บทที่ 40 ชื่อของเจ้าคือ...
บทที่ 40 ชื่อของเจ้าคือ...
ดรุณีน้อยนางหนึ่งปรากฏตัวขึ้นหลังจากแสงสว่างห่อหุ้มร่างกายแตกสลายไป ดวงตาของเธอแลดูคล้ายคลึงกับรูปลักษณะของดวงตามังกรยิ่งนัก สีส้มแดงที่ส่องประกายออกมาช่างดูคล้ายคลึงกับมังกรนิลกาฬเมื่อสักครู่ไม่มีผิด เรือนร่างของเธอดูสูงน้อยกว่าไอช่าเล็กน้อย แต่ไม่ได้บางเท่าเทียมกับไอช่า ยังพอมีสัดส่วนนูนเว้าพอให้เห็นบ้างประปราย เรือนผมของเธอมีสีดำอมน้ำเงิน ความยาวเลยหัวไหล่มานิดหน่อย ลักษณะเป็นเส้นแข็งกระจัดกระจายเหมือนหนามที่ไม่เป็นระเบียบ
“ฮ้าวว”
หลังจากนั้นหญิงสาวตรงหน้าก็หาวออกมาหวอดใหญ่ เธอยืดเส้นโดยการเหยียดแขนขึ้นจนสุดอย่างสบายอารมณ์ ท่ามกลางสายตาของทั้งสี่คนที่ในตอนนี้กำลังงงงวยไม่ต่างกัน อย่างไรก็ตามแต่ ตัวเธอที่ยืนอยู่เบื้องหน้าคณะสี่คนตอนนี้อยู่ในสภาพเปลือยเปล่า ไม่ได้สวมเสื้อผ้า ทำให้การเหยียดแขนยืดเส้นเมื่อสักครู่ ได้โชว์สัดส่วนทั้งหมดให้ทั้งสี่คนตรงนี้ได้ประจักษ์แจ้งแก่สายตา
“...มันเป็นไปได้เหรอไอช่า” เป็นฟาร์ชูลันที่เริ่มต้นพูดขึ้นก่อน โดยหันไปหาน้องสาวของตนเอง แม้จะมองไม่เห็นสีหน้าของน้องสาวที่ยืนหันหลังให้อยู่ด้านหน้า แต่ก็สัมผัสได้ว่าตอนนี้ไอช่าคงจะมีสีหน้าประหลาดใจไม่แพ้กันหรอก
“ไม่...ไม่น่า...เอ่อคือ...” เป็นอย่างที่คิด ไอช่าเองก็ยังสับสนจนจับต้นชนปลายไม่ถูก
“คงไม่ใช่แบบที่ข้าคิดหรอกใช่มั้ย?” ซิลเวอร์มั่นใจว่าตัวเองกำลังคิดแบบเดียวกับทุกคนแน่ ๆ
“อย่างน้อยเราควรจะหาเสื้อผ้าให้เธอใส่ก่อนนะ” ฟาร์ชูลันร่ายเวทมนตร์ขึ้นชั่วขณะหนึ่งก่อนจะโยนเวทมนตร์ที่ร่ายออกมาใส่ร่างของหญิงสาวคนนั้น แล้วหลังจากนั้นร่างทั้งร่างของเธอก็ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยเศษผ้าคลุมผืนใหญ่ขนาดพอดีตัว ไม่นึกไม่ฝันว่าฟาร์ชูลันจะเก็บเอาเวทมนตร์แปลก ๆ แบบนี้ไว้กับตัวด้วย
ผู้หญิงแปลกหน้าคนนั้นทำท่าทางการเดินแปลก ๆ เธอก้าวขาได้สักข้างก็ทำท่าเซเหมือนจะล้มลง แล้วพอทรงตัวไม่ได้ก็พยายามยืนนิ่งจนกว่าจะยั้งร่างกายไว้กับที่ได้ พอขยับตัวอีกก็มีบางช่วงที่เผลอจะเอาแขนทั้งสองข้างไปยันไว้กับพื้น พอรู้สึกตัวแบบนั้นก็พยายามกลับมายืนสองขาอีกครั้ง ช่างเป็นภาพที่แปลกประหลาดนัก
ถึงอย่างไรเธอก็พยายามขยับเคลื่อนร่างกายตนให้เดินมาข้างหน้าได้จนได้ แม้จะทุลักทุเลอยู่บ้าง แต่ก็เดินเลยสองสาวแม่มดจนมาหยุดอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่มผมสีน้ำตาลอย่างสไปค์แล้ว เธอส่งมอบรอยยิ้มที่เปี่ยมสุขให้กับสไปค์โดยไม่พูดไม่จาอะไร ก่อนจะโผเข้ากอดอย่างแนบแน่นในทันที
“ดะ...เดี๋ยวก่อน!”
