บทที่ 18 เอาสือเสี่ยวไป๋ของฉันคืนมา
บทที่ 18 เอาสือเสี่ยวไป๋ของฉันคืนมา
ถึงแม้ว่าสือเสี่ยวไป๋ในสายตาของหลีจื่อจะเป็นแค่คนโง่ แต่กลับเป็นอัจฉริยะผู้ฝึกฝนพลังจิตอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าจะเป็นระดับสติปัญญาและยีนผู้มีพลังจิตพิเศษระดับ S คู่ หรือ สมญานามจิตสัมผัสแห่งเทพของจิตสัมผัสเทพทั้งหก ไม่ว่าอันไหนล้วนเป็นพรสวรรค์ของผู้มีพลังจิตที่ทุกคนถวิลหาแม้ในยามฝัน
แม้ว่าระดับขั้นของสือเสี่ยวไป๋จะอยู่ระดับ S– แต่ในใจของ [ไกอา] ชั้นสูงและหลีจื่อล้วนรู้ดี แท้จริงแล้วระดับของสือเสี่ยวไป๋ควรจะเป็น S+ เพราะในการทดสอบความสามารถสือเสี่ยวไป๋ยิงไปเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ในเมื่อเขาเป็นผู้ครอบครองจิตสัมผัสแห่งเทพ ขอแค่ตั้งใจอีกนิดในการทดสอบความสามารถ การจะเป็นที่หนึ่งง่ายซะยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก
และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ฐานะของสือเสี่ยวไป๋ห่างไกลเกินกว่าเด็กใหม่ระดับ S- อีกคนของปีนี้ หัวหน้าระดับสูงโง่ถึงขนาดที่ว่าขอให้หลีจื่อช่วยทำให้สือเสี่ยวไป๋รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนของ [ไกอา] หลีจื่ออยู่ในฐานะใด? ไม่ต้องพูดถึงฐานะของตระกูลวังทักษิณในเซี่ยกั๋วหรอก แค่หลีจื่อเป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวของอีเฉวียนและยังเป็นพอนทัสแห่งมหาสมุทรของรุ่นนี้ ถ้าเกิดบีบบังคับจนหลีจื่อไม่พอใจ ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กที่จะปรับความเข้าใจกันได้ง่ายๆ แต่หัวหน้าระดับสูงก็ยังยินยอมที่จะเสี่ยง แค่นี้ก็สามารถมองเห็นถึงความสำคัญของสือเสี่ยวไป๋สำหรับพวกเขาแล้ว
เพราะงั้น ต่อให้หลีจื่อไม่อยากจะยอมรับ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเจ้าโง่สือเสี่ยวไป๋คนนี้เป็นอัจฉริยะจอมวายร้ายที่สุดที่เธอเคยพบเจอแล้ว
แต่ทว่าเรื่องที่ทำให้ผู้คนช๊อคยิ่งกว่าคือ ในขณะที่สือเสี่ยวไป๋เป็นอัจฉริยะ ก็เป็นผู้อ่อนแอด้วย สือเสี่ยวไป๋มีพรสวรรค์พลังจิตที่ทุกคนหวาดกลัว แต่กลับไม่ใช่ผู้มีพลังจิต หรือจะพูดได้ว่าเขาไม่ทันได้เริ่มการฝึกพลังจิต ไม่ได้กล่าวเกินจริงก็คือไม่ว่าจะเป็นข่ายเหวินหรือหยางหยางต่างก็สามารถคว่ำสือเสี่ยวไป๋ได้โดยง่าย แม้แต่โลลิน้อยสี่ห้าขวบอย่างจงเยว่เอ๋อ ก็เป็นไปได้สูงว่าสือเสี่ยวไป๋จะไม่สามารถเอาชนะได้
ความขัดแย้งนี้เป็นสิ่งที่หลีจื่อสงสัยมาโดยตลอด สือเสี่ยวไป๋อายุตั้งสิบสามแล้วทำไมถึงยังไม่ได้เริ่มฝึกพลังจิต? ลูกศิษย์ลูกหาบางส่วนในโลกฮีโร่นี้ เริ่มฝึกพลังจิตกันตั้งแต่อายุสองสามขวบ อย่างเช่น จงเยว่เอ๋อเป็นต้น ต่อให้ช้าหน่อยอย่างชาวบ้านธรรมดาก็เริ่มฝึกตั้งแต่อายุหกเจ็ดขวบ เพราะหลักสำคัญที่สุดในการศึกษาภาคบังคับ 9 ปีของโลกนี้คือการสอนให้ฝึกพลังจิตไง
หลีจื่อเริ่มคิดว่าสิ่งที่สือเสี่ยวไป๋พูดเล่นเป็นเรื่องจริง หรือว่าสือเสี่ยวไป๋มาจากโลกอื่นจริงๆ?
