Money Monster Episode XXXIV [ความเสียหาย]
Money Monster Episode XXXIV [ความเสียหาย]
ชายหนุ่มผมสีขาวราวกับหิมะเอ่ยขึ้นก่อนที่ฟักทองลูกโตจะลอยกลางอากาศมาบินอยู่เบื้องหน้า มันระเบิดออกเป็นควันสีเหลืองกลายเป็นเด็กชายหมวกสวมหมวกพ่อมดสวมหน้ากากฟักทองยืมยิ้มพร้อมแผ่เปลวเพลิงสีทองอร่ามออกมา
“หึ!” โทมัสพ่นลมหายใจออกทางจมูก ปลดปล่อยพลังคลื่นความร้อนพุ่งเข้าไปโจมตีจูดัสจนกลายเป็นลำแสงสีแดงเถือก
“พัมพ์กิ้นเมจิกเชี่ยน(Pumpkin Magician)” จูดัสเอ่ยชื่อคู่หูของเขา ดวงตาของพัมพ์กิ้นเมจิกเชี่ยนพลันส่องประกายขึ้น ยกมืออันอ่อนนุ่มกางพลังป้องกันสีเหลืองส้มเอาไว้อย่างทันท่วงที ส่งผลให้พลังความร้อนทั้งหมดกระจายออกไปรอบๆ
“คุณคนนั้นน่ะ” จูดัสหันไปมองที่กองขยะเป็นภูเขากลุ่มหนึ่ง อันมีร่างของครอส์จุ่มอยู่ภายใน
“ใครฟะ! เสียงนี้มัน ไอ้คนไม่น่าไว้ใจนั่นนี่ มาที่นี่ได้ยังไงฟะ หา!” ครอสซ์ดิ้นอย่างแรงจนหลุดออกมาจากกองขยะได้สำเร็จ เมื่อได้เห็นหน้าของจูดัสพลันรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาชอบกลจนต้องกระตุกคิ้ว
“รีบพาคุณไลท์ไปโรงพยาบาลทีสิครับ ผมจะถ่วงเวลาเอาไว้ให้เอง”
“หา?” ครอศซ์ทำหน้างุนงงก่อนจะกวาดมองไปทั่ว เมื่อเห็นร่างของเพื่อนที่เต็มไปด้วยแผลไฟไหม้พลันตกใจสุดขีด เบิกตากว้างรีบวิ่งเข้าไปประคองร่างขึ้นมาดูอาการในทันที
“เฮ้ย! ไลท์ ทำใจดีๆ ก่อนนะเฮ้ย”
“รีบพาเขาไปโรงพยาบาลครับ แต่ต้องเป็นโรงพยาบาลของวอลสตรีทเท่านั้นนะ เพราะโรงพยาบาลในโลกนี้คงรักษาไม่ได้”
“คิดว่าข้าจะปล่อยไห้ทำงั้นรึ โบรกเกอร์คนนั้นเป็นรางวัลของข้า!” โทมัสไม่ยอมให้ทำง่ายๆ ยกมืออีกข้างเล็งไปจุดที่ครอสซ์กับไลท์อยู่ แต่ในวินาทีนั้นเองก็มีฟักทองขนาดเท่าลูกปิงปองพุ่งเข้ามาใส่แล้วระเบิดเข้าที่แขนเข้าอย่างจัง
ตูม!
อมนุษย์ร่างดำทำหน้าเขียวด้วยความกริ้วโกรธ หันไปมองจูดัสในทันที
“ไม่ได้นะครับ คุณต้องสู้กับผมก่อน”
“ชิ..”
