บทที่ 18 การต่อสู้อันดุเดือดด้านในประตูหมุน
บทที่ 18 การต่อสู้อันดุเดือดด้านในประตูหมุน
ถ้าอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีลักษณะภูมิประเทศสลับซับซ้อน การจะสลัดซอมบี้นับยี่สิบกว่าตัวนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่บริเวณนี้นอกจากถนนใหญ่ที่กว้างขวางแล้ว ก็เหลือแต่ตึกสูงระฟ้าที่เรียงรายอยู่ตามข้างถนนเท่านั้น แล้วในสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคยกับเส้นทาง หากวิ่งเข้าไปในซอยอย่างหลับหูหลับตา ก็รังแต่จะตายเร็วขึ้น
แล้วมันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะวิ่งไปด้วยกันกับซอมบี้ฝูงนี้ หลิงม่อ เย่เลี่ยนและซย่าน่าต่างก็มีกำลังกายที่ไม่เลว แต่หลิวอวี่หาวเริ่มออกอาการหอบแฮกเสียแล้ว ส่วนคนอื่นยิ่งแล้วใหญ่ พวกเขาดูท่าทางจะล้มลงไปได้ทุกเมื่อ หากไม่ใช่เพราะชีวิตตกอยู่ในอันตรายล่ะก็ พวกเขาก็คงล้มฟุบไปแล้ว
ที่สำคัญที่สุดคือมีซอมบี้วิ่งตามมามากขึ้นเรื่อยๆ หนำซ้ำยังเข้าใกล้พวกเขาเข้าไปทุกที
อย่างไรก็ตามระหว่างที่วิ่งหนีอยู่นี้เอง ข้างหน้าก็มีซอมบี้ปรากฏตัวขึ้นจำนวนไม่น้อยเช่นกัน ขอแค่พวกเขาหยุดพักไปสักนิดเดียว ระยะห่างก็จะร่นใกล้เข้ามาทันที หากเป็นแบบนี้ต่อไป อีกไม่นานพวกเขาจะต้องถูกโจมตีขนาบหน้าหลังแน่นอน
“ทางนี้! ใช้ที่กำบังจัดการพวกมัน!”
เมื่อเห็นว่าสลัดไม่หลุดแล้วจริงๆ หลิงม่อก็หันไปมองรอบๆ แล้วชี้ไปที่อาคารพาณิชย์หลังหนึ่งพลางพูด
ถึงดูเหมือนชี้ไปแบบส่งเดช แต่ที่จริงแล้วในละแวกนี้อาคารพาณิชย์หลังนั้นเป็นที่หลบภัยที่เหมาะสมที่สุดแล้วจริงๆ มีประตูหมุนแค่หนึ่งจุด แถมประตูก็ค่อนข้างแคบ แล้วถึงแม้จะมีทางเข้าทางอื่นอีกก็ไม่เป็นปัญหา เพราะพวกเขาแค่ต้องกำจัดซอมบี้พวกนี้ทิ้ง ทีนี้ก็จะออกไปจากตึกนี้ได้ทันที
พอพูดจบ หลิงม่อก็พาเย่เลี่ยนวิ่งพุ่งไปที่อาคารหลังนั้นทันที ส่วนซย่าน่าก็รีบกวักมือเรียกและพาคนกลุ่มนี้วิ่งไป
ทุกคนเพิ่งจะเบียดเข้าประตูหมุนมาได้ พวกซอมบี้ก็พุ่งมาถึงตรงหน้าแล้ว แต่ละตัวใบหน้าบิดเบี้ยว ดวงตาแดงก่ำไร้ความรู้สึกและเปี่ยมด้วยความกระหายเลือด อีกทั้งยังมีกลิ่นคาวเลือดแรงโชยมาเตะจมูก แม้ว่าจะมีประตูหมุนกั้นกลางอยู่ แต่การเผชิญหน้ากับซอมบี้มากมายและใกล้ขนาดนี้ ก็ยังคงทำให้คนกลุ่มนี้ตกใจกลัวจนตัวสั่นเทิ้มไม่หยุดอยู่ดี