“ทำอะไรน่ะ!”
ฟาร์ชูลันรีบพุ่งตัวเข้าไปแทรกระหว่างกลางเอาไว้ เธอแยกร่างของหญิงสาวคนนั้นออกมาได้อย่างยากลำบาก ก่อนจะทำหน้าขึงขังเหมือนต้องการจะดุฝ่ายตรงข้าม ด้านสไปค์ที่ไม่รู้ว่าควรต้องวางตัวยังไงถึงกับพูดอะไรไม่ออก เลยได้แต่ทำท่ายืนเฉย ๆ ไป ส่วนหญิงสาวที่โดนกีดกันพลันแยกเขี้ยวตนออกมา ช่างเหลือเชื่อที่แถวฟันของเธอดูไม่เหมือนฟันที่เรียงกันเป็นระเบียบของมนุษย์เลย มันมีเขี้ยวแทรกออกมาหลายจุดจนดูคล้ายกับสัตว์ร้ายมากกว่า
“ไอช่า กดร่างของยัยนี่ไว้ให้หน่อย” ฟาร์ชูลันหันไปสบสายตากับไอช่า น้องสาวรับคำพี่สาวก่อนจะปล่อยพลังเวทมนตร์อันหนักหน่วงกดทับร่างของหญิงสาวคนนั้นไว้ในระยะที่เจาะจงแค่จุดเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นฟาร์ชูลันก็เริ่มร่ายมนตร์คาถาขึ้น พลังเวทมนตร์ในตัวเริ่มพรั่งพรูออกมา
“มหาเวทจักรวาล พันธะแห่งสุริยา”
บังเกิดแสงสว่างคล้ายแสงของพระอาทิตย์ขึ้นมาที่ร่างกายของเป้าหมาย แสงสว่างนั้นกลายลักษณะเป็นเหมือนกับยางมัดร่วมสามเส้นเข้ามัดตรึงร่างกายของหญิงสาวคนนั้นเอาไว้อย่างแน่นหนาจนไม่สามารถขยับดิ้นหลุดได้ แต่ละเส้นก็มัดเอาไว้ทีละส่วน ทั้งขา แขนกับลำตัว และส่วนเอว เมื่อเสียการทรงตัวเธอก็ล้มลงกับพื้น พอโดนประทำแบบนี้เธอก็แยกเขี้ยวใส่พลางส่งเสียงขู่คำรามในลำคอเรื่อย ๆ
“เอาล่ะ ไอช่า ถามยัยนี่ทีซิว่าทำไมถึงได้กลายร่างเป็นมนุษย์ได้?”
เป็นดังว่า...หญิงสาวที่ปรากฏตัวหลังจากมังกรนิลกาฬหายไปจะเป็นสิ่งใดไปได้อีก หากไม่ใช่มังกรนิลกาฬปลอมแปลงร่างกายเป็นมนุษย์... ทุกคนต่างก็คิดเช่นนั้นเป็นเสียงเดียวกัน เธอคนนี้ก็คือมังกรนิลกาฬตัวนั้นนั่นเอง
ไอช่าเริ่มส่งการสนทนาผ่านจิตเวทอีกครั้ง มังกรหันหน้ามาทางเธอด้วยแววตาที่โกรธขึงดุดัน พอการสื่อสารดำเนินไปได้สักพักหนึ่งไอช่าก็หันมาทางพี่สาวแล้วเริ่มถ่ายทอดคำพูดของมังกรออกมา
“ก็ข้าเป็นคนแล้วนี่ไง!”