“เร็วเข้าสิครับ มัวยืนเซ่ออะไรอยู่” จูดัสรีบเร่งรัด ครอสซ์ข่มฟันด้วยความตื่นตะหนกพลันยกร่างของไลท์ขึ้นวิ่งออกจากพื้นที่นี้โดยเร็วที่สุด โดยหวังว่าจะส่งเพื่อนให้ทันการรักษาก่อนจะตายด้วยพิษของบาดแผลเสียก่อน
จูดัสเห็นร่างของครอสซ์หายไปพลันยกยิ้มขึ้นจางๆ สะบัดมือเสกฟักทองเพลิงสีทองขึ้นเต็มอากาศ
“อา..เรียกขึ้นมาเยอะไปแฮะ แย่ล่ะสิ แบบนี้ผมก็ขาดทุนสิครับ แย่จริงๆ”
“ก่อนอื่นมาคุยเรื่องของเราก่อนดีกว่า” โทมันเอ่ยก่อนจะดึงพลังคลื่นความร้อนกลับมา
“นั่นสินะครับ”
มาแสดงละครด้วยกันเถอะ
มือซ้ายชวาโบกสะบัดควบคุมฟักทองนับสิบออกไปด้วยความเร็วสูง พวกมันแล่นออกไปรายล้อมประชิดติดกับโทมัสภายในชั่วพริบตา
ตูม!
ครอสซ์ที่วิ่งหอบร่างของเพื่อนออกมาได้สักระยะได้ยินเสียงระเบิดตูมดังจากข้างหลัง เสมือนกับเป็นการปิดฉากชีวิตของกรีดเลเวลสามลงได้อย่างงดงาม
1วันผ่านไป
ในเวลานั้นเสมือนกับรอบกายเป็นสีดำทมิฬ มันทั้งหนาวเหน็บ ทรมานและเปล่าเปลี่ยวจนเหงาหงอยเสียเหลือเกิน ร่างกายเบาหวิวราวขนนก มีเพียงประกายแสงเล็กๆ ที่ส่องสว่างท่ามกลางความมืดมิด เขาพยายามเดินเข้าไปขวนขวายมัน
เปลือกตาของชายหนุ่มเบิกกว้างขึ้นอย่างเชื่องช้า ภาพแรกที่เห็นคือเพดานสีขาวโพลน เขาสะดุ้งเฮือกขึ้นพร้อมลมหายใจที่หอบระรัวคล้ายเพิ่งตื่นจากฝันร้าย ดวงตาสีทองตวัดมองไปทั่วพบว่าตนเองมาอยู่ที่ใดก็ไม่รู้
“ที่นี่ที่ไหน”
“โรงพยาบาลไง!” เสียงอันคุ้นเคยเป็นคนตอบ ไลท์หันไปที่ต้นทางเสียงพบครอสซ์กับแจ๊สเปอร์ที่กำลังนั่งอยู่โซฟาพร้อมกับจูดัสที่ยืนอิงกำแพงอยู่ข้างๆ
“โรงพยาบาล..”
“ใช่ นายเกือบตายแล้ว จำได้ไหม พวกเราสู้กับกรีดเลเวลสามแล้วเอาตัวไม่รอดกัน นายถูกแผลไฟไหม้ระดับห้า ในความเป็นจริงควรตายไปแล้ว” แจ๊สเปอร์เป็นตัวแทนในการกล่าว เขาทำท่าทีสุขุมยิ่งขึ้นพลางลุกขึ้นเดินเข้าไปใกล้ไลท์
ไลท์ทำทีหน้าตะลึงงันเมื่อชายหนุ่มผมเทายื่นกระดาษใบหนึ่งให้เขา เมื่อเปิดข้อความออกมาอ่านก็ต้องสะพรึง
ค่ารักษาพยาบาล2,589,190 เหรียญ
“บ้าน่า! สองล้านกว่าเลยงั้นเรอะ” ไลท์ตวาดเสียงดังเมื่อทราบตัวเลข เขาขยำกระดาษปาลงถังขยะในทันทีอย่างไม่สบอารมณ์ ชายหนุ่มหอบหายใจรัวมากกว่าเดิมคล้ายความกดดันกำลังขึ้น แจ๊สเปอร์มองมาที่เขาด้วยสายตาเวทนา
“เงินสองล้านกว่าแต่สามารถช่วยชีวิตเอาไว้ได้ ฉันว่ามันถูกมากเลยนะ เพราะบาดแผลระดับนี้ไม่มีโรงพยาบาลไหนรักษาได้แล้ว นอกจากที่วอลสตรีท”
“.....” เมื่อได้ยินคำพูดเมื่อครู่เขาพลันรู้สึกหมดแรง ล้มตัวหงายแผ่กายบนเตียงสีขาวที่เต็มไปด้วยกลิ่นยาฆ่าเชื้อ มืออันหยาบกระด้างกุมขึ้นที่หน้าผากราวกับความเครียดเริ่มถาถมเข้ามาในหัวไม่หยุดยั้ง