ซอมบี้ฝูงนี้รวดเร็วเหลือเกินจริงๆ จนทำให้พวกหลิงม่อเพิ่งจะเข้าประตูหมุนมาได้ ก็ต้องหันไปปะทะสู้กับพวกมันแล้ว
แต่ข้อได้เปรียบด้านองศามุมที่ประตูสไตล์คาร์เมนได้ทำขึ้นมานั้นทำให้พวกเขาสบายขึ้นมากทีเดียว อย่างน้อยก็ไม่ต้องเผชิญหน้าซอมบี้ทีเดียวพร้อมกันยี่สิบกว่าตัว อย่างมากก็เบียดเข้ามาได้ครั้งละสามสี่ตัว แล้วทันทีที่โผล่หัวเข้ามาก็ถูกพวกหลิงม่อฟันฉับเข้าให้ ในสถานการณ์เช่นนี้ หากให้เย่เลี่ยนออกโรงเอง ก็คงจะจัดการได้รวดเร็วกว่า เพราะว่าเธอใช้มือเปล่า ซึ่งเมื่อเทียบกับพวกหลิงม่อที่ใช้อาวุธแล้ว วิธีแบบเย่เลี่ยนสะดวกกว่าเยอะ
ทว่าคงมีแต่หลิงม่อคนเดียวที่คุ้นชินกับวิธีการฆ่าแบบโหดเหี้ยมเลือดสาดของเย่เลี่ยน...ถ้าพวกซย่าน่าเห็นเข้า ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกันบ้าง
แต่ขณะที่พวกหลิงม่อกำลังป้องกันรักษาประตูและต่อสู้กันอย่างตึงเครียด พวกเขาไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่าจู่ๆ ก็มีซอมบี้สองตัวที่สวมชุดสูทและรองเท้าส้นสูงพุ่งกระโดดออกมาจากด้านหลังเคาน์เตอร์ของอาคารพาณิชย์
ตัวตนก่อนหน้านี้ของพวกเธอคงจะเป็นพนักงานบริษัทอยู่ในอาคารพาณิชย์สุดหรูแห่งนี้ แต่บัดนี้กลับกลายเป็นซอมบี้ที่รู้จักแต่จับกินเหยื่อ
อย่างไรก็ตามสวมรองเท้าส้นสูงสิบเซนติเมตรขนาดนี้ แม้แต่ซอมบี้เองก็คงไม่สามารถวิ่งเร็วได้ แต่เมื่อพวกมันเข้าไปใกล้ด้านหลังคนกลุ่มนี้ ก็มีคนพบตัวเข้าจนได้
“อ้าก!”
เสียงกรีดร้องดังขึ้น เด็กผู้หญิงที่อยู่ใกล้ที่สุดถูกกระโจนเข้าใส่จนล้มลง เธอกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็ไม่สามารถดิ้นหลุดออกจากตัวซอมบี้สาวตัวนั้นได้ นอกจากนี้ในวินาทีที่ถูกกระโจนเข้าใส่ ซอมบี้ตัวนี้ก็อ้าปากกัดเข้าที่หลอดเลือดใหญ่บริเวณคอของเธอ
เลือดสดๆ พุ่งกระเซ็นออกมาทันที แล้วตอนนี้เองซอมบี้สาวอีกตัวก็พุ่งเข้าใส่เด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ตกใจนิ่งงัน
แต่เด็กผู้ชายคนนี้มีปฏิกิริยารวดเร็วกว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นมาก เขาก้าวถอยไปข้างหลังทันที ทว่าเพิ่งถอยได้แค่สองก้าว ก็ชนเข้ากับหนุ่มแว่นหวังเฉิง
หวังเฉิงผลักเขาออกไปราวกับว่ามาจากสัญชาตญาณ...แต่ในช่วงเวลาที่กำลังอลหม่านวุ่นวายนี้ ไม่มีใครสังเกตเห็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี้เลย
“ช่วยด้วย!”