“เป็นคนแล้วจับข้าไว้ทำไม ก็ข้าจะอยู่ร่วมกับนายท่านของข้า!”
“หรือพวกเจ้าอยากให้ข้าจับกินเรียงตัว เจ้าพวกมนุษย์! อ้อ ยกเว้นนายท่านของข้าไว้คนนึงนะ”
“ปล่อยข้าสิโว้ย! ปล่อย!”
“อุวะ ไอ้มัดแสงนี่มันอะไรกัน ขยับไม่ได้เลย”
หลากหลายข้อความที่ไอช่าเอ่ยออกมาหลังจากได้รับการถ่ายทอดจากมังกรที่ในตอนนี้อยู่ในร่างของสาวน้อยนั้น ช่างเป็นประโยคที่ฟังดูแล้วไม่ชวนให้นึกว่าเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เลยสักนิด
“จะทำยังไงดี มัดแบบนี้ไปตลอดก็คงไม่ได้หรอกนะ” แม้จะกลายร่างเป็นมนุษย์แล้วก็ตาม แต่ด้วยความที่เนื้อในก็ยังเป็นมังกรอยู่ ทำให้ไอช่าอดรู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจไม่ได้ เธอหันไปขอความเห็นจากพี่สาวตนโดยจงใจเลี่ยงที่จะขอความเห็นจากผู้ชายอีกสองคน เนื่องจากเธอไม่ต้องการจะสนทนากับพวกนั้น
แต่ฟาร์ชูลันกลับหันหน้าไปทางสไปค์ทันทีที่ไอช่ากล่าวจบ
“ให้นายเป็นคนตัดสินแล้วกัน เพราะคนที่ทำให้ยัยมังกรนี่เป็นแบบนี้ก็คือนาย”
แม้จะกล่าวออกมาแบบนั้น แต่ในใจฟาร์ชูลันก็ยังคงสับสนอยู่ เพราะแม้จะเป็นมังกรก็ตามที แต่ภาพที่เห็นไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็คือเด็กผู้หญิงที่ไม่ประสีประสาคนหนึ่งเท่านั้นเอง ฟาร์ชูลันคาดหวังเป็นอย่างมากกับคำตอบของสไปค์ ไม่ว่าเขาจะให้คำตอบแบบไหน เธอยินดีเห็นด้วยทุกทาง แต่ต้องอยู่ในเหตุผลที่ฟังขึ้น
“จู่ ๆ ให้ข้าตัดสินใจแบบนี้มันก็กะทันหันเกินไปหน่อยมั้ยนะ...”
สีหน้าของสไปค์เต็มไปด้วยความสับสนจนคนรอบข้างรู้สึกได้ แต่ทุกคนก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ราวกับต้องการจะกดดันให้เขาให้คำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ สไปค์เดิมทีไม่ได้เป็นคนที่เชี่ยวชาญการตัดสินใจอย่างกะทันหันอยู่แล้ว พอโดนบอกให้ตัดสินใจทันทีแบบนี้มันก็ชวนให้รู้สึกกดดันจนทำอะไรไม่ถูกเลยจริง ๆ
“เอาเถอะ เจ้าช่วยถ่ายทอดคำพูดของข้าหน่อยก็แล้วกัน” สไปค์หันไปหาไอช่า แม้จะรู้สึกไม่สบอารมณ์นักแต่ไอช่าก็ตอบรับคำขอนั้น พอเห็นแบบนี้แล้วสไปค์ก็หันไปทางมังกรนิลกาฬร่างมนุษย์แล้วเริ่มต้นพูดทันที
“ก่อนอื่นเลย ข้าไม่ได้ต้องการสัตว์เลี้ยง ต่อให้เจ้าจะอยู่ในรูปลักษณ์มังกรหรือมนุษย์ก็ตาม”
ไอช่าเริ่มถ่ายทอดคำพูดของสไปค์ทันทีหลังจากที่พูดจบประโยค
“และข้าก็ไม่ได้ต้องการคนติดตามในความหมายอื่นอย่างเช่น ข้ารับใช้ คนรับใช้ หรืออะไรก็ตามแต่ที่มาในทำนองแบบเดียวกัน แต่ว่า...”