“บ้าเอ้ย”
“ใช่..ไลท์ ฉันรู้ว่านายฉลาดแต่นายน่าจะหัดรับฟังคนอื่นบ้าง.. ถ้าฉันไม่ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือล่ะก็ นายตายไปแล้ว”
“ใช่แล้วล่ะครับ” จูดัสเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มก่อนจะก้าวเดินมาด้านหน้า
“ผมบังเอิญผ่านไปแถวนั้นพอดีเลยเข้าไปช่วยได้ทันและจัดการกรีดเลเวลสามได้ คุณควรขอบคุณผมนะครับ คุณไลท์”
“ขอบใจ..” ไลท์เอ่ยขอบคุณไปแบบขอไปทีก่อนจะดันคิดขึ้นได้เมื่อสมาชิกในกลุ่มไม่ครบ เพราะเด็กสาวเพียงคนเดียวได้หายไป
“ลูน่าล่ะ?” ทันทีที่ไลท์เอ่ยชื่อนี้ออกไปดวงตาของแจ๊สเปอร์พลันหรี่ลงอย่างเชื่องช้า
“ร่างกายไม่ร้ายแรงอะไรมาก แต่สภาพจิตใจนี่สิ”
“....”
“ไลท์..ในฐานะที่ฉันอายุมากที่สุดและเฝ้ามองทุกคนด้วยตาของตัวเอง ฉันมีบางสิ่งอยากจะเตือน ไลท์เป็นคนเก่ง มุ่งมั่นและเข้มแข็ง แต่ชอบลืมมองคนอื่นอยู่ตลอดนะ” แจ๊สเปอร์เริ่มปริปากเอ่ย ชายหนุ่มจึงรับฟังอย่างตั้งใจ
“ฉันบอกหลายครั้งแล้วว่าลูน่ายังเป็นเด็ก เธอไร้เดียงสาเป็นเด็กสาวทั่วไป ไม่เคยลำบากมาก่อน เธอรับมือกับสถานการณ์บีบคั้นไม่ได้ ยิ่งเรื่องเมื่อวันก่อนยิ่งทำให้เธอฟุ้งซ่านที่ต้องต้านพลังกับกรีดเลเวลสามด้วยตัวคนเดียว”
“ฉัน..ไม่ได้ตั้งใจ” หัวใจของไลท์ถูกบีบคั้นเข้าอย่างหนัก เขานึกและทบทวนตามสิ่งที่แจ๊สเปอร์พูด ซึ่งมันตรงทั้งหมด หลายครั้งหลายคราวที่เขาตัดสินใจแทนคนอื่นในกลุ่มโดยไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกเลย
แบบนี้ไม่ต่างจาก..ใช้คนอื่นเป็นหมากเลย
“ลูน่าอยู่ไหน”
“ห้องข้างๆ นี้เอง” ทันทีที่ได้ทราบตำแหน่งไลท์ลุกขึ้นพรวด เดินออกไปจากห้องเร็วจี๋ แจ๊สเปอร์กับครอสซ์พยักหน้าให้กันหนึ่งทีก่อนจะค่อยตามไปแอบดูอย่างเงียบๆ ทิ้งให้จูดัสอยู่ในห้องเสมือนกับเขาไม่เคยมีตัวตนอยู่อีกเลย
ชายหนุ่มผมสีขาวราวหิมะยิ้มละไมขึ้นก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือในมือขึ้น
‘ได้เวลาทำตามแผนการแล้ว’
ไลท์เปิดประตูออกอย่างเชื่อช้าพบเด็กสาวกำลังนั่งเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่างอย่างโดดเดี่ยว เขาถือวิสาสะผลักประตูเข้าไปในห้องแล้วมองใบหน้าเธอด้วยความรู้สึกผิด ลูน่าหันมามองที่เขาก่อนจะพยักหน้าเบาๆ ให้
ไลท์คิดว่ามันเป็นสัญญาณจึงเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ข้างขอบเตียงด้วยท่าทีสุภาพเรียบร้อย เมื่อประจำเข้าสู่ตำแหน่งลูกผู้ชายจึงเอ่ยออกไปอย่างตรงไปตรงมา
“ฉันขอโทษ”
“....”