เด็กผู้ชายคนนี้รู้สึกตื่นกลัวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอถูกผลักแบบนี้ เขาก็สูญเสียการทรงตัวทันที ขณะที่ถูกซอมบี้สาวกดทับตัว เขาก็ยังคงส่งเสียงร้องโหยหวนขอความช่วยเหลือ แต่แล้ววินาทีต่อมา เสียงของเขาก็เงียบหายไปในลำคอ
เวลานี้เป็นโอกาสเหมาะที่จะตอบโต้กลับ แต่ทุกคนกลับนิ่งอึ้งไปกับเหตุการณ์นองเลือดตรงหน้า เพื่อนนักเรียนถูกกัดคอขาด หน้าอกกับช่วงท้องถูกฉีกทึ้ง แล้วก็ส่งเสียงร้องโหยหวนขณะที่ยังมีลมหายใจรวยริน ทั้งหมดนี้ล้วนกำลังท้าทายเส้นประสาทของพวกเขาอย่างหนัก
แต่ซอมบี้ไม่มีทางล้มเลิกการโจมตีเหยื่อที่อยู่ตรงหน้าเพียงเพราะมีอาหารแล้ว หลังจากฆ่านักเรียนสาวคนนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกมันก็พุ่งเข้าใส่ผู้รอดชีวิตที่อยู่ใกล้ที่สุดทันที
ซึ่งคนที่หนึ่งในซอมบี้สาวกระโจนเข้าใส่เป็นนักเรียนหญิงชุดมัธยมที่อยู่ไม่ไกลจากเย่เลี่ยน
ตอนนี้ซอมบี้ที่มาจากด้านนอกประตูหมุนกำลังจู่โจมอย่างดุเดือด ถึงแม้จะได้ยินเสียงร้องโหยหวนทางด้านหลัง แต่ก็ไม่มีใครยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือได้ ถ้าหยุดพักไปนิดเดียว ประตูทางเข้าหลักก็จะถูกบุกทะลวงเข้ามาทันที ถึงตอนนั้นจะต้องถูกขนาบทั้งหน้าและหลัง และมีคนตายเพิ่มมากขึ้น
นักเรียนหญิงคนนี้ตกใจกลัวจนทำอะไรไม่ถูก แม้แต่ขยับนิ้วมือก็ยังทำไม่ได้ ในสมองกลวงว่างเปล่าไปหมด
เมื่อเห็นว่าเธอกำลังจะถูกฉีกคอขาด จู่ๆ เย่เลี่ยนที่นิ่งเฉยมาตลอดก็พลันปรากฏตัวขึ้นที่ข้างกายนักเรียนหญิงคนนี้ แล้วคว้ามีดปอกผลไม้จากมือเธอมา ในชั่วพริบตาที่ซอมบี้สาวตัวนั้นพุ่งมาอยู่ตรงหน้า เย่เลี่ยนก็ลงมือจัดการทันทีราวสายฟ้าแลบ ทันทีที่แสงเยียบเย็นสว่างวาบขึ้นมา มีดปอกผลไม้ก็ปาดเข้าที่ต้นคอของซอมบี้สาวในฉับพลัน พอเย่เลี่ยนบิดข้อมือ เลือดสดๆ ก็พุ่งกระฉูดใส่หน้าของนักเรียนหญิงคนนั้นทันที
ในที่สุดเลือดอุ่นสีแดงสดก็เรียกสติของนักเรียนหญิงกลับคืนมา เธอกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งหนึ่งที ขาทั้งสองข้างสั่นเทิ้ม แล้วของเหลวอุ่นๆ ก็ไหลลงมาตามต้นขา
แต่เย่เลี่ยนไม่ได้หันไปมองเธออีก แล้วก็ไม่สนใจด้วยว่าซอมบี้สาวจะมีสภาพอย่างไร เย่เลี่ยนกลับพุ่งไปที่ด้านหลังของซอมบี้สาวอีกตัวทันที
ซอมบี้สาวตัวนั้นเพิ่งจะกดนักเรียนชายลงกับพื้น แล้วทันที่ที่ปากกลิ่นเหม็นคาวอ้าออก ปลายมีดก็แทงทะลุศีรษะด้านหลังของมันและโผล่ออกมาทางปาก
ตั้งแต่สองซอมบี้สาวปรากฏตัวจนกระทั่งถูกเย่เลี่ยนสังหารเรียบ ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในหนึ่งนาทีเท่านั้น
เวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งนาที มีนักเรียนตายไปสองคน ส่วนนักเรียนชายคนนั้นก็ตกใจกลัวจนสายตาหลุดโฟกัสและลุกไม่ขึ้นอยู่นาน แม้แต่ซากซอมบี้สาวที่นอนทับอยู่บนตัว เขาก็ไม่สามารถผลักออกไปได้
ทางด้านเย่เลี่ยนที่ลงมืออย่างรวดเร็วและรุนแรงก็ถูกคนกลุ่มนี้ห้อมล้อมทันที พวกเขาที่เพิ่งตกใจกลัวสุดชีวิตไม่มีกะจิตกะใจไปคิดโน่นคิดนี่ ว่าทำไมสาวสวยที่ดูเหมือนไม่มีอะไรพิเศษคนนี้ถึงได้มีฝีมือร้ายกาจขนาดนี้ อย่างไรเสียตอนนี้เธอก็เป็นเกราะป้องกันไปแล้วละ...
