บทที่ 16 ผู้ใดก็เป็นทิวทัศน์(1)
บทที่ 16 ผู้ใดก็เป็นทิวทัศน์(1)
ในขณะที่เถี่ยซินหยวนมองผู้อื่นเป็นดั่งทิวทัศน์ เขาก็กลายเป็นทิวทัศน์ในสายตาผู้อื่นโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ชายชราสวมชุดตัวนอกสีครามกำลังจูงแม่หนูน้อยรูปร่างจ้ำม่ำจนน่าตื่นตะลึง จ้องมองเถี่ยซินหยวนด้วยความสงสัยอยู่ไม่ไกล
ถ้าหากเป็นเด็กอวบอ้วนสวมหมวกสวมรองเท้าหัวเสือธรรมดาๆ คนหนึ่งก็แล้วไปเถิด เพราะในเมืองหลวงมีอยู่มากมาย แต่เด็กที่อายุยังไม่ครบสองขวบดีเวลามองผู้คนจะไม่มองอย่างเจาะจงและสังเกตรายละเอียดชัดเจน ทางนั้นมีเสียงดังคึกคัก ทางนั้นมีสีสันสดใสสวยงาม ยิ่งดึงดูดความสนใจของเด็กได้มากกว่า
การแสดงหุ่นกระบอกดอกไม้ไฟ[1]บนท้องฟ้าเหนือสระจินหมิงกำลังสว่างไสวตระการตา แม้แต่ผู้ใหญ่ยังเงยหน้าขึ้นชมความงดงาม แต่เจ้าเด็กคนนี้กลับเฝ้ามองรอบข้างด้วยความสนใจอยู่เช่นเดิม
สายตาจับจ้องคนนั้นทีคนนี้ทีไม่หยุด ไล่ประเมินลักษณะของแต่ละคนตั้งแต่บนลงล่าง ใบหน้าน้อยๆ ปรากฏรอยยิ้มแปลกประหลาด จิตใต้สำนึกของชายชราชุดครามรู้สึกได้ว่า รอยยิ้มของเด็กคนนี้แฝงกลิ่นไอเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกอย่างลูกจิ้งจอก
“น่าสนใจ!” ชายชราหัวเราะออกมาโดยไร้เสียง แล้วดึงตัวแม่หนูน้อยที่ไม่ค่อยเต็มใจเดินเท่าใดเข้าไปในร้านทังปิ่งพี่ชี
เมื่อเห็นว่าในร้านเต็มไปด้วยนายทหารและทหารชั้นผู้น้อย เขาก็ขมวดคิ้วเข้าหากันครู่หนึ่ง แต่ก็ยังเดินเข้ามาในร้าน เลือกนั่งลงที่โต๊ะใกล้กับเถี่ยซินหยวน
ชายผู้นี้เป็นบัณฑิตคนแรกที่เดินเข้ามาในร้าน หญิงวัยกลางคนจึงสะกิดแขนหวังโหรวฮวาที่กำลังมองหุ่นดอกไม้ไฟด้วยความหลงใหล
หวังโหรวฮวาพลันได้สติกลับคืนมา นางเพียงแค่เหลือบมองหยกสีเขียวสดที่ฝังอยู่บนหมวกของชายชราแวบหนึ่ง ก็ทราบแล้วว่าฐานะของคนผู้นี้กับนางอยู่คนละชั้นกัน
ถ้าหากต้องการให้บัณฑิตเช่นนี้แต่งบทกวีให้ ร้านเล็กๆ ของนางยังไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมหรอก
“ท่านผู้เฒ่าอยากรับอะไรดีเจ้าคะ? ในร้านเล็กๆ ของข้ามีเพียงทังปิ่งกับเนื้อหมู ล้วนเป็นอาหารพื้นๆ ของบ้านเกิด เกรงว่าอาจไม่อยู่ในสายตาอันสูงส่งของท่านผู้เฒ่า”
ชายชราชุดครามมองหวังโหรวฮวาก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย “กิจการของเจ้าดูไปได้ดีนะ แม้จะเป็นเพิงมุงหญ้ามุงฟาง แต่ดูแล้วสะอาดสะอ้านไม่แพ้ร้านใหญ่อย่างหอฝานโหลว