สไปค์ชะงักคำพูดไปช่วงหนึ่งก่อนจะมองดูดวงตาของมังกรสาวน้อยที่ในตอนนี้ปรากฏแววความเศร้าออกมา หลังจากไอช่าถ่ายทอดคำพูดของสไปค์ออกไปให้เธอคนนี้รับรู้ทีละประโยค สีหน้าของมังกรสาวก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป จากความโกรธขึง ดึงดัน เริ่มกลายเป็นใบหน้าที่เรียบนิ่งจนกระทั่งเปลี่ยนเป็นความเศร้าซึม
สไปค์หวนนึกถึงช่วงเวลาก่อนหน้านี้ ในตอนที่เขาโอบกอดร่างของเธอตอนที่เป็นมังกรเอาไว้ ความรู้สึกอบอุ่นในตอนที่ทั้งสองต่างมอบให้กัน ราวกับเชื่อมความรู้สึกถึงกัน เหมือนเขาแค่ช่วยเยียวยาเธออยู่ฝ่ายเดียว แต่ความจริงเขาเองก็ได้รับความอบอุ่นนั้นมาไม่ต่าง
รวมถึงความเศร้าที่มังกรตนนี้เก็บเอาไว้ในใจด้วย...
ความโดดเดี่ยวลำพังในถ้ำแห่งนี้ รวมถึงความรู้สึกจากการโดนทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส เป็นจุดที่ทำให้มังกรนิลกาฬไม่อาจไว้ใจคนแปลกหน้าที่ไหนทั้งสิ้น แต่พอได้สัมผัสกับตัวตนของสไปค์ จะเพราะปราณไร้ลักษณ์หรืออะไรก็ไม่ทราบ แต่ความอบอุ่นที่เชื่อมถึงกัน บาดแผลที่ถูกรักษาหาย มังกรสาวนึกอยากเปลี่ยนความคิดตนเองว่าถ้าหากเป็นชายผู้นี้ล่ะก็ แม้จะเป็นชีวิตก็ยอมมอบให้ได้
สไปค์ตรงเข้าไปหาเธอ ยื่นมือเข้าไปสัมผัสใบหน้าที่เริ่มมีน้ำตาไหลรินลงมา แม้จะอยู่ในร่างของมนุษย์แต่ก็ยังสัมผัสถึงอะไรบางอย่างได้ ถ้าหากเขาไม่ตอบรับคำขอของเธอล่ะก็ บางทีเธอคงกลับไปอยู่อย่างโดดเดี่ยวและเศร้าซึมเพียงลำพังอีกครั้ง
มังกรที่แข็งแกร่ง ตัวตนอันน่าเกรงขาม แท้จริงแล้วกลับอ่อนแออย่างไม่น่าเชื่อ
“ถ้าในฐานะของเพื่อนล่ะก็ ได้อยู่นะ”
แล้วคำตอบก็เปล่งออกมา สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความยินดี ไอช่าถ่ายทอดคำพูดนั้นให้มังกรทั้งที่ยังแสดงออกทางสีหน้าว่าไม่พอใจในคำตอบนี้ แม้จะถ่ายทอดคำพูดแบบนั้นออกไปจนครบหมดแต่ก็ไม่อาจยอมรับว่ามนุษย์อย่างสไปค์จะอยู่ร่วมกับมังกรได้ ในฐานะของแม่มดผู้สื่อสารกับมังกรแล้ว เธอเห็นมังกรเป็นเสมือนกับเพื่อนแท้ที่ไม่อาจทอดทิ้งไปไหน
“แน่ใจแล้วเหรอสไปค์” ฟาร์ชูลันเป็นคนที่ถาม แน่นอนว่าสไปค์พยักหน้าตอบรับโดยไม่ต้องคิดลังเลใจอีก ใบหน้าของมังกรสาวที่ถูกจับมัดอยู่เริ่มคลายความตึงเครียดขึ้น แต่ตัวเธอเองก็ยังแสดงออกถึงความประหลาดใจออกมาอยู่เหมือนเดิม
“ยัยนี่ถามนายว่า มันจะดีเหรอ?”
