญ่มีไว้ขายให้กับคนนอกหมู่บ้านเท่านั้น เพราะมีแต่ของฝากหรือไม่ก็เป็นสินค้าที่ห้าได้เองในท้องถิ่นอยู่แล้วอีกทั้งราคายังแพงกว่าราคาที่ขายกันเองอยู่ไม่น้อย
ถือว่าเข้าใจตรงกันว่าถ้าหากอยากได้อะไรที่ต้องนำเข้ามาจากต่างหมู่บ้านเป็นพิเศษจะต้องเข้าไปติดต่อกับทางสมาคมพาณิชย์โดยตรงเพื่อให้สมาคมสั่งสินค้าชิ้นนั้นเข้ามากับขบวนคาราวานของเทรียลที่จะเดินทางออกจากหมู่บ้านเดือนละครั้ง ซึ่งสินค้าส่วนใหญ่ที่นำเข้ามาก็มักจะเป็นวัตถุดิบต่างๆ อย่าง สินแร่ อัญมณี หรือผ้าดิบชนิดต่างๆ ซึ่งพวกมันจะถูกนำมาแปรรูปเป็นข้าวของเครื่องใช้ขายให้กับคนในหมู่บ้านอีกทีหนึ่ง
ซึ่งร้านขายสินค้าเหล่านั้นจะถูกจัดแยกเป็นหมวดเป็นหมู่อย่างมีระบบอีกทีในพื้นที่ที่แบ่งเป็นเจ็ดส่วน ซึ่งแยกเอาไว้ด้วยตรอกและซอยทั้งหมดสิบสี่ซอย
เพราะเทรียลมีความแตกต่างหลากหลายทางวัฒนธรรมสูงมากอยู่แล้ว การแบ่งเขตเหล่านี้ก็เพื่อให้ง่ายในการจำแนก โดยที่แต่ละเผ่าพันธุ์ก็จะมีส่วนร้านค้าเฉพาะตามแต่วัฒนธรรมแยกกันไปเป็นชุมชนเล็กๆ ของตัวเอง และมีพื้นที่กลางที่ไม่ได้แบ่งแยกอะไรเป็นพิเศษอีกหนึ่งส่วนสำหรับสินค้าทั่วๆ ไป
แต่ถึงจะมีการจัดระเบียบสินค้าที่แยกส่วนกันชัดเจนแบบนี้แล้ว กระนั้นเทรียลก็ยังเป็นเทรียล การหลอมรวมวัฒนธรรมเกิดขึ้นทุกๆ วันเป็นเรื่องปกติ เผ่าจิ้งจอกชื่นชอบเครื่องประดับของเผ่าเกล็ด ชาวช่างนิยมฟังดนตรีของจิ้งจอก เอลฟ์สายเลือดแท้ก็แทบจะไม่หลงเหลือแล้วมีแต่เลือดผสม ส่วนมนุษย์ก็ดูจะปรับตัวรับเอาทุกวัฒนธรรมมาใช้จนแทบจะไม่เหลืออะไรเป็นของตัวเอง ทำให้แม้แต่ในส่วนเฉพาะที่แยกเอาไว้เองก็มีเผ่าพันธุ์หลากหลายเดินชนหัวไหล่กันจนลายตา
และเช่นกัน ที่ข้างตรอกของส่วนแยกเผ่าจิ้งจอก ตอนนี้ครึ่งเอลฟ์ที่ไม่ได้มีสายเลือดฝั่งไหนเป็นจิ้งจอกกำลังเดินเขย่งก้าวปลายเท้าไปตามทาง สายตาสอดส่ายไปรอบกายแสดงสีหน้าตื่นตาตื่นใจไปกับข้างของเครื่องใช้แบบหุบเขาหยก โดยมีหุ่นสงครามย่างเท้าก้าวเดินตามด้วยท่าทางเรียบเฉย ไม่แสดงออกซึ่งอารมณ์ใดๆ ขนาดผ้าคลุมที่เขาสวมเอาไว้ปกปิดร่างกายยังแทบจะไม่ขยับตามจังหวะก้าว บ่งบอกความบางเบาบนปลายเท้า
“อ๊ะ” เอเดลหยุดเดินอย่างกะทันหันตรงหน้าร้านขายเครื่องประดับ สายตาสะดุดเข้ากับตุ้มหูเล็กๆ ทำจากแก้วสีฟ้า ขึ้นรูปให้ดูคล้ายอัญมณี แต่ใสกว่าและไม่ค่อยสะท้อนเป็นประกาย สวยในแบบของมัน