หลีจื่อพบว่ายิ่งตัวเองรู้จักสือเสี่ยวไป๋มากเท่าไหร่ก็ยิ่งมองเขาไม่ออก หลังจากเกิดเรื่องขึ้นมากมายในวันนี้ สือเสี่ยวไป๋ในใจของเธอเหมือนจะมีม่านหนาประหลาดบังไว้อีกชั้นหนึ่ง ราวกับว่าสือเสี่ยวไป๋ตรงหน้าเธอเป็นภาพลวงตา เป็นความจริงที่สัมผัสไม่ได้
แต่ตอนนี้เวลานี้ สือเสี่ยวไป๋ใช้คำๆ เดียวก็ทำลายความลึกลับทั้งหมดลง ได้ตีฉากกั้นลวงตานั้นให้แตกละเอียด ทำให้หลีจื่อรู้สึกได้ถึงความอุ่นร้อนของความเป็นจริง
“ฉันอยากแข็งแกร่ง ช่วยฉันนะ”
ได้ยินคำที่คล้ายอ้อนวอนนี้แล้ว มุมหนึ่งของใจของหลีจื่อก็อ่อนยวบ คล้ายกับว่ามีเข็มล่องหนเจาะเบาๆ เป็นความรู้สึกยังไงกันนะ…เปรี้ยวนิดๆ จั๊กกะจี้หน่อยๆ อบอุ่นเล็กๆ แต่จริงที่สุด
เธอคิดว่า อา...ที่แท้นี่ก็คือสือเสี่ยวไป๋
มีพรสวรรค์ที่ทุกคนถวิลหาอยู่แท้ๆ กลับกระหายในการมีพลังที่แท้จริง คิดว่าตัวเองสูงส่งกว่าใครคอยยกตนเป็นข้าแท้ๆ กลับรู้ถึงความอ่อนแอของตัวเองกว่าใครๆ เป็นคนที่สามารถโอ้อวดหยิ่งผยองมากกว่าใครแท้ๆ กลับดึงมือเธอไว้อย่างกล้าๆ กลัวๆ เอ่ยร้องขออย่างนุ่มนวลเช่นนี้ ยามสนทยาวันนั้นที่เขาร้องไห้จนแทบจะขาดใจ ไม่ใช่เพราะว่ากลัว แต่เพราะรู้สึกผิดสินะ? เขาน่ะ ที่แท้กระหายอยากจะเป็นผู้แข็งแกร่งมากกว่าใครๆ เขาน่ะคิดอยากจะปกป้องเด็กอ้วนคนนั้นนี่นา! มิหน่าล่ะ อาจารย์อีเฉวียนถึงได้พูดว่าเขาเป็นเด็กที่กล้าหาญคนหนึ่ง
สือเสี่ยวไป๋คนนี้จริงใจและน่ารักมากๆ
นาทีนี้หลีจื่อรู้สึกตื้นตันใจอย่างมาก
“หึหึ สาวน้อยเธอเป็นคนของข้าแล้ว ข้าขอสั่งให้เธอช่วยข้าให้แข็งแกร่ง!” ทันใดนั้นเสียงฮึกเหิมของสือเสี่ยวไป๋ก็ดังขึ้น
หลีจื่อที่กำลังคิดไปต่างๆ นานา เมื่อได้ยินคำกล่าวของสือเสี่ยวไป๋ถึงกับตะลึงงัน ในใจมีลางสังหรณ์ถึงลางร้าย
“ข้าถูกเทพชั่วร้ายผนึกโลหิตไว้เก้าพันเก้าร้อยแปดสิบเอ็ดชั้น มีเพียงพยายามแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่องเท่านั้นถึงจะปลดผนึกได้ เมื่อข้าปลดผนึกได้ทั้งหมดแล้ว ใต้หล้านี้จะไร้ซึ่งศัตรู!”
