บทที่32: ไป่ยู่ปราบปีศาจ
บทที่32: ไป่ยู่ปราบปีศาจ
“ข้าคิดว่าหลังจากที่ความจริงของคดีเปิดเผย คนร้ายต้องขัดขืนการจับกุมแน่นอน จึงอยากให้พี่จงกับมือปราบคนอื่นๆ เตรียมตัวไว้ หากเมื่อไหร่ที่เห็นว่าจะเกิดเรื่องไม่ดี ขอให้พี่ส่งสัญญาณเรียกทุกคนเข้ามาคุ้มครองคนในห้องทันที” ไป่ยู่กล่าวขึ้นระหว่างที่หงซาเถียนกำลังจัดเตรียมกำลังไปคฤหาสน์สกุลงัก
“หากเจ้าคิดว่าจะเกิดเรื่องร้ายเช่นนั้น ทำไมถึงยังให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องมาร่วมเสี่ยงด้วย” โจวหม่าจงถามอย่างสงสัย ไป่ยู่นิ่งเงียบไปคล้ายหาคำอธิบาย
“เพราะแม้ทุกคนจะไม่ใช่คนร้าย แต่พวกเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีด้วยทุกคน หากไม่ทำเช่นนี้คนร้ายตัวจริงคงหาทางหลีกเลี่ยงด้วยการไม่เผยตัวตนที่แท้จริง”
“ข้าเองไม่เข้าใจหรอกนะว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร แต่ถ้าเจ้าว่าดีข้าก็ว่าดี เจ้าเองเถอะ อย่าทำอะไรเกินตัวอีก”
“แน่นอน ข้าไม่อยากถูกพี่ต่อยจนสลบอีก” ไป่ยู่กล่าวยิ้ม หม่าจงหัวเราะตอบก่อนจะหันไปเรียกหานตง ลูกน้องของตัวเองเพื่อตระเตรียมวิธีรับมือ
ตอนนั้นหม่าจงก็เดาไว้แล้วว่าเรื่องที่เกิดจะไม่ง่ายอย่างที่คิด แต่ก็ไม่นึกว่าคนร้ายคราวนี้จะกลายเป็นปีศาจที่มีมือนับสิบงอกออกมาจากกลางหลังเช่นนี้
ภาพตรงหน้าคืองักโยวที่ไม่เหลือเค้าของคนสติไม่สมประกอบ หากกล่าวให้ถูกคือไม่เหลือเค้าความเป็นคนเลยด้วยซ้ำ หม่าจงผิวปากส่งสัญญาณตามที่นัดหมายไว้กับหานตงและเจ้าหน้าที่มือปราบทุกคน
ทันทีที่ได้ยินเสียง หานตงรีบชักดาบแล้วบุกเข้ามาในห้องอย่างเร่งด่วน เฉินหลินที่แอบเงี่ยหูฟังอยู่ริมประตูเซถลาล้มเข้ามาในห้องด้วย ปีศาจร้ายที่อยู่ในห้องทำให้หลายคนชะงักไปชั่วขณะ
“คุ้มครองทุกคน!” หม่าจงตะโกนลั่นเรียกสติทุกคนให้กลับมา
เจ้าหน้าที่มือปราบรีบแบ่งกลุ่มเขาไปดูแลแม่เฒ่าฝู เสี่ยวจือ งักหลิว งักฮัวและซาเถียน งักโยวหันไปหางักฮัวที่อยู่ใกล้ตัวแต่ทำเพียงแค่จ้องก่อนจะตวัดหางตาไปหาเสี่ยวจือ
ไป่ยู่กะไว้อยู่แล้วว่า หากงักโยวคิดจะเล่นงานใคร คงไม่พ้นงักหลิวกับเสี่ยวจือ เพราะสองคนนี้ หนึ่งไม่นับเป็นสายเลือด อีกหนึ่งคือเป้าหมายสำคัญ จอมเวทสะบัดยันต์ไปหาทั้งสองคน กลายเป็นฝูงหมาป่าจำนวนมากช่วยคุ้มกันภัยสองคนนั้น
งักโยวหันมาหาไป่ยู่ ดวงตาเต็มไปด้วยความอาฆาต
“พี่จง ดำเนินตามแผน” ไป่ยู่กระซิบบอก
หม่าจงขว้างมีดสั้นจำนวนมากไปที่งักโยว มือนับสิบที่งอกเต็มหลังคว้าจับและกันมีดเหล่านั้นออกได้อย่างง่ายดาย งักโยวแสยะยิ้มริมฝีปากฉีกกว้าง หนึ่งรองหัวหน้ามือปราบและหนึ่งจอมเวทยิ้มตอบ
มีดสั้นที่งักโยวคว้าไว้ รวมถึงที่ปักอยู่บนผิวซีดขาวพลันระเบิดขึ้นกลายเป็นประกายไฟลุกไหม้