เธอหยิบตุ้มหูคู่นั้นขึ้นมาดูใกล้ๆ ครู่หนึ่งเหมือนชั่งใจก่อนจะวางกลับที่เดิม เปลี่ยนไปหยิบกำไลลูกปัดขึ้นมาลองสวมแล้วอวดท่าดูตัวเอง แต่สุดท้ายก็วางคืนที่อย่างเดิม
ฮอรัสที่มองอยู่ใกล้ๆ เห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้ถามคำถามอะไรเพียงแค่เอียงคอเก็บความไม่เข้าใจของตัวเองเอาไว้ระหว่างที่สาวเจ้าละจากร้านเครื่องประดับแล้วเดินต่อ แวะร้านนู้นร้านนี้อีกหลายร้าน ส่วนใหญ่เป็นร้านขายเครื่องประดับร้านขายผ้าทอลายแบบจิ้งจอก แต่ก็ไม่ได้ใช้เงินซื้ออะไรติดมือมาเลยแม้แต่อย่างเดียว
จนในที่สุดทั้งคู่ก็เดินมาจนสุดถนนที่แยกฝั่งจิ้งจอกออกจากส่วนตลาดกลาง ซึ่งมีร้านค้าและคนเดินไปมาหนาแน่นกว่าเดิม แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ต่างอะไรจากเดิมมากนักคือเอเดลที่แวะไปหยุดหลายร้านแต่ก็ไม่ได้ซื้ออะไรมาเลย
“สวยจัง” เอเดลเอ่ยเสียงอ่อน ระหว่างที่หยุดมองชั้นกระจกวางสินค้าหน้าร้านขายเครื่องประดับที่ใช้ศิลปะแบบผสมผสาน สายตาเล็งไปที่กำไลถักสีเงินทำจากโลหะสีขาวสะอาดเข้ากับมณีเม็ดเล็กๆ หลากสีสันที่ประกอบร้อยเรียงอยู่บนตัวกำไล ดูงดงามจริงอย่างที่สาวเจ้าว่าไม่มีผิด เพียงแต่ราคาที่ตั้งป้ายไว้นั้นก็พุ่งทะยานสูงตามความงามของมันไปด้วย คือหนึ่งพันเหรียญทองพอดีไม่มีเศษ เทียบเท่ากับค่าตอบแทนรายเดือนของนักผจญภัยระดับหยกถึงสองเดือนเต็ม
ทว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ราคา เพราะตอนนั้นเองที่เจ้าของร้านซึ่งเป็นหญิงสาวเผ่าเอลฟ์เดินออกมาทักทายเอเดลด้วยรอยยิ้ม
จากเขากวางบนศีรษะที่มีเครื่องประดับห้อยอยู่หลากหลายบ่งบอกว่าเธอเป็นเอลฟ์สายเลือดแท้เช่นเดียวกับเอลีอา และถึงจะไม่ได้แก่เท่ากับเอลีอาที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับช่างเหล็กชราของสมาคม แต่จากขนาดของเขากวางอ่อนก็พอจะบอกได้ว่าเธอก็มีอายุพอสมควรทีเดียว
“ถ้าเอเดลสนใจน้าลดราคาให้ได้นะ เห็นมาเล็งอยู่หลายครั้งแล้วนี่จ๊ะ” เจ้าของร้านสาวสวยพูดกับเอเดลด้วยเสียงละมุนนุ่มมีเสน่ห์แบบเอลฟ์ ด้วยเธอเห็นเอเดลแวะมาดูกำไลเส้นนี้ได้สักพักแล้วตั้งแต่เธอนำมันวางขาย