ถึงตอนนี้หลีจื่อเดาตอนจบได้แล้ว เธอเกือบจะยกมือขึ้นมาปิดหูไม่ฟังถ้อยความต่อไป
แต่ในวินาทีต่อมา เสียงหัวเราะอันแสนคุ้นเคยของสือเสี่ยวไป๋ก็ดังขึ้นอีกครั้ง “อุวะฮะฮ่า หัวเราเถิด ยินดีเถิด สาวน้อย เมื่อข้าไร้ศัตรูเมื่อไหร่ ก็จะครอบครองโลกใบนี้!”
หลีจื่ออยากจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก เจ้าโง่คนนี้แค่สามวินาทีก็ทนไม่ได้ ทำให้เธอหลงซาบซึ้งใจไปตั้งนาน
ที่แท้เมื่อกี๊เธอก็แค่ซาบซึ้งใจไปเอง!
หลีจื่อยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห เห็นสือเสี่ยวไป๋ยังคงคุยโวว่าปลดผนึกเเล้วจะไร้เทียมทานแค่ไหนอยู่ตรงนั้น ก็ยิ่งรู้สึกว่าสือเสี่ยวไป๋ในความคิดของเธอกับสือเสี่ยวไป๋ที่อยู่ตรงหน้าแตกต่างกันมากเหลือเกิน
“คนเลว เอาสือเสี่ยวไป๋ของฉันคืนมา!”
เวลานี้ หลีจื่อทนไม่ไหวยื่นมือไปจับคอสือเสี่ยวไป๋ไว้มั่น
….
หลีจื่อ “ทารุณ” สือเสี่ยวไป๋อยู่ฝ่ายเดียวครู่หนึ่ง ปากร้องตะโกน “เอาสือเสี่ยวไป๋ของฉันคืนมา” ไม่หยุด สือเสี่ยวไป๋ก็ตะโกนตอบอย่างน้อยใจว่า “ข้าก็คือสือเสี่ยวไป๋ไง!” ไม่หยุด
หลังจากวุ่นวายกันสักพัก หลีจื่อก็มีเหงื่อโทรมกาย จึงรีบรุดอยากจะไปอาบน้ำ ด้วยความเคยชินกับการพันผ้าขนหนูผืนเดียวเดินอยู่บ้าน ไม่ทันระวังจนเผย‘แสงวสันต์สาดส่อง[1]’ให้สือเสี่ยวไป๋ได้ชม ก่อนจะร้องกรี๊ดพลางประทุษร้ายสือเสี่ยวไป๋ไปยกหนึ่ง
สือเสี่ยวไป๋ที่ได้รับเคราะห์อย่างไม่ทันคาดคิดก็แผ่หราบนโซฟาอย่างน้อยใจ
หลีจื่อผู้สาแก่ใจแล้วก็นั่งลงที่โซฟาอีกตัวหนึ่ง เริ่มซักถามถึงความรู้ในตอนนี้ของสือเสี่ยวไป๋ ความจริงแล้วเธอเป็นติวเตอร์คนใหม่ของสือเสี่ยวไป๋ การทำความเข้าใจและช่วยเหลือสือเสี่ยวไป๋เป็นหน้าที่ของเธออยู่แล้ว
หลังจากซักถามอย่างต่อเนื่อง หลีจื่อก็ตะลึงค้างไปเลย เพราะสือเสี่ยวไป๋ไม่เข้าใจอะไรเลย แม้กระทั่งเรื่องพื้นฐานที่สุดอย่างผู้มีพลังจิตก็รู้แค่เพียงผิวเผิน