ส่วนเนื้อหมูจะกินได้หรือไม่ ก็ต่างจิตต่างใจแล้วแต่ความชอบ สหายสนิทคนหนึ่งของข้า ทุกมื้ออาหารถ้าขาดเนื้อหมูไปจะกินอาหารไม่ได้เลย
ในเมื่อคุยโวใหญ่โตว่าเนื้อหมูร้านเจ้าเป็นอันดับหนึ่งในเมืองหลวง ข้าก็อยากเปิดหูเปิดตาสักหน่อย อย่าทำให้ข้าต้องผิดหวังล่ะ”
หวังโหรวฮวายอบกายคารวะเล็กน้อย จากนั้นก็ไปเตรียมเนื้อหมูให้ชายชรา
แม่หนูน้อยเกาะขอบถังที่เถี่ยซินหยวนใช้นั่งเล่นอยู่ นางออกแรงดึงศีรษะเขาให้หันกลับมาแล้วกล่าวว่า “พูดสิ ท่านปู่ของข้าอยากฟังเจ้าพูดนะ”
เถี่ยซินหยวนกลับส่งรอยยิ้มซื่อๆ กลับมาให้ แล้วยื่นมือออกมาจับใบหน้าจ้ำม่ำของนาง เด็กหญิงจอมยุ่งผู้นี้มาจากไหนกัน
ชายชราหัวเราะแล้วเอ่ยกับหลานสาวของตนว่า “ไม่ธรรมดาเลย ในเมื่อเจ้ารู้ว่าเขาเป็นเด็กเฉลียวฉลาด เจ้าเล่นถามตรงๆ แบบนี้ จะมีประโยชน์อะไรเล่า?”
แม่หนูน้อยจ้ำม่ำถามอย่างร้อนรนว่า “ท่านปู่ ใช้วิธีไหนถึงจะได้ผลเจ้าคะ?”
ชายชรายิ้มแล้วเอ่ยว่า “เมื่อก่อนตอนที่ปู่ยังอยู่ในตำแหน่ง เวลารับมือกับพวกชาวบ้านที่โอหังถือดี ปกติแล้วจะแสดงอำนาจบารมีข่มขวัญ แต่...วิธีที่ว่าถ้าหากใช้กับเจ้าปีศาจน้อยตนนี้คงไม่เหมาะสมเท่าใด”
ขณะที่นางเกือบจะหิ้วปีกเถี่ยซินหยวนขึ้นมา ก็หันไปเกาะขาชายชราด้วยความร้อนใจแล้วบอกว่า “ท่านปู่ ในเมื่อข่มขวัญเขาไม่ได้ เราจะทำอย่างไรดีเล่า?”
“ปกติแล้วเมื่อเจอสถานการณ์เช่นนี้ ปู่จะลองใช้ผลประโยชน์เข้าล่อ?”
เด็กหญิงจ้ำม่ำผู้นั้นหันกลับมาอีกครั้ง นางล้วงถุงเงินหน้าตางดงามใบหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ ถือเย้าแหย่เถี่ยซินหยวน เด็กชายอ้าปากกว้างหัวเราะเอิ๊กอ๊ากแล้วคว้ามือของนางไว้ ราวกับว่าเขาหลงใหลถุงเงินใบนี้นักหนา ชายชราที่จับตาดูท่าทางเถี่ยซินหยวนอยู่ข้างๆ มาโดยตลอดเริ่มรู้สึกสับสน เขาส่ายหน้าไปมา รู้สึกว่าเหมือนตัวเองคงจะคิดมากเกินไป ถึงได้ฟังหลานสาวตัวน้อยแล้วมุ่งหน้ามาที่นี่เพื่อดูเรื่องประหลาด สุดท้ายเกือบจะทำอะไรน่าขำให้ขายหน้าผู้อื่น
แม้ในราชวงศ์นี้จะมีเรื่องเล่าของอัจฉริยะราวปีศาจเกิดขึ้นไปทั่วจนทำให้ผู้คนแตกตื่น ซือหม่ากวง[2]อายุสี่ขวบรู้จักทุบโอ่งจนแตก หวังอันสือ[3]อายุห้าขวบก็มีความสามารถผ่านตาไม่ลืมเลือน ส่วนโองหยางซิว[4]ยิ่งร่ำลือว่าอายุยังน้อยก็สามารถแต่งบทกวีได้แล้ว สรุปคือ...ก็เป็นเรื่องของอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่เริ่มสำแดงปัญญา แต่สำหรับเด็กคนนี้แล้วอายุยังน้อยไปสักหน่อย...