“ทำไมจะไม่ดีล่ะ?”
“เปล่า คือเจ้าตัวบอกว่าจะดีเหรอที่ไม่ให้เป็นสัตว์เลี้ยงน่ะ”
“ดีก็บ้าแล้ว! จะให้เลี้ยงมังกรที่รูปร่างเหมือนคนน่ะเรอะ ไม่เอาหรอก ขืนกลับเป็นมังกรก็ตัวใหญ่อีก ไม่ไหวแน่ เป็นเพื่อนกันดีแล้ว”
สีหน้าของมังกรดูดีขึ้นมาก น้ำตาแห่งความปลื้มปริ่มไหลหลั่งลงมาอาบผิวแก้ม ฟาร์ชูลันถอนหายใจออกมาก่อนจะตัดสินใจคลายพลังเวทที่มัดร่างกายของอีกฝ่ายออก เมื่อเป็นอิสระทางการเคลื่อนไหวแล้ว มังกรก็ดีดตัวลุกขึ้นมาแล้วพุ่งเข้าไปกอดร่างของสไปค์ไว้แน่นหนาจนกระดูกแทบปริ เรี่ยวแรงของเธอมหาศาลจนถ้าไม่รีดเร้นพลังปราณออกมาเสริมพลังไว้ล่ะก็ กระดูกคงจะร้าวไปทั้งตัวแน่
“เธอบอกว่าเธอดีใจมาก และขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะนายท่าน”
“ก็บอกว่าไม่ใช่นายท่านไงเล่า!”
“เธอบอกว่าเธอพอใจจะเรียกแบบนั้น อย่าห้ามเลย”
“ดื้อด้านเป็นบ้า...เอาเถอะ ทำตามที่ต้องการเลยแล้วกัน แต่ก่อนอื่นช่วยบอกให้ยัยนี่หยุดกอดรัดข้าสักที จะตายอยู่แล้วเนี่ย!”
หลังจากที่ถ่ายทอดคำพูดของสไปค์ไป มังกรสาวก็คลายแรงกอดลงก่อนจะเขย่าร่างฝ่ายชายไปมาราวกับต้องการจะเช็คว่ายังโอเคดีอยู่หรือเปล่า แต่ทำได้ไม่นานนักเธอก็เซถลากลับไปด้านหลังก่อนจะล้มตัวหงายลงกับพื้นจนเกิดเสียงดัง เธอพยายามจะลุกขึ้นมาอีกครั้ง แต่ท่าทางขยับที่แสดงออกมาให้เห็นนั้นช่างดูยากลำบากเหลือเกิน
“เพราะเป็นมังกรมาตลอด แล้วพึ่งจะกลายร่างเป็นมนุษย์ การควบคุมมันแตกต่างกันก็เลยยังไม่ชินน่ะ คงต้องให้เวลาอีกสักพัก...หือ อะไรนะ?” ไอช่าหันไปหามังกรสาวที่เหมือนจะสื่อสารอะไรแทรกเข้ามากลางคัน “ให้นายท่านแบกขึ้นหลัง? จะบ้าเหรอ เธอเป็นมังกรนะ!”
“ยัยนี่ ชักจะเยอะเกินไปแล้ว!” ฟาร์ชูลันเกรี้ยวกราด
“ก็ไม่เห็นแปลกนี่ ในเมื่ออีกฝ่ายยังควบคุมการทรงตัวไม่ได้ จะขึ้นหลังก็ไม่เห็นเป็นไร” ซิลเวอร์เป็นฝ่ายแย้งขึ้นมา
“นายน่ะหุบปากไปเลย!” สองสาวแม่มดเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
“...”