“ฉันไม่ดีเอง ฉันน่าจะเข้าใจความรู้สึกของเธอให้มากกว่านี้”
“คุณแจ๊สเปอร์เล่าให้ฟังหรือคะ?” ลูน่าเอียงคอถามอย่างไร้เดียงสา
“ใช่”
“ไม่ต้องคิดมากหรอกค่ะ คุณแจ๊สเปอร์แกก็ห่วงไปเรื่อย ฉันไม่ได้อาการหนักขนาดนั้นสักหน่อย ฮะๆๆ” เด็กสาวหัวเราะพูดด้วยน้ำเสียงสดใสราวกระดิ่งแก้ว ดูไม่เหมือนคนที่จิตใจได้รับผลกระทบเสียหายสักเท่าไหร่ แต่บนแววตาสีสั่นคลอนคู่นั้นคงมิอาจหลอกลวงได้
“พอจะรับฟังเรื่องราวไร้สาะะเล็กๆ น้อยๆ ได้ไหมคะ คุณไลท์น่าจะสบายใจยิ่งขึ้น”
“อืม ว่ามาสิ” ไลท์ผงกศีรษะ เธอจึงเริ่มเอ่ยขึ้น
“ว่ากันตามตรง ตอนฉันเจอคุณไลท์ครั้งแรกพร้อมกับพวกคุณครอสซ์ ฉันคิดว่าคุณไลท์น่ากลัวมากเลยนะคะ”
“เหอะๆ” ไลท์หัวเราะแห้ง
“แต่ว่า พอรู้จักกันนานเข้าฉันก็เคารพคุณไลท์พอๆ กับคุณแจ๊สเปอร์ที่คอยเอาใจใส่ฉัน เหมือนมีพี่ชายเพิ่มขึ้นมาพร้อมกันตั้งสามคนเลยล่ะค่ะ โดยเฉพาะตอนที่ฉันได้รู้จำนวนหนี้สิ้นและความปรารถนาที่คุณไลท์ขอ ฉันเลยคิดว่า ฉันอยากจะเติบโตและเก่งเหมือนคุณไลท์บ้าง แต่เหมือนจะไม่ไหวสินะคะ”
“ทำไมถึงอยากเป็นเหมือนฉันล่ะ?”
“เพราะฉันทำอะไรก็ไมได้เรื่องน่ะค่ะ” ลูน่าพูดแล้วถอนหายใจเฮือกหนึ่ง
“ฉันเป็นน้องสาวคนเล็กของบ้าน คุณพ่อกับคุณแม่ก็ค่อนข้างทำงานดีๆ มีฐานะ เลยถูกตามใจจากทั้งพวกท่านและพี่สาวน่ะค่ะ พอรู้สึกตัวอีกทีก็ทำอะไรไม่เป็นเอาแต่พึ่งพาคนอื่นตลอด การเรียนก็ใช้ไม่ได้ ความฝันและเป้าหมายก็ไม่มี ล้มเหลวสุดๆ ไปเลยล่ะค่ะ พอมาเทียบกับคุณไลท์ที่มีเป้าหมายชัดเจนแถมฉลาด มุ่งมั่นฉันก็อยากเอาเป็นแบบอย่างบ้าง”
“.....”