หวังโหรวฮวายกเนื้อหมูพะโล้ส่วนที่ดีที่สุดมาวางบนโต๊ะ หลังจากใช้น้ำต้มสุกลวกจานและตะเกียบแล้ว จึงเชิญชายชราลองชิมลิ้มรส
ก่อนอื่นชายชราพิจารณาสีสันของเนื้อหมูดูดีใช้ได้ก็พยักหน้าน้อยๆ จากนั้นใช้ตะเกียบคีบขึ้นมาชิ้นหนึ่งจุ่มลงในน้ำจิ้มกระเทียมเพื่อเพิ่มรสชาติ เมื่อกินไปได้คำหนึ่งถึงรับรู้ได้ว่าเนื้อหมูของร้านทังปิ่งพี่ชีมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนที่ใดจริงๆ เสียด้วย ถ้าหากสหายเก่าของเขายังอยู่ในเมืองหลวง จะต้องติดอกติดใจจนลืมกลับบ้านของตนเป็นแน่
อย่ามองเพียงภายนอกว่าว่าชายผู้นี้อายุมากแล้ว เพราะเขาเจริญอาหารไม่น้อยเลยทีเดียว เขากินทั้งบะหมี่ชามเล็กและเนื้อหมูจานหนึ่งได้หมดจดเกลี้ยงเกลาในเวลาไม่นาน
ชายชราเช็ดปากด้วยความพึงพอใจแล้วเอ่ยว่า “ชั่งเนื้อหมูอีกสองจิน[5]ข้าจะนำกลับไปด้วย”
ในที่สุดถุงเงินของแม่หนูจ้ำม่ำก็โดนเถี่ยซินหยวนแย่งชิงไปอย่างโหดร้าย เมื่อแม่หนูน้อยยื่นมือไปแย่งคืนมา เขาก็อ้าปากกัดอย่างแรง อย่างไรร่างกายนางก็มีเนื้อหนังหนาปานนั้น ไม่ต้องกลัวว่าฟันจะเสียแต่อย่างใด
ชายชรายิ้มจนตาหยีขณะนั่งมองหลานของตัวเองทะเลาะกับเถี่ยซินหยวน จนกระทั่งหวังโหรวฮวานำเนื้อหมูที่ห่อใบบัวเรียบร้อยแล้วมาส่งให้ เขาจึงจ่ายเงินค่าอาหารแล้วลากตัวหลานสาวที่กำลังร้องไห้เสียงดังเดินเข้าไปในฝูงชน
หลังจากชายชรากับเด็กหญิงตัวน้อยเดินจากไปแล้ว เถี่ยซินหยวนก็โยนถุงเงินทิ้งไปทางหนึ่ง เตรียมตัวนอนหลับอย่างว่านอนสอนง่าย
โดยปกติแล้วค่ำคืนเทศกาลตวนอู่[6]มักจะมองไม่เห็นดวงจันทร์ เมื่อฟังเสียงฆ้องที่สะท้อนมาจากในเมืองหลวง ถึงได้ทราบว่าเวลานี้เป็นยามดึกดื่นค่อนคืนแล้ว ผู้คนรอบสระจินหมิงค่อยๆ บางตาลง มารดาและท่านป้าทั้งสองที่เหนื่อยล้าจนร่างกายโงนเงนไปหมด กำลังนั่งดื่มชาอยู่หน้าเตาไฟ น้ำชาเริ่มเดือดจนส่งเสียงปุดๆ กลิ่มหอมเจือจางของชาอบอวลทั่วเพิงหลังนี้ ไม่มีใครเหลือเรี่ยวแรงพูดจากันมากเท่าไร