ฟาร์ชูลันหันมาทางมังกรสาวอีกครั้งก่อนจะเริ่มบริกรรมคาถาบางอย่างและปล่อยใส่เธอทันที ส่งผลให้ร่างกายของเธอลอยตัวสูงขึ้นเพราะคาถาเวทที่ฟาร์ชูลันใช้ออกไปก็คือคาถาลอยตัว ดังนั้นก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการเคลื่อนไหวอีกแล้ว เพราะต่อจากนี้ฟาร์ชูลันจะคอยควบคุมเรื่องการบินให้หมดเลย
“จริงสิ ตอนนั้นที่เราเจอกันครั้งแรก เจ้าม้ายูนิคอร์นนั่นก็ลอยขึ้นได้ทั้งที่ไม่มีปีก นี่แสดงว่าเกิดจากเวทมนตร์ของเจ้าเหมือนกับครั้งนี้สินะ” เพราะสังเกตเห็นขอบเขตระยะวงกลมโปร่งแสงเลยทำให้สไปค์ฉุกคิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้ ฟาร์ชูลันพยักหน้าตอบง่าย ๆ เหมือนไม่สนใจที่จะตอบสักเท่าไหร่ เพราะมันไม่ใช่เรื่องสำคัญขนาดนั้น
“ยังไงก็ตาม เราจะเรียกยัยมังกรนี่ว่ายังไง ถ้าจะเอากลับไปด้วยล่ะก็ อย่างน้อยต้องมีคำอธิบายแก่ทางจักรวรรดิและคนอื่น ๆ รวมถึงชื่อด้วย” ปัญหาข้อนี้นับเป็นปัญหาที่ชวนให้คิดหนักเหมือนกัน ฟาร์ชูลันจึงเลือกหยิบมาพูดก่อนที่จะยืดระยะเวลายาวนานเกินไปกว่านี้
“ให้เจ้าเป็นคนตั้งชื่อแล้วกัน สไปค์” ซิลเวอร์หันมาหาสไปค์
“เดี๋ยวสิ ตลอดชีวิตข้าเคยเจอผู้หญิงอยู่แค่ไม่กี่คน ข้าไม่ได้มีทักษะเรื่องการตั้งชื่อหรอกนะ”
“ชื่ออะไรก็ได้น่า คิดแล้วก็ตั้งไปเถอะ ยัยมังกรนี่ไม่ได้รู้จักความสวยงามของชื่ออะไรมากนักหรอก เชื่อข้าสิ”
พอได้ยินแบบนั้นแล้ว สไปค์ก็เริ่มใช้ความคิดอย่างหนัก ตลอดชีวิตเขาเคยเจอกับสตรีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่หมู่บ้านก็เต็มไปด้วยอัตราส่วนผู้ชายมากกว่าผู้หญิงอยู่แล้ว พอมาที่จักรวรรดิก็มีเพื่อนหญิงคนเดียวคือฟาร์ชูลัน รวมถึงฟลอร์เลนที่เป็นคนที่เขาตั้งใจตามหาเพื่อจะเข้าใกล้ แล้วนอกนั้นล่ะมีใครอีก?
พอคิดไปคิดมา จู่ ๆ สไปค์ก็สะดุดกึกเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้
ใบหน้าของสตรีผู้หนึ่งลอยเด่นเข้ามาในห้วงความคิด
“นึกออกแล้ว”
สไปค์พูดขึ้นก่อนจะจ้องไปยังใบหน้าของมังกรสาวที่กำลังรอฟังคำตอบจากภาษาที่ตัวเองไม่เข้าใจ
“ต่อจากนี้ชื่อของเจ้าคือ... อาเทียร์”
สิ้นสุดคำ ไอช่าก็ถ่ายทอดชื่อนั้นให้มังกรสาวรับรู้ เธอกระโดดโลดเต้นดีใจเป็นอย่างมาก ความจริงไม่ว่าจะเป็นชื่ออะไรเธอก็น่าจะดีใจหมดถ้าหากว่าสไปค์เป็นคนตั้งให้
สไปค์ยิ้มให้กับอาเทียร์ มังกรสาวน้อยที่จุติใหม่ในร่างของมนุษย์ เพื่ออยู่ร่วมกับเขาตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
สามารถติดตามอ่านตอนต่อไปได้ที่ fictionlog