ตอนที่แล้วบทที่ 32 : มีชีวิต
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 34 : กำไลข้อมือ

บทที่ 33 : ไปช้อปปิ้ง


บทที่ 33 : ไปช้อปปิ้ง

ภายหลังพิธีรับมอบอัตตะศิลาแก่เหล่านักผจญภัยเสร็จสิ้นเรียบร้อย ต่อมาจึงเป็นเวลาของงานเลี้ยงต้อนรับ ซึ่งจัดกันอย่างเรียบง่ายง่ายภายในโถงของสมาคม

ซึ่งความจริงจะเรียกว่างานเลี้ยงก็ไม่ถูกเสียทีเดียวเพราะยังต้องออกเงินค่าเครื่องดื่มของกินกันเองไม่มีเลี้ยง แต่กระนั้นมันก็ถือว่าเป็นโอกาสไม่กี่ครั้งที่เหล่านักผจญภัยจะได้มาร่วมตัวสังสรรค์พร้อมกันเช่นนี้ ถือเป็นโอกาสดีที่ต่างคนจะได้พบปะพูดคุย ไปจนถึงชักชวนกันจัดตั้งกลุ่มนักผจญภัยของตัวเอง

และไม่ได้มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่เริ่มจับกลุ่มกันเอง เพราะแม้แต่นักผจญภัยหน้าเก่ามีประสบการณ์หลายๆ คนเองก็ใช้โอกาศนี้ชักชวนนักผจญภัยที่ตนเองเล็งเอาไว้ตั้งแต่ช่วงทดสอบให้มาเข้ากลุ่มด้วยกัน ทำให้บรรยากาศของโถงสมาคมที่แต่เดิมมักดูใหญ่โตเกินความจำเป็นสำหรับสมาคมท้องถิ่นจนบางทีก็ชวนให้เหงา บัดนี้แปลเปลี่ยนกลายเป็นแน่นขนัดคึกคักขึ้นมา

แต่เหมือนบรรยากาศตื่นเต้นคึกคักเหล่านั้นจะไม่ได้มาจากความยินดีของการได้พบพานเพื่อนใหม่หรือแค่ได้ชื่อเป็นนักผจญภัยเต็มตัวอย่างเดียวเท่านั้น เพราะเหนืออื่นใดมันคือการได้สังกัดเป็นชื่อของสมาคมนักภจญแห่งเทรียล

สมาคมระดับท้องถิ่นที่ยืนยันแล้วเมื่อครู่นี้ผ่านกระดานรายชื่อ ว่ามีนักผจญภัยระดับอัญมณีอยู่มากถึงสามคน ไม่รวมฝั่งเจ้าหน้าที่ระดับยอดฝีมืออีกสองคน กลายเป็นสมาคมท้องถิ่นแห่งเดียวในเขตนี้ที่อาจจะเรียกได้ว่ามีขุมกำลังทัดเทียมกับสมาคมนักผจญภัยแห่งเมืองนอร์รัคซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่กว่าเทรียลถึงสิบเท่าไปแล้ว

และมันก็ถือว่าสมเหตุสมผลพอสมควร เพราะต่อจากนี้เทรียลจะต้องรองรับเส้นทางการค้าใหม่ รวมไปถึง อีกไม่นานมันจะกลายเป็นเมืองทางผ่านสำคัญ เต็มไปด้วยผู้ใช้เวทมนต์มากมายที่จะหลั่งไหลเข้ามา ภายหลังข่าวการค้นพบวิหารแห่งอาร์มุนแพร่ออกไป และความจริงมันก็แพร่ไปไกลถึงแดนใต้เรียบร้อยแล้ว รอเพียงเวลาเท่านั้นที่จะพัดหอบความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มาที่หมู่บ้านแห่งนี้อีกครั้ง