เสียงฝีเท้าของทหารที่ลาดตระเวนยามดึกลอยมาแต่ไกล ทุกปีเมื่อถึงเทศกาลตวนอู่จะมีกองทหารมารักษาการณ์ริมสระจินหมิง รอจนเทศกาลผ่านพ้นไปแล้วถึงได้กลับค่ายของตน
เถี่ยซินหยวนรู้สึกนอนหลับไม่ลงขึ้นมา วันนี้เขาประมาทเลินเล่อเกินไปจริงๆ ผู้ใดก็ตามหลงลำพองตนมักจะลืมตัว แม้จะกล่าวว่าวันนี้มีผู้คนสัญจรหนาแน่น จนเขาก็ค่อยๆ แยกแยะระดับชนชั้นที่แตกต่างกันของชาวต้าซ่ง แต่เขากลับลืมไปว่าเด็กตัวน้อยเช่นตนใช้สายตาของผู้ใหญ่สังเกตผู้อื่น ไม่ใช่เรื่องเหมาะสมเท่าใดนัก
นับตั้งแต่เขามาถึงดินแดนต้าซ่ง ก็พบว่าระดับสติปัญญาของตัวเองไม่ได้เหนือชั้นกว่าคนที่นี่แม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นมารดาหรือว่าคนที่เขาเคยพบเจอ ไม่มีใครเลยสักคนที่เป็นคนโง่งม แม้กระทั่งเจ้าหนูถงจื่อก็ตาม ต้องใช้อาหารเลิศรสเข้าหลอกล่อถึงจะยอมทำตามที่เขาต้องการ
หรือว่าเป็นเพราะมีคนน้อยลงไปมากแล้ว ริมสระจินหมิงถึงได้มีกระแสลมพัดโชย พัดเสียงเพลงท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเรือสำราญลอยมา หญิงนางโลมคนหนึ่งกำลังใช้เสียงสั่นระรัวขับขานบทเพลงที่เถี่ยซินหยวนฟังไม่เข้าใจ เขาคาดเดาว่าคงเป็นบทกวีที่ชื่อ ‘ถามไถ่สวรรค์’ [7]ของชวีหยวน เขาพยายามฟังอยู่หลายต่อหลายครั้งกว่าจะจับใจความได้บางส่วนจากเนื้อเพลงและท่วงทำนองเร็วรัวที่หญิงร้องรำกำลังขับขาน ... “เมื่อแรกเริ่มบรรพกาล ผู้ใดถ่ายทอดแนวคิดนี้ชี้นำให้กาลต่อมา? ก่อนฟ้าดินจะมีรูปร่าง ต่างถือกำเนิดจากที่ใดกันเล่า? มืดสว่างไม่อาจแยกรวมเป็นเนื้อเดียว ผู้ใดสามารถสืบหาสาเหตุนั้นได้? กลุ่มปราณคลุมเครือไร้สรรพสิ่ง อาศัยสิ่งใดแยกแยะอย่างกระจ่างชัด?”