“ทุกคนถอย!” ไป่ยู่สั่งการพร้อมสะบัดยันต์อีกสองแผ่นกลายเป็นพยัคฆ์เข้าโจมตีปีศาจร้ายในม่านควัน
เจ้าหน้าที่มือปราบเร่งพาทุกคนออกมาจากภายในโถงใหญ่ โดยมีไป่ยู่และหม่าจงยืนคุมเชิงไว้ ม่านควันปกคลุมทั่ว หม่าจงกระชับดาบในมือแน่น เตรียมพร้อมรับมืออันตราย
ทว่าในความเงียบนั่น เกิดเสียงไอดังกลบจนไป่ยู่และหม่าจงแตกตื่นใจ พอหันไปต้นเสียงทั้งสองพบเฉินหลินที่ไปอยู่มุมหนึ่งของห้องโถงได้เช่นไรไม่รู้
“เฉินหลิน!” เพียงแค่เรียกชื่อ ยังไม่ทันได้เตือนหรือร้องบอกให้อีกฝ่ายหลบหนี
ร่างของงักโยวในคราบปีศาจร้ายก็พุ่งตัวอย่างรวดเร็ว ตรงเข้ากระชากร่างของดรุณีน้อยไว้เป็นประกัน มันแสยะยิ้ม ดวงตาเต็มไปด้วยความอำมหิต หากเพียงแค่บิดมือที่กำรอบคอเฉินหลิน นางคงตายอย่างไร้ทางช่วย
“อย่า!” ไป่ยู่ตวาดลั่นท่าทางทั้งเดือดดาลและร้อนรน
หม่าจงคิดขว้างมีดสั้นใส่อีกฝ่ายเพื่อทำร้ายมันอีกครั้ง ทว่างักโยวหันมามองอย่างรู้ทันและขยับตัวหลบอยู่หลังตัวประกัน
ม่านควันจางหาย ทำให้เห็นร่างของงักโยวในร่างปีศาจได้อย่างชัดเจน แม้แรงระเบิดจากดินปืนที่ติดอยู่กับมีดสั้นซึ่งหม่าจงเลียนแบบจากพรานป่าหนานจิ่นสือจะไม่สามารถฆ่ามันได้ แต่ก็ทำให้งักโยวบาดเจ็บไม่น้อย ร่างซีดขาวนั่นครึ่งหนึ่งแหลกเละด้วยรอยไหม้จากดินระเบิด รวมถึงมือที่งอกจากด้านหลังซึ่งคว้ามีดสั้นเอาไว้ก็ขาดกระเด็นไปเกินครึ่ง
หม่าจงหันมองไป่ยู่คล้ายอยากถามว่าควรทำเช่นไรต่อในสถานการณ์เช่นนี้ แต่อีกฝ่ายร้อนใจจนไม่ได้หันมามองตอบ สิ่งเดียวที่ไป่ยู่มองคือเฉินหลินที่กำลังเจ็บปวดอยู่ในมือของปีศาจร้าย
ความจริงแผนการควรเป็นทั้งสองคนล่อให้งักโยวตามเข้าไปในป่า เพราะที่นั่นมีปีศาจหัวหมูป่า ไป่ยู่เชื่อว่ามันจะออกมากำจัดงักโยวอย่างแน่นอน ทว่าการที่เฉินหลินถูกจับตัวได้ ไม่เพียงทำให้ผิดแผน ซ้ำยังทำให้พวกเขาขาดการรับมือเพราะไป่ยู่สติไม่อยู่กับตัว และหม่าจงรู้ด้วยว่าไป่ยู่จะกระทำการใดต่อไป
“ปล่อยนางเดี๋ยวนี้!” ไป่ยู่ตะคอกลั่นแล้วพุ่งถลาเข้าไป
หม่าจงคาดเดาไว้ไม่ผิด คิดจะห้ามก็ไม่ทันแล้ว เพราะจะทำให้เสียจังหวะและนั่นจะยิ่งทำให้ดรุณีน้อยเป็นอันตรายยิ่งขึ้น จึงซัดมีดสั้นใส่เป็นการโจมตีทั้งสองด้าน
มิคาดคิดปีศาจร้ายฉลาดกว่าที่คาดการณ์ไว้ มันซัดฝ่ามือใส่กลางหลังของเฉินหลิน ร่างของดรุณีน้อยพุ่งกระเด็นตรงเข้าใส่ไป่ยู่ งักโยวกระโดดขึ้นสูงหลบมีดที่หม่าจงซัดไปแม้ไม่พ้นทุกเล่มแต่ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บหนักจนหยุดนิ่ง
ไป่ยู่รับร่างของเฉินหลินไว้ก่อนที่จะทรุดตัวลงกับพื้นประคองร่างของนางที่สลบไป สีหน้าเขาเจ็บปวดเมื่อเห็นเฉินหลินบาดเจ็บสาหัส งักโยวที่กระโดดลอยสูงพุ่งตรงเข้าหาไป่ยู่ที่ก้มดูอาการของเฉินหลินไว้โดยไม่ทันระวังตัว