“ดังนั้นนายไม่รู้เลยว่าอะไรคือระดับสติปัญญา อะไรคือยีนผู้มีพลังจิตพิเศษ สัมผัสแห่งเทพทั้งหกคืออะไรก็ไม่รู้สักนิด?” หลีจื่อถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ชิ ข้าก็แค่ไม่อยากจะรู้!” สือเสี่ยวไป๋ทำหน้าไม่พอใจ
เจ้าโง่คนหนึ่งที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักนิดดันมีทุกสิ่งทุกอย่าง หลีจื่อเริ่มรับรู้ถึงความโหดร้ายของโลกใบนี้เสียแล้ว
เธอทำได้เพียงถอนหายใจ เอ่ยว่า “อีกเจ็ดวัน การรับเด็กใหม่ขององค์กรก็จะยุติลง แล้วการฝึกอบรมเด็กใหม่ของ [ผู้ทำลาย] รุ่นนี้ก็จะเริ่มขึ้น ความรู้พื้นฐานพวกนี้เดี๋ยวหลังจากนี้นายค่อยๆ เรียนรู้ไป แต่มีเรื่องหนึ่งที่ไม่อาจผลัดผ่อนได้”
“เรื่องอะไร?” สือเสี่ยวไป๋ถามขึ้น
“ฝึกพลังจิต!”
หลีจื่อเอ่ยอย่างจริงจังขึ้นว่า “พลังที่ต่ำที่สุดของเด็กใหม่ [ผู้ทำลาย] รุ่นนี้คือขั้นปฐมจิตชั้นหนึ่ง สูงสุดก็อยู่ที่ขั้นปฐมจิตชั้นสี่แล้ว ส่วนนายเป็นถึงเด็กใหม่ระดับสูงที่สุดของ [ผู้ทำลาย] กลับไม่มีแม้แต่ปฐมจิตชั้นหนึ่ง จะกลายเป็นเรื่องน่าหัวเราะไป”
ทันใดนั้นหลีจื่อเหมือนจะคิดอะไรได้ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรครู่หนึ่ง ฝั่งปลายสายก็รับ เธอพูดเสียงเบาว่า “อาจารย์อีเฉวียน…”
หลังจากคุยโทรศัพท์กับอีเฉวียนไม่กี่นาที หลีจื่อก็ผุดรอยยิ้ม มองมาทางสือเสี่ยวไป๋ก่อนยิ้มพลางเอ่ยว่า “ยิ้มเถอะ อาจารย์อีเฉวียนตกลงให้สอนวิธีฝึกพลังจิตเฉพาะของเราให้นาย นี่เป็นความใฝ่ฝันของใครหลายๆ คนเลยนะ แม้ว่าภายในเวลาแค่เจ็ดวันจะต้องฝึกพลังจิตให้ถึงขั้นปฐมจิตชั้นหนึ่งจะเป็นเรื่องยาก แต่จากพรสวรรค์ของนายแล้ว พยายามสักหน่อยจะต้องทำได้แน่”
ในใจหลีจื่อได้เริ่มวางแผนว่าเจ็ดวันนี้จะ “ฝึกฝน” สือเสี่ยวไป๋อย่างไรไว้แล้ว
เธอไม่ทันสังเกตว่า ไฟกระหายต่อสู้ได้ลุกโชนอยู่ในดวงตาของสือเสี่ยวไป๋ที่แผ่หราอยู่บนโซฟา ราวกับว่ากำลังลุกไหม้ด้วยขวัญกำลังใจที่แน่วแน่
“ข้าแทบทนรอไม่ไหวแล้ว!”
[1] แสงวสันต์สาดส่อง หมายถึง การเปิดเผยของลับ เช่น หน้าอก เป็นต้น