ทุกครั้งที่หญิงร้องรำเอื้อนเอ่ยประโยคถามไถ่นี้ ก็มีเสียงตอบกลับอย่างสับสนอลหม่านดังขึ้น ไม่ทราบว่าคนเหล่านี้จะตอบคำถามที่ชวีหยวนถามไถ่สวรรค์อย่างไร แต่กล่าวโดยสรุปก็คือ เถี่ยซินหยวนเห็นว่านี่เป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ
มีนักบวชชรารูปหนึ่งย่างก้าวเชื่องช้ามาพร้อมกับท่วงทำนองบทเพลง เขาจงใจหยุดอยู่ที่หน้าประตูร้านทังปิ่งพี่ชี ให้ใบหน้าของตนอยู่ใต้แสงสว่างเด่นชัด ยังไม่ทันได้ประกาศนามของพระพุทธองค์ หวังโหรวฮวาก็กรีดร้องด้วยความตกใจ นำน้ำชาร้อนที่เพิ่งจะเดือดไม่นานสาดใส่ศีรษะโล้นเกลี้ยงของนักบวชชรา
นักบวชชราอยู่ในสภาพย่ำแย่เหลือทน เขายังไม่ทันเช็ดคราบน้ำและใบชาออกจากใบหน้า หวังโหรวฮวาก็คว้าตัวบุตรชายมากอดเอาไว้ในอ้อมแขนด้วยความตื่นตระหนกสุดขีด
เถี่ยซินหยวนถือกระดาษสีเหลืองใบหนึ่งโบกไปมาอยู่ตรงหน้ามารดา เมื่อหวังโหรวฮวามองให้ดีๆ แล้วจึงเห็นข้อความบนกระดาษเขียนไว้ว่า ‘คนผู้นี้ยังไม่ตาย แค่พรางตาไว้เท่านั้น’
แม้ประโยคนี้ไม่อาจทำให้หวังโหรวฮวาสงบใจลงได้อย่างแท้จริง แต่ก็ทำให้ดวงตาที่หวาดผวาราวกับเห็นคนตายฟื้นคืนชีพ ไม่มีหยาดน้ำตาไหลออกมาอีก
หญิงวัยกลางคนทั้งสองไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงใช้ร่างกายอันแข็งแรงมาขวางหน้าหวังโหรวฮวาเอาไว้ แล้วชี้หน้าสาปแช่งหลวงจีนหัวโล้นรูปนี้ด้วยวาจาหยาบคาย ในขณะเดียวกันยังกรีดร้องเสียงแหลมสูงเพื่อขอความช่วยเหลือ!
เถี่ยซินหยวนยังถือกระดาษสีเหลืองอีกหลายแผ่นเอาไว้ หลังจากหวังโหรวฮวาคว้ามาดูอย่างละเอียดแล้ว ในที่สุดใบหน้าขาวซีดก็เริ่มมีเลือดฝาดขึ้นมาบ้าง
นางผลักหญิงสองคนนั้นออกไปแล้วก้าวมาข้างหน้า นางคารวะหลวงจีนรูปนี้ก่อนจะเอ่ยถามว่า “ไต้ซือมาจากเทียนจู๋[8]หรือ?”
นักบวชชรานิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงประนมมือขึ้นคารวะตามแบบอย่างของนักบวชชาวฮั่น “อาตมาเดินทางมาจากเทียนจู๋จริงๆ
เห็นว่าบุตรชายของเจ้ามีวาสนากับพระพุทธองค์ จึงมาเทศนาให้รู้แจ้งโดยเฉพาะ”
“ไต้ซือมีวิชาฟื้นคืนชีพด้วยหรือ?”
นักบวชชรายิ้มน้อยๆ แล้วตอบว่า “เป็นเพียงการสำแดงอิทธิฤทธิ์เล็กๆ น้อยๆ เพื่อหลอกลวงผู้คนเท่านั้น ประสกไม่ต้องตื่นตระหนกไป ตายแล้วเกิดใหม่ เกิดใหม่แล้วตายอีกครา ใครจะมองเรื่องนี้ได้ทะลุปรุโปร่งบ้างเล่า?”