มีดสั้นของหม่าจงที่ปักร่างของงักโยวระเบิดขึ้นแต่ไม่สามารถหยุดยั้งมันไว้ได้ มืดซีดขาวของปีศาจร้ายเตรียมซัดใส่ไป่ยู่ หม่าจงพุ่งเข้าไปกระชับดาบในมือแน่นเตรียมฟันใส่
นาทีนั้นเกิดเสียงดังกัมปนาทสนั่นสะเทือนทั่วห้องโถง เมื่อร่างของปีศาจหัวหมูป่ากระโดดทะลุหลังคากระแทกลงมาที่พื้น ร่างของหม่าจงกระเด็นออกมาเพราะแรงกระแทก มันยืนตระหง่านหลังไป่ยู่ที่ก้มอยู่ ก่อนจะตวัดมือเข้าใส่เขาอย่างรวดเร็ว
ไป่ยู่ใช้มือข้างหนึ่งสร้างวงเวทความมืดขึ้น กงเล็บของปีศาจหัวหมูป่าพุ่งเข้าใส่ เมื่อปะทะกัน ครึ่งหนึ่งของมือมันถูกความมืดนั่นเฉือนขาด ไป่ยู่ขยับตัวเบี่ยงให้ส่วนที่เหลือของมือใหญ่ยักษ์นั่น ตรงเข้าใส่ร่างของงักโยวที่พุ่งลงมาอย่างเต็มแรง
ร่างมหึมาโถมไปข้างหน้าอย่างเสียหลัก พาร่างปีศาจของอีกฝ่ายเข้ากระแทกกำแพงก่อนจะสลบไป กงเล็บที่ขาดหวิ่นแทงทะลุตัวของงักโยว คุณชายเล็กสกุลงักกระอักเลือดดิ้นพล่านคาอยู่เช่นนั้น พยายามใช้มือที่งอกกลางหลังทำร้ายร่างของปีศาจหัวหมูป่า แต่ก็ไม่อาจทำอันตรายใดๆ ใส่อีกฝ่ายได้ ที่สุดแล้วร่างนั้นก็ค่อยๆ แน่นิ่งลงอย่างช้าๆ
หม่าจงมองอย่างตระหนก ไป่ยู่วางร่างของเฉินหลินลงพื้นอย่างเบามือแล้วเดินตรงไปที่ร่างของปีศาจหัวหมูป่า แขนข้างที่ใช้วงเวทมืดเมื่อครู่เต็มไปด้วยเลือด เพราะแม้จะสร้างอาคมขึ้นได้ แต่ก็ไม่ทันป้องกันได้ทั้งหมด จึงถูกเฉือนเนื้อบางส่วนไป
ไป่ยู่หยุดยืนยกสองแขนขึ้นอย่างยากลำบาก ก่อนจะสร้างวงเวทความมืดที่ใหญ่กว่าเดิมขึ้นมาอีกครั้ง แล้วปล่อยให้ความมืดนั่นดูดกลืนร่างของปีศาจทั้งสองจนหมดสิ้นไป
หม่าจงมอง รู้สึกตื่นตะลึงทุกครั้งที่ได้เห็นวิชาของจอมเวทผู้นี้ ระหว่างนั้นเขาสังเกตเห็นบางสิ่ง เกิดบางอย่างขึ้นกับร่างของไป่ยู่
คล้ายสิ่งที่ความมืดดูดกลืนไป เข้าไปอยู่ในร่างของจอมเวท เสี้ยวหน้าหนึ่งในชั่วขณะ เหมือนมีใบหน้าของงักโยวเกิดขึ้นแทนที่หน้าของเขา เพียงแวบเดียวมันกลับกลายเป็นหน้าของปีศาจหัวหมูป่า แล้วสลับไปมาอยู่เช่นนั้น จอมเวทยืนเกร็งร่างอยู่เช่นนั้น
หม่าจงลุกขึ้นคิดเข้าไปดูอาการ ทว่ายังไม่ทันแตะตัว ไป่ยู่ก็ลืมตาขึ้น ดวงตาทั้งสองข้างกลายเป็นสีดำสนิทเหมือนหลุมลึกไร้ที่สิ้นสุด หม่าจงชะงัก ไม่รู้ควรทำเช่นไร เพียงสักพักใบหน้าและดวงตาก็กลับกลายเป็นไป่ยู่เช่นดังเดิม
“ไป่ยู่!” หม่าจงเรียก จอมเวทหันมามองตามเสียง
“เฉิน... หลิน” กล่าวได้แค่นั้นไป่ยู่ก็สลบไป หม่าจงรีบเข้าประคองก่อนร่างของอีกฝ่ายจะล้มกระแทกพื้น
เมื่อเห็นดังนั้น เท่ากับเป็นสัญญาณบอกให้ทุกคนที่หนีออกไปด้านนอกรู้ว่าทุกอย่างคลี่คลายแล้ว แม่เฒ่าฝูพยายามจะเดินเข้ามาดู หวังจะได้หลานชายคนที่สามกลับคืน แต่ก็เช่นเดียวกับที่นางไม่สามารถเดินได้ ไร้ซึ่งความหวัง กระทั่งร่างที่จะได้นำไปทำพิธีศพยังไม่มี...