ฝ่ายเอเดลพอเห็นเจ้าของร้านเดินออกมาเช่นนั้นก็ทำท่าผงะไม่ได้ตั้งใจออกมาพริบตาหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงด้วยตื่น
“มะ ไม่เป็นไรค่ะ หนูแค่คิดว่ามันสวยดี แต่มันคงไม่เข้ากับหนูหรอกค่ะ” สาวเจ้าแก้ตอบกลับ พลางแก้ตัวน้ำเสียงอ่อนสายตายังแอบชำเลืองไปที่กำไลเส้นนั้นบ่งบอกว่าความจริงเธอเองก็อยากได้ แต่ชั่งใจแล้วว่าจะไม่ซื้อ
มันจึงเป็นตอนนั้นเองที่แม่ค้าสาวเริ่มใช้ฝีปากของตัวเองเกลี้ยกล่อมขายของ
“ทำไมถึงดูถูกตัวเองแบบนั้นล่ะจ้ะ เครื่องประดับจะส่องประกายที่สุดก็ตอนที่มันถูกสวมอยู่บนตัวของผู้หญิงนะรู้มั้ย ยิ่งเป็นสาวสวยอย่างหนูเอเดลด้วย น้ารับรองเลยว่าผู้ชายทุกคนบนโลกคงจะมองแบบไม่ละสายตาเลยล่ะ” เอลฟ์สาวชักแม่น้ำกล่าวอย่างนุ่มนวล แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเมื่อเอเดลฝืนยิ้มแข็งๆ ออกมาเป็นการตอบรับ
“นั่นมันออกจะฟังดูน่ากลัวมากกว่านะคะ แหะๆ .” เธอเอ่ยเสียงค่อย แล้วหัวเราะแห้งๆ พลางจินตนาการภาพตัวเองโดนรุมจ้องแล้วไม่น่าพิสมัยซักเท่าไหร่ “แต่ที่หนูหมายถึงมันไม่เข้ากันทีว่า เพราะหนูคงไม่มีโอกาสได้ใส่หรอกค่ะ ไหนจะต้องฝึกซ้อม ไหนจะต้องออกไปทำภารกิจ ถ้าใส่ไปมีหวังทำพังแน่ๆ” เอเดลอธิบาย ต่อหน้าเจ้าของร้านและฮอรัสที่ยืนฟังอยู่ใกล้ๆ ตั้งแต่แรกเพียงแค่ไม่ออกความเห็น ทำสิ่งที่ตัวเองถนัดเสมอนั่นคือการกลืนไปกับสิ่งแวดล้อม
“งั้นก็โชคร้ายจังเลยนะจ๊ะ น้าเสียดายแทนกำไลเส้นนี้จังที่อดไปอยู่กับเจ้าของสวยๆ แบบเอเดล” เจ้าของร้านยังไม่วายใช้คารมทิ้งท้ายเผื่ออีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจ
ด้วยเธอเองก็รู้ว่าสาวน้อยถ้าจะซื้อก็ซื้อได้ เธอมีเงินมากพออยู่แล้ว ลำพังเงินเดือนในฐานะนักผจญภัยระดับหยกแต่เดิมถึงจะไม่ได้เยอะอะไรนัก แต่มันยังไม่ได้เอาไปรวมกับรายได้เสริมจากภารกิจเปิดกว้างที่หากขยันสักหน่อยก็ถือว่าดีทีเดียว
แต่ยังไงรายได้หลักสำคัญที่สุดของเอเดลก็ยังมาจากสิ่งที่เรียกว่า ‘ค่าขนมติดกระเป๋า’ ที่เอลีอายัดเยียดให้มาอยู่ดี เพราะว่ากันตามตรง มันมากกว่าเงินเดือนของเธอกับเงินรางวัลภารกิจรวมกันซะอีก
“งะ งั้น.. หนูไปก่อนนะคะ” เอเดลตัดบทพูด พลางเหลือบไปมองฮอรัสส่งสายตาเป็นสัญญาณว่า ก่อนจะถอนตัวเดินนำออกไปก่อนโดยไม่รอ เพราะไม่อยากอยู่ต่อให้กิเลสพอกหนามากกว่านี้