หวังโหรวฮวาเหลือบมองฝูงชนที่ถูกเสียงกรีดร้องของนาง และเสียงตะโกนขอความช่วยเหลือของหญิงวัยกลางคนทั้งสองดึงดูดมา จนสุดท้ายแล้วความหวาดกลัวบนใบหน้าของพวกเขาก็จางหายไปหมด แม้นางจะไม่รู้ว่าแผ่นกระดาษที่มีตัวหนังสือเขียนจนเต็มพรืดในมือบุตรชายเป็นของใครกัน แต่ข้อความบนกระดาษกลับอธิบายเรื่องแปลกประหลาดตรงหน้าได้อย่างชัดเจน
นางรู้สึกสงสัยชายชราที่มานั่งกินเนื้อหมูในร้านของนางอยู่บ้าง เพราะว่านอกจากเขาแล้ว ไม่มีใครดูเหมือนคนที่สามารถเขียนอะไรแบบนี้ออกมาได้
นักบวชชราดูไม่รีบร้อนเท่าใด คล้ายว่ากำลังรอให้ผู้คนกระชับวงล้อมเข้ามา เฉินสือนายทหารต้องโทษพุ่งเข้ามาก่อนใคร เขาเหลียวมองนักบวชชราแล้วตะโกนด้วยความตกใจว่า “เจ้าตายแล้วไม่ใช่หรือ?”
หลังจากตะโกนออกมาก็หันกลับไปมองหยางไฮว๋อวี้ รายนั้นเดินเข้ามาโดยยังไม่ทันเปลี่ยนเสื้อแพรของตน
แววตาของหยางไฮว๋อวี้เต็มไปด้วยความตกตะลึง คราวนั้นเขาใช้พลังยุทธ์เตะก้านคอนักบวชนอกด่านนั่นจนหักตายไปแล้วตั้งแต่อยู่ในศาลาว่าการอำเภอไคเฟิง อู่จั้ว[9]ตรวจสภาพศพในที่เกิดเหตุยืนยันว่านักบวชนั่นเสียชีวิตแน่นอน แต่ตอนนี้คนที่เขาเชื่อว่าเสียชีวิตไปแล้วกลับปรากฏตัวให้เห็นอยู่ทนโท่ หรือว่าเขาจะเจอผีหลอกกันเล่า?
“ฝาแฝดรึ?”
หยางไฮว๋อวี้เค้นเสียงลอดไรฟันออกมาได้สามคำ นักบวชชรากลับปลดเปลื้องเสื้อผ้าท่อนบน แล้วชี้ให้เห็นบาดแผลที่ยังไม่หายสนิทดี “จะมีฝาแฝดจากที่ใดกัน?”
หยางไฮว๋อวี้ไม่ยอมเชื่อ แต่เมื่อยกโคมไฟขึ้นส่องดูบาดแผลเขาก็เอ่ยอะไรไม่ออกอีก ร่องรอยที่นางเถี่ยหวังซื่อฟันลงไปวันนั้นมีลักษณะโดดเด่นอย่างยิ่ง ยามที่คมมีดฟันแฉลบลงไป แม้บาดแผลจะไม่ลงลึกถึงกระดูก แต่กลับทำให้เนื้อหนังบริเวณหัวไหล่แบะออกมา สภาพน่าสยดสยองไม่เบาเลยทีเดียว
ทันใดนั้นเองหวังโหรวฮวาก็ส่งเสียงหัวเราะเบาๆ นางเอากระดาษในมือส่งให้หยางไฮว๋อวี้ ก่อนจะก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ไต้ซือเดินทางมาจากเทียนจู๋ ข้าน้อยก็พอรู้ว่าเทียนจู๋มีวิชาลับมากมายนับไม่ถ้วนทำให้คนแสร้งตายได้ ที่แท้ไต้ซือก็แตกฉานวิชานี้ด้วย?”
ใบหน้าของนักบวชชรากระตุกเล็กน้อย เขาเหลือบมองหวังโหรวฮวาก่อนจะเอ่ยว่า “พุทธานุภาพไฉนเลยจะสำแดงออกไปโดยง่าย มนุษย์โลกล้วนโง่เขลา มิกระจ่างแก่ใจว่านี่เป็นเพราะพุทธองค์ทรงเมตตา กลับมีใจขุ่นข้องสงสัย นับว่ามีพญามารคอยขัดขวาง ไม่กล้าสละเลือดเนื้อเชื้อไขของตน แล้วเมื่อใดจะหลุดพ้นรู้แจ้ง?”