ที่มีคือเสียงร่ำไห้ของคนชราที่ต้องสูญเสียคนที่ตนรักไปอีกหนึ่ง นำพาความโศกศัลย์สู่จิตใจของทุกคน...
..............................................
เริ่มด้วยความโลภ จบลงด้วยความทุกข์ระทม...
เมื่อหลายสิบปีก่อนยุคสมัยเต็มไปด้วยความเลวร้าย เมื่อจักรพรรดิแซ่โจว หลงเชื่อขุนนางกังฉิน เข่นฆ่าขุนนางดี กดขี่ประชาชน ไม่เว้นแม้แต่แม่ทัพแซ่งักผู้ภักดี
ก่อนถูกบั่นศีรษะขาดกระเด็น แม่ทัพผู้ซื่อสัตย์ถูกความโกรธแค้นครอบงำสาปแช่งขุนนางกังฉินให้ตายตกตามตน
วันเวลาผ่านพ้น ชาวบ้านยิ่งทุกข์ระทมเพราะจักรพรรดิหลงมัวเมาในสิ่งจอมปลอม นานวันเข้าความอดทนถึงขีดจำกัด เกิดการกบฏขึ้นทั่วหล้าทั้งแผ่นดิน
หนึ่งในนั้นนำกำลังโดยวีรชนแซ่จ้าว เขารวบรวมชาวบ้าน กลายเป็นกองทัพคุณธรรมบุกยึดอำนาจ ฆ่าขุนนางกังฉิน สังหารจักรพรรดิแซ่โจว ก่อตั้งยุคสมัยใหม่ขึ้น กลายเป็นจักรพรรดิที่ทุกคนเชิดชู
หลังการฟื้นฟูแผ่นดินให้กลับมาดียิ่งกว่าเดิม ชาวบ้านอยู่เย็นเป็นสุข ทว่าจักรพรรดิแซ่จ้าวรู้ดีว่าการขึ้นมาเป็นใหญ่ของตนเปื้อนเลือดของผู้คนไม่น้อย อาจทำให้มีหลายฝ่ายไม่พอใจ โดยเฉพาะพวกขุนนางเก่าที่ยังหลงเหลืออยู่ ด้วยเกรงว่าจะกลายเป็นชนวนให้เกิดความไม่สงบปลุกระดมชาวบ้านขึ้นมาต่อต้านอีก ดังเช่นที่ตนเคยทำ
จักรพรรดิแซ่จ้าวคิดซื้อใจประชาชนจึงรื้อฟื้นคดีของขุนนางผู้ภักดี เพื่อเชิดชูเกียรติให้ทุกคนเห็นว่าตนปกครองด้วยคุณธรรมแตกต่างจากจักรพรรดิในยุคเก่า
คดีของแม่ทัพสกุลงักจึงถูกนำมาตัดสินใหม่ว่าไม่มีความผิด เป็นที่พอใจของชาวบ้านทุกคน จักรพรรดิออกราชโองการให้ตามหาทายาทของสกุลนั้นเพื่อรับบำเหน็จความชอบฟื้นฟูสกุลขึ้นใหม่อีกครั้ง
เวลานั้นสตรีนางหนึ่งและลูกน้อยใกล้ตายอยู่ในวัดร้างเพราะอดอาหารมานานหลายวัน ชีวิตสุขสบายที่เคยมีก่อนที่จะเกิดการเปลี่ยนยุคสมัยและล้มราชบังลังก์ เป็นเหมือนความฝันในยามหลับชั่วข้ามคืน
เมื่อนางได้ยินข่าวการตามหาทายาทของสกุลงัก สตรีผู้นั้นจึงนำหยกที่เป็นเพียงสมบัติเพียงชิ้นเดียวและเรื่องเล่าที่ได้ยินมาจากบิดา เข้าไปแสดงตัวด้วยความโลภและกลัวอดตาย บอกว่าตนเป็นทายาทที่เหลืออยู่ของสกุลงัก นามของนางคือ งักฝูและมีบุตรที่ชื่องักหลอ
โดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่า ชื่อนั้นเป็นชื่อปลอมที่นางคิดขึ้น เพื่อไม่ให้ใครรู้ว่าตนเป็นทายาทของกังฉินที่เป็นต้นเหตุให้ แม่ทัพสกุลงักต้องถูกประหารชีวิต...