ที่จริงแล้วคนที่ควบคุมเย่เลี่ยนให้ลงมือก็คือหลิงม่อที่กำลังฆ่าซอมบี้อยู่ที่ด้านหน้าประตูหมุนนั่นเอง นอกจากนี้เขายังจงใจให้เย่เลี่ยนใช้อาวุธเพื่ออำพรางตัวตนของเธอไว้
ถึงอย่างนั้นขณะที่ผู้รอดชีวิตที่เหลือกำลังกลัวตัวสั่นงันงก หลิงม่อมองผ่านมุมมองของเย่เลี่ยนและพบว่าท่ามกลางคนกลุ่มนี้มีคนหายไปสองคน
สงสัยตกใจกลัวจนวิ่งหนีขึ้นไปชั้นบนละมั้ง...แต่หลับหูหลับตาวิ่งหนีแบบนี้เป็นอะไรที่โง่เง่าสิ้นดี เมื่อไร้ซึ่งการปกป้อง ก็รังแต่จะตายเร็วขึ้นเท่านั้น ในห้องโถงมีซอมบี้อยู่ แล้วคิดว่าชั้นบนจะไม่มีซอมบี้อย่างนั้นเหรอ
แล้วก็เป็นดังที่คาดไว้ ไม่นานเสียงกรีดร้องก็ดังลอยมาจากชั้นบน พอได้ยินเสียงนี้ คนพวกนี้ก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นงันงกอีกครั้ง
หลังจากการสังหารอย่างบ้าระห่ำนานสามสี่นาที ในที่สุดซอมบี้ที่ด้านนอกประตูหมุนก็ถูกจัดการราบคาบ ทั้งซย่าน่าและหลิวอวี่หาวต่างก็เหงื่อโชกท่วมหัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งซย่าน่าที่ต่อสู้อย่างสุดชีวิต แม้แต่แขนที่กำดาบยังสั่นเทิ้มอยู่เลย
ถึงแม้หลิงม่อจะผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่สีหน้าก็ดูไม่ดีสักเท่าไร ที่ขมับก็ปวดตุบๆ ซึ่งนี่เป็นเพราะใช้พลังจิตมากเกินไป
เมื่อหันกลับไปดูภาพนองเลือดนี้ สีหน้าของซย่าน่าก็ดูสับสนเล็กน้อย ราวกับว่าทั้งเจ็บปวดรวดร้าวและตำหนิตัวเอง...
หลิงม่อสังเกตเห็นและเดินไปตบบ่าเธอเบาๆ เขาพูดเสียงค่อยว่า “ไม่ใช่ความผิดของเธอ ถ้าเธอทิ้งพวกเขาไว้ที่นั่น ไม่แน่ว่าจุดจบอาจจะเลวร้ายยิ่งกว่าตอนนี้ก็ได้”
“อืม...” ซย่าน่าขานตอบเสียงเบา จากนั้นเค้นรอยยิ้มบางๆ ให้กับเย่เลี่ยน “ขอบคุณนะคะ!”
ถึงแม้จะไม่ได้เห็นตอนที่เย่เลี่ยนลงมือ แต่การที่สามารถจัดการซอมบี้สองตัวได้แทบจะในเวลาเดียวกันแบบนี้ ความสามารถในการต่อสู้ของเย่เลี่ยนเกินความคาดหมายของเธอจริงๆ
............................................................................