ฮอรัส ถึงจะเห็นสายตานั้นแล้วแต่ก็ไม่ได้เดินตามไปในทันที แต่ยังยืนยิ่งที่เดิมเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง ก่อนเขาหันไปทางตู้กระจกที่วางกำไลเส้นนั้นเอาไว้
“ถ้าจะได้กำไลเส้นนั้น ผมต้องใช้เงินแลกใช่รึเปล่า” ฮอรัสเอ่ยเสียงต่ำเรียบเฉย เรียกความสนใจจากเจ้าของร้านให้หันมามองชายหนุ่มผู้มีดวงตาสีนิลในชุดคลุมปกปิดร่างกายไม่ให้เห็นว่าแขนขาดไปข้างหนึ่ง
“หืม ใช่จ้ะ.. ว่าแต่เธอคือฮอรัสสินะจ๊ะ ได้ยินแต่ที่เขาเล่ากันได้เจอตัวจริงสักที ยังไงก็ขอบคุณนะจ๊ะที่ปกป้องพวกเราเอาไว้” เจ้าของร้านเห็นรูปพรรณตรงกันกับที่ทุกคนเล่ากันเช่นนั้นจึงก็กล่าวแสดงความของคุณออกมา
แต่ดูฮอรัสจะไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้นเท่าไหร่นัก
“คุณไอน์บอกว่าผมจะได้ค่าตอบแทนเดือนละเจ็ดร้อยเหรียญทอง มันพอแลกรึเปล่า” ฮอรัสวกกลับเข้าเรื่องที่ตั้งใจเอาไว้ เป็นการสื่อความหมายอย่างชัดเจนว่าถึงเขาจะยังไม่ค่อยเข้าใจระบบการซื้อขายแลกเปลี่ยนด้วยเงินเท่าไหร่นักแต่เขาก็ตั้งใจอยากได้กำไลข้อมือเส้นนั้น ทำเอาแม่ค้าสาวเผลอทำตาโต
“เอ๋! ... อืม อย่างงี้นี่เอง” แม่ค้าสาวอุทาน ก่อนจะใช้สายตาหรี่มองฮอรัสแวบหนึ่งแล้วเหลือบไปทางเอเดลที่ยังเดินออกไปไม่ไกลเท่าไหร่นัก เธอทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ฉีกยิ้มแก้มแดงออกมา “แหม่ๆ ๆ ก็ได้จ้ะ ถ้าเป็นเธอล่ะก็เจ็ดร้อยก็พอ”
“ผมจะได้เงินในอีกสิบห้าวัน”
“งั้นฉันจะเก็บเอาไว้ให้จนกว่าจะเอาเงินมาจ่ายแล้วกันนะ ตกลงมั้ย” เจ้าของร้านสาวเสนอ ซึ่งฮอรัสก็ไมได้ตอบอะไรออกไปนอกจากพยักหน้าเป็นการยืนยันว่าเขาตกลง ก่อนจะรีบเดินตามเอเดลไป ทิ้งให้เอลฟ์สาวเจ้าของร้านยืนยิ้มมองไล่หลังหนุ่มสาวทั้งคู่ด้วยสายตาเป็นประกาย “แหม่ หนูเอเดลโตขนาดนี้แล้วหรอเนี่ย” เธอเอ่ยกับตัวเองแล้วหัวเราะเบาๆ
“ทำอะไรของนาย ทำไมถึงได้นานนัก” เอเดลที่เห็นฮอรัสเพิ่งจะเดินมาก็เอ่ยขึ้นมา แต่ไม่ได้ใส่ใจเอาคำตอบจริงจัง “มาเถอะ ร้านนี้แหละ” เอเดลยิ้มเล็กน้อยแล้วพาฮอรัสเดินเข้าไปในร้านขายอุปกรณ์เครื่องหนังขนาดใหญ่ อาจจะใหญ่ที่สุดในตรอกนี้เลยด้วยซ้ำ