เคยมีคนกล่าวไว้ว่า แม้คนจะโกหกใครในแผ่นดินทั่วหล้าได้ แต่ไม่อาจบิดเบือนความจริงในใจตน
ชีวิตหลังจากนั้นของนางฝู ต้องอยู่ด้วยความรู้สึกผิด แม้นางจะได้ชีวิตที่เคยสุขสบายกลับมา แต่ต้องหวาดระแวงว่าความจริงจะถูกเปิดเผยเมื่อไหร่
เช่นนั้นหนทางที่นางคิดออกว่าจะปลอดภัยจากโทษเท็จทูลเบื้องสูง แอบอ้างเป็นคนอื่น จึงเป็นการตัดขาดจากผู้คน แม้จักรพรรดิจะเสนอให้ลูกชายเป็นขุนนาง แต่นางจำต้องโกหกอีกครั้งว่าลูกของตนเป็นเพียงคนโง่เขลาไร้ความรู้ใดๆ ทั้งที่มันไม่จริง
นางไม่รู้ ว่านั่นนับเป็นบาดแผลหนึ่งในใจลูกชายของนางจนส่งผลในเวลาต่อมา...
ในตอนที่เกิดการกบฏ ก่อนที่นางจะต้องหนีตายจากพวกกองทัพศัตรู บิดาผู้เป็นขุนนางกังฉินคล้ายรู้ชะตาของตน จึงมอบหยกของสกุลงักที่เคยยึดเอามาพร้อมทั้งบอกว่า แม่ทัพผู้ภักดียังมีสมบัติอีกมากมายเก็บซ่อนไว้ในที่ดินของตัวมันเอง นางฝูจำคำนั้นได้จึงขอสิ่งตอบแทนเป็นที่ดินผืนเดิมของบรรพชนสกุลงักเพื่อหวังจะค้นหาสมบัติ
หลายปีที่เลือกเป็นเพียงสามัญชน แต่ชื่อเสียงของสกุลที่ไม่ใช่ของตนก็ทำให้มีผู้คนอยากรู้จักและนับถือ ยิ่งอยากหนียิ่งทำไม่ได้อย่างที่ใจคิด เพราะยังหาสมบัติไม่เจอ
จนเมื่อลูกชายเติบใหญ่ขึ้นเริ่มมีความคิดเป็นของตัวเอง ตั้งใจจะหางานทำเป็นหลักเป็นฐานโดยไม่หวังนั่งกินนอนกินสมบัติพระราชทานที่ลดน้อยลงทุกที นางฝูกลับไม่ยินยอมให้ลูกชายทำ
นางกลัว กลัวว่าวันหนึ่งทุกคนจะลูกความจริงของตระกูลงักที่นางซ่อนไว้
“ท่านแม่จะต้องกลัวอะไรนักหนา พวกเราคือคนสกุลงักไม่ใช่พวกขุนนางกังฉินสักหน่อย” แค่คำนั้นของลูกชายที่กล่าวออกมา ก็ทำให้นางฝูรู้แล้วว่าตนทำผิดใหญ่หลวง
งักหลอที่เติบใหญ่ จำไม่ได้แล้วว่าแท้จริงตัวเองเป็นคนแซ่อะไร หลงติดอยู่ในคำลวงที่แม่โกหกทุกคน ทำให้บรรพชนที่แท้จริงของตนเองต้องสิ้นสุดทายาทสืบทอดแซ่ของตัวเอง แล้วยังไม่ใช่คนสกุลงักที่แท้จริงอีกด้วย
หลายคืนที่นางฝูนอนหลับแล้วสะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างสับสน ว่าตนเองเป็นใคร...