หวังโหรวฮวายิ้มน้อยๆ แล้วตอบว่า “ข้าน้อยไม่เคยสงสัยในเจตนาของพุทธองค์ เพียงแต่อยากขอร้องไต้ซือด้วยใจจริง เชิญท่านไปเทศนาธรรมให้บ้านอื่นฟัง แล้วปล่อยบุตรกำพร้ากับหญิงหม้ายอย่างพวกเราไปเป็นอย่างไร?”
----------------------------
[1] หุ่นกระบอกดอกไม้ไฟ(药发傀儡)หรือการเล่นไฟ เป็นการแสดงหุ่นกระบอกที่มีชื่อเสียงในสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ แต่วิธีการทำและรูปแบบการแสดงไม่มีบันทึกชัดเจน
[2] ซือหม่ากวง(司马光)เป็นผู้เขียนตำราประวัติศาสตร์ "จือจื้อทงเจี้ยน(资治通鉴)" ขึ้นร่วมกับผู้ช่วย ตำราเล่มนี้ได้ชื่อว่าเป็นตำราศึกษาประวัติศาสตร์จีนเล่มสำคัญเคียงคู่กับ "สื่อจี้"(史记) ของซือหม่าเชียน(司马迁)
[3] หวังอันสือ(王安石)เป็นผู้เสนอให้เร่งสร้างบุคลากรที่มีความสามารถ ปรับปรุงระเบียบข้อกำหนดกฎหมาย และจัดการบริหารการคลังเสียใหม่ เป็นต้น แต่แนวความคิดของเขาได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจังในสมัยซ่งเสินจง(宋神宗)
[4] โอวหยางซิว(欧阳修)เป็นขุนนางและกวีที่มีชื่อเสียงโด่งดังแห่งราชวงศ์ซ่ง อีกฉายาหนึ่งที่ท่านได้รับคือ เฒ่าขี้เมาหรือจุ้ยเวิง(醉翁)เขาเป็นหนึ่งในแปดกวีผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์ถังและซ่ง(唐宋八大家)
[5] จิน(斤)หน่วยวัดน้ำหนักของจีนมีน้ำหนักเท่ากับ 500กรัม 2 จินจึงเท่ากับ 1 กิโลกรัม
[6] เทศกาลตวนอู่(端午节)หรือเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างตรงกับวันที่ 5 เดือน 5 ตามปฏิทินจันทรคติจีน เป็นเทศกาลเพื่อรำลึกถึงชวีหยวน(屈原)กวีผู้รักชาติแห่งแคว้นฉู่(楚国)ในสมัยจ้านกั๋ว(战国)
[7] ถามไถ่สวรรค์(天问)หรือเทียนเวิ่น หนึ่งในผลงานของยอดกวีชวีหยวน บทกวีเกี่ยวข้องกับสรรพสิ่งในใต้หล้าทั้งฟ้าดิน ธรรมชาติและโลกมนุษย์ เริ่มตั้งแต่การถามไถ่ถึงปรากฏการณ์ธรรมชาติต่างๆ รวมถึงเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่มีทั้งความรุ่งเรืองและเสื่อมสลาย เป็นต้น สะท้อนให้เห็นความสงสัยที่มีต่อแนวคิดความเชื่อดั้งเดิมของชวีหยวนและจิตวิญญาณมุ่งมั่นในการแสวงหาหลักสัจธรรม
[8] เทียนจู๋(天竺)ชื่อประเทศอินเดียในภาษาจีนสมัยโบราณ
[9] อู่จั้ว(仵作)เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพประจำหน่วยงานในสมัยโบราณ เทียบได้กับแพทย์นิติเวชในยุคปัจจุบัน