ทันทีที่ทั้งคู่เปิดประตูเข้ามาในร้านเสียงกระดิ่งที่แขวนเอาไว้ก็ดังขึ้นเบาๆ เป็นสัญญาณให้รู้ว่ามีคนมา แต่กระนั้นก็ยังไม่มีวี่แววว่าเจ้าของร้านจะออกมาต้อนรับ ปล่อยให้เอเดลและฮอรัสค่อยๆ เดินสำรวจต่างๆ ภายในร้านซึ่งแบ่งออกเป็นสองส่วนแยกกัน ตรงกลางเป็นเคาน์เตอร์ล้อมรอบไปด้วยราวไม้แขวนเครื่องหนังทั้งกระเป๋า หมวก รองเท้าไปจนถึงอุปกรณ์อื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน
แต่นั่นเป็นเพียงแต่ส่วนเดียวของร้านนี้เท่านั้น เพราะไม่ไกลกันยังมีทางเดินแคบๆ เชื่อมไปอีกห้องด้านหลังซึ่งทะลุไปถึงร้านขายเสื้อผ้าอีกร้านหนึ่งที่เชื่อมติดกันได้ บ่งบอกว่าคงมีเจ้าของคนเดียวกัน
เอเดลไม่รอเจ้าของร้าน เธอค่อยๆ เดินเลือกไปตามชั้นแขวน หยิบๆ จับๆ พลิกดูราคา วางกลับที่แล้วก็เดินไปดูชิ้นอื่นทำแบบนี้มาเรื่อย พร้อมกับฮอรัสที่เดินตามมาติดๆ เหมือนเด็กกลัวหลงทั้งที่ร้านนี้ก็ไม่ได้ใหญ่อะไรขนาดนั้น
“ฮึ่ม!!” จนกระทั่งตอนนั้นเองที่เสียงผู้หญิง แต่ทุ้มเข้มหนักหน่วงดังขึ้นจากด้านล่าง พร้อมกับที่หญิงชาวช่างดูมีอายุตัวเล็กจะใช้สายตาดุกร้าวจ้องมองเอเดลขึ้นมาจากระดับเอว พร้อมกันก็แอบเหลือบมองไปที่ฮอรัสด้วยพร้อมกัน “จะเอาอะไร” เธอเอ่ยเสียงดุ
“อ่ะ เอ่อ.. คุณกอนน์คะ นี่หนูเอเดลเองค่ะ” เอเดลเห็นสีหน้าเกรี้ยวกราดของเจ้าของร้านชาวช่างเช่นนั้นก็เข้าใจได้ทันทีเพราะเธอไม่เห็นแว่นสายตาอยู่บนนั้น ฝ่ายเจ้าของร้านเองพอได้ยินเสียงอันคุ้นเคยแบบนั้นก็เปลี่ยนน้ำเสียงตอบกลับไปทันที
“อ้าว เอเดลเองหรอจ๊ะ ว่าไงวันนี้อยากได้อะไรรึเปล่า” หญิงชาวช่างเปลี่ยนเสียงเป็นอ่อนโยน จนฮอรัสที่มองอยู่ใกล้ๆ ก็ยังต้องเอียงคอไม่เข้าใจ แต่ทว่าท่าทางเป็นกันเองเช่นนั้นดูจะใช้ได้เอเดลคนเดียว เพราะตอนที่นางเหลือบตามามองฮอรัสก็ยังใช้สีหน้าดุอยู่เหมือนเดิม
“คือ ปลอกแขนกับถุงมือยิงธนูของหนูมันขาดไปแล้วน่ะค่ะ”
“ได้สิ ไม่มีปัญหาหรอก...เอ แต่เพิ่งเปลี่ยนไปเองไม่ใช่หรอ ทำไมขาดเร็วนักล่ะ”
“คือ... สายธนูคันใหม่มันดีดแรงกว่าอันเดิมนิดหน่อยน่ะค่ะ” เอเดลพูดขัดๆ ไม่เต็มปาก เพราะคำว่านิดหน่อยที่ว่านั้น คือดีดแรงจนปลอกแขนอันเดิมขาด สายรั้งสะบัดเข้าเนื้อจนเลือดสาดเป็นแผลฉกรรจ์เลยทีเดียว จนตอนนี้ถ้าสังเกตดีๆ ก็ยังมีสะเก็ดแผลอยู่บนท่อนแขนให้เห็นอยู่เลย เช่นกันกับนิ้วมือที่ก็มีแผลคล้ายๆ กัน “ถ้าเป็นไปได้คราวนี้ขอหนากว่าเดิมสักสองเท่าหรือไม่ ใส่แผ่นเหล็กเสริมไปเลยก็ได้ค่ะ”