“ส่วนความปรารถนาของฉัน..ก่อนหน้านี้พ่อแม่ฉันหย่ากันค่ะ คุณแม่ไปมีสามีใหม่ คุณพ่อก็ไปแต่งงานใหม่ ฉันเข้ากับพ่อเลี้ยงไม่ได้แถมพี่สาวคนอื่นๆ ก็พากันเหม็นขี้หน้าคุณแม่จนย้ายออกไปอยู่หอกันหมด ฉันไม่ชอบบรรยากาศแบบนั้นเลยทำสัญญากับมาม่อนให้ครอบครัวกลับมาอยู่กันแบบมีความสุขอีกครั้ง ตลกดีใช่ไหมล่ะคะ”
“ไม่หรอก..มันเป็นความปรารถนาที่บริสุทธิ์มาก” ไลท์เอ่ยขึ้น
“ฉันว่าที่เธอพูดว่าเป็นคนทำอะไรไม่ได้ มันไม่จริงหรอกนะ เพราะตอนนี้เธอก็ทำให้ครอบครัวกลับมีรักใคร่กลมเกลียวกันเหมือนเดิมใช่ไหมล่ะ”
“นั่นก็จริงค่ะ..แต่ยังไงฉันก็เป็นคนไม่ได้เรื่องอยู่ดี”
“ไม่หรอก ของแบบนี้มันฝึกกันได้ ฉันตอนเด็กเองก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน”
“อย่างนั้นเหรอคะ?”
“ใช่ ช่วงเศรษฐกิจตกต่ำพ่อแม่ฉันทำงานหนักมาก ฉันอยากจะช่วยพวกท่านแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง จนค่อยๆ เรียนรู้และเลียนแบบพวกผู้ใหญ่ ตั้งแต่การเดินไปจ่ายตลาด ปั่นจักรยานส่งของ หรือค้าขาย ทุกอย่างเริ่มต้นจากศูนย์ทั้งนั้น แต่เพราะว่ามีการสังเกตและเรียนรู้ คนเราถึงพัฒนาขึ้นมาได้ ฉันเองก็ยังไม่สมบูรณ์แบบโดยเฉพาะเหตุการณ์ครั้งนี้”
“ต้องขอโทษด้วยนะคะ เพราะฉันมันอ่อนแอเลยทำให้คุณไลท์กับคนอื่นต้องเดือดร้อน”
“ไม่ล่ะ ความผิดฉันเองที่ห้าวไม่เข้าเรื่อง สองล้านกว่าที่เสียไปมันน่าเสียดายก็จริงแต่ถือว่าเป็นค่าโง่ที่ฉันต้องจ่าย นับตั้งแต่วันนี้ฉันจะปรับปรุงและพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้น”
“ค่ะ ฉันเองก็จะพยายามให้ดียิ่งขึ้นเหมือนกัน จะได้เลิกเป็นตัวถ่วงของกลุ่มสักที” ลูน่ายิ้มและหัวเราะออกมา ไลท์พลันรู้สึกอบอุ่นเล็กๆ ไปด้วย เสมือนกับมีน้องสาวเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคนไม่มีผิด
บทสนทนาและสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดล้วนอยู่ในสายตาของสองหนุ่มที่แอบฟังอยู่นอกห้อง น้ำตาลูกผู้ชายเริ่มปริ่มออกมาทีละนิดด้วยความปลื้มปิติ
“ชักรู้สึกคึกขึ้นมาแล้วสิ! แจ๊สเปอร์นายสนใจวิ่งรอบเมืองกับฉันสักร้อยรอบไหม”
“จะบ้าเรอะ! จะเวอร์เกินไปไหม”