“ได้จ้ะ ขนาดเท่าเดิมไม่ได้อ้วนขึ้นนะ” เจ้าของร้านถามพร้อมกับหัวเราะเสียงดังเป็นการหยอกเล่น เธอจำขนาดสำหรับตัดเย็บให้เอเดลได้แม่นอยู่แล้ว ด้วยว่าเอเดลเป็นนักธนูเพียงคนเดียวในหมู่บ้านแห่งนี้ที่ใช้งานปลอกแขนกันสายธนูตีกลับและถุงมือสำหรับปกป้องนิ้วหนักกว่าใครจนต้องเปลี่ยนทุกๆ สี่ห้าเดือน ยังไม่รวมพวกชุดเกราะหนังและอุปกรณ์ต่างๆ ที่เธอมักจะมาใช้บริการของที่ร้านนี้เป็นประจำ “เอาแค่นี้นะ?” เจ้าของร้านถามต่อรอฟังคำตอบ
เอเดลพอได้ยินแบบนั้น ก็ทำหน้าครุ่นคิดก่อนจะหันไปทางฮอรัสที่ยังยืนนิ่งสวมผ้าคลุมปกปิดร่างกาย ซึ่งพอดูดีๆ แล้วผ้าคลุมที่ว่านั่นมันคือผ้าห่มจากสถานพยาบาลชัดๆ
“เอ่อ งั้นทำอะไรให้หมอนี่ได้บ้างคะ” เอเดลพูดถึงฮอรัส ก่อนที่เจ้าของร้านชาวช่างจะหยิบแว่นขึ้นมาสวม แล้วเดินเข้าไปพินิจพิจารณารูปลักษณ์ภายนอกของฮอรัสครู่หนึ่ง ก่อนแค่นเสียงลมหายใจเบาๆ กระชากผ้าคลุมออกจากตัวเขาเผยให้เห็นเครื่องแต่งกายที่เป็นเพียงเสื้อและกางเกงฝ้ายบางๆ เย็บขึ้นมาแบบง่ายๆ โดยใช้ชุดทำสวนมาปรับแต่งใหม่ให้เข้ารูปกับผู้ชายตัวสูง
เพียงแค่มองปราดเดียวหญิงชาวช่างก็รู้ได้ทันทีว่านี่คือฝีมือเย็บปักของเอลีอา นางอาจจะเป็นหมอปรุงยาที่ยอดเยี่ยมแต่เป็นแม่ศรีเรือนที่เย็บปักถักร้อยได้ห่วย อย่างเดียวที่ผิดแปลกจนเจ้าของร้านต้องส่งเสียงประหลาดในลำคอคือแขนที่กุดไปจนเห็นกระดูกโลหะเท่านั้น แต่เธอเป็นมืออาชีพพอจึงไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่นัก
“หื่อ... ทำอะไรได้บ้าง? ก็หลายอย่าง เสื้อ กางเกง เข็มขัด รองเท้า... ผ้าคลุมไหล่ ถ้ายังอยากได้น่ะนะ แล้วก็ เป็นนักผจญภัยด้วยใช่มั้ยล่ะ งั้นก็ต้องมีกระเป๋าคาดเอว เข็มขัดอุปกรณ์ เป้เล็กๆ ซักใบ เกราะหนัง... อืมปลอกมีดพกอยู่ไหนล่ะ ไม่ได้นะมีดเนี่ยยังไงก็ขาดไม่ได้ สายคาดไหล่ สายรัดข้อเท้ากับกระเป๋าเก็บสมุนไพร กระเป๋าโพชั่น เป็นนักผจญภัยเนี่ยยิ่งกระเป๋าเยอะยิ่งดีนะรู้มั้ย... ว่าไงเอาอะไรมั้งจ๊ะ” เจ้าของร้านร่ายรายการที่ฮอรัสต้องมีออกมายาวยืด รวมทั้งหมดแล้วราคาน่าจะทะลุเกินห้าหรือหกร้อยเหรียญทองได้สบายๆ สำหรับงานเครื่องหนังและเสื้อผ้าจากร้านที่ดีที่สุดในเทรียล
“เอาทั้งหมดนั่นเลยค่ะ” เอเดลเอ่ยเรียบๆ