“ไม่รู้ล่ะ! ฉันไม่รู้อะไรเลยแต่รู้สึกดีสุดๆ อยากออกอาละวาดไปปลดปล่อยพลังงานส่วนเกินสุดๆ เลยเฟ้ย ต่อให้มีสัตว์ประหลาดโผล่มาสักร้อยตัวฉันก็ไม่หวั่น พ่อจะซัดให้หงายเรียงตัวเลยคอยดูเถอะ”
“เดี๋ยวก่อนนะ! อย่าพูดอะไรให้เป็นลางนักสิ เจอเป็นร้อยก็ไม่ไหวนะ” แจ๊สเปอร์รีบค้าน คำพูดของอีกฝ่ายชวนให้รู้สึกขนลุกวูบวาบอย่างบอกไม่ถูก
“สองคนนั้นจะยืนอยู่หน้าประตูอีกนานไหมคะ มีอะไรก็เข้ามาเลยสิ” ลูน่าหรี่ตามองสองหนุ่มที่อยู่หน้าห้อง เหมือนตัวตนของพวกเขาจะไม่เป็นความลับเอาซะเลย เมื่อไม่มีความจำเป็นต้องแอบแล้วทั้งคู่ก็เข้าไปด้วย
พูดคุยด้วยกันและปรึกษาหารือเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องทำต่อไปอีก
จูดัสที่แอบมองอยู่ด้านนอกมาตลอดลอบยิ้มขึ้นก่อนจะถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป ทันทีที่ชายหนุ่มผมขาวราวหิมะเข้าไปก็ถูกสายตาสี่คู่จดจ้องมาคล้ายกับว่าไม่เป็นที่ต้อนรับเสียเท่าไหร่ เขายิ้มขึ้นแล้วเปิดโทรศัพท์มือถือขึ้น
“ผมมีข่าวดีและข่าวร้ายมาแจ้งให้ทราบ ข่าวร้ายคือดูเหมือนพวกคุณอาจต้องรีบออกจากโรงพยาบาลแล้ว”
“หา?”
“ข่าวดีคือ มีคนในเครือข่ายของเรากำลังดูแลชิพเตอร์อยู่ เป็นเทศกาลเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ครั้งสำคัญที่น่าลงทุน พวกคุณสนใจจะไปกับผมไหม” ทันทีที่ถูกเอ่ยชวนทุกคนก็หันมามองที่ไลท์เป็นตาเดียวกัน
ไลท์หลับตาลงอย่างเชื่องช้าก่อนจะยิ้มจางขึ้นๆ ชายหนุ่มหันไปมองเด็กสาวข้างๆ แล้วถามว่า
“ถามเธอเถอะ”
“ฉันเหรอคะ?”
“ใช่ ถ้ามีชิพเตอร์อยู่ด้วยก็จะล่ากรีดได้ง่ายขึ้นมาก แต่ก็น่าจะมีตัวเก่งๆ ระดับสูงโผล่ออกมา ฉันให้ลูน่าตัดสินใจว่าจะไปรึเปล่า”
“ไปค่ะ” ลูน่าพยักหน้ากล่าวพลางขมวดคิ้วขึ้น
“ฉันอยากเติบโตขึ้นค่ะ ฉันอยากไปด้วยค่ะ”
“ตามนั้นแหละ พวกเราขอไปด้วย” ไลท์เอ่ยกับจูดัส
“ถ้างั้นช่วยไปเตรียมตัวกันภายในห้านาทีด้วยนะครับ เพราะเรามีเวลาไม่มาก” จูดัสเอ่ยทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกไปนอกห้อง ทั้งสี่หันมาสบตากันก่อนจะแยกย้ายกันไปเตรียมตัว
และมุ่งหน้าสู่การต่อสู้ที่ดุเดือดซึ่งมีอมนุษย์นับร้อยรอคอยอยู่ข้างหน้า
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นผ่านไปแจ๊สเปอร์ก็ได้คิดขึ้นได้ว่า อา..มันต้องเป็นเพราะคำพูดของครอสซ์แน่ๆ