เทรียลในตอนนี้เปรียบเสมือนปราการด่านแรกสุดสำหรับผู้ที่จะเดินทางไปยังวิหารอาร์มุน มันจึงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่มหาจอมปราชญ์ต้องเลือกใช้มาตรการสองคำตอบให้กับเทรียล หากไม่เข้าควบคุมจัดการเบ็ดเสร็จ ก็ต้องตรวจสอบและให้การสนับสนุนยกระดับของมันขึ้นมา แน่นอนว่าด้วยเหตุผลส่วนตัวบางอย่างทำให้เขาตัดสินใจเลือกข้อหลัง ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้วางใจเต็มร้อย ยังแอบส่งสายลับมือมือดีหลายคนมาเฝ้าระวังเทรียลไม่ให้รอดพ้นสายตาของสภา

 

ในบรรยากาศครื้นเครงของการฉลอง อวดอัตตะศิลาของตนเอง และพูดคุยวางแผนถึงอนาคตของตัวในฐานะนักผจญนั้นเอง ดูเหมือนจะมีอยู่หนึ่งกลุ่มที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษมากกว่าคนอื่น เพราะเป็นสามคนที่ถูกจับตามองเป็นดาวเด่นของการทดสอบปีนี้มาตั้งแต่แรก และทั้งสามก็มีแววว่ากำลังจะตั้งกลุ่มของตัวเองขึ้นมา

จากการคาดเดาของสาวน้อยเผ่าจิ้งจอกที่นั่งยิ้มอ่านเอกสารอยู่หน้าเคาน์เตอร์ นักวิเคราะห์ระดับปฎิบัตงานคนใหม่ของสมาคมที่ไอน์เป็นคนจัดการเฟ้นหาคัดมาด้วยตัวเอง เธอคาดเอาไว้ตั้งแต่ได้เห็นทั้งสามคนเริ่มพูดคุยกันแล้วว่าถ้าการตกลงรวมกลุ่มนี้เกิดขึ้นจริง มันจะกลายเป็มหนึ่งในกลุ่มระดับแนวหน้าของเทรียลในทันที ต่อให้ทั้งหมดจะเป็นมือใหม่ไร้ประสบการณ์ก็ตาม เพราะระดับความสามารถของทั้งสามคนเรียกได้ว่าเหนือชั้น

คนหนึ่งคือนักรบสาวเผ่าเกล็ดผิวเผือก พื้นเพเป็นคนในเทรียลมาตั้งแต่เกิด ถูกฝึกฝนมาอย่างดีในทุกๆ ด้านเพื่อเป็นนักล่าแห่งลุ่มน้ำ ซ้ำยังมีทักษะพรสวรรค์ในการต่อสู้สูงถึงขนาดเป็นความหวังของชาวเกล็ดทั้งหมู่บ้าน ที่สำคัญคือเธอเป็นคนเดียวในที่นี้ ที่ได้รับอัตตะศิลาชั้นอาเกตตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ใช่อะไรที่จะหาได้ง่ายๆ แม้แต่ในสมาคมใหญ่เองก็ตาม

ส่วนอีกคนก็แน่นอนว่าเป็นหนุ่มน้อยจากต่างหมู่บ้าน ซึ่งแสดงผลงานเป็นกระสอบซ้อมมือให้จระเข้สาวในการประลองที่ผ่านมา ถึงตอนนี้จะยังต้องสวมเฝือกดามแขนเอาไว้แถมยังมีผ้าพันแผลเต็มตัวแต่ก็ปฎิเสธสถิติคะแนนที่เขาทำเอาไว้ในการสอบรอบแรกไม่ได้ว่ามันคือของจริง การจับคู่ของทั้งสองคนถือว่าเป็นการปิดข้อเสียของกันและกันอย่างสมบูรณ์

ส่วนคนสุดท้ายถึงจะไม่ได้ถูกจับตามองเป็นดาวเด่นของการทดสอบ แต่ในฐานะนักวิเคราะห์ คะแนนที่ผ่านการกรองมาแล้วของหนุ่มน้อยเลือดผสมครึ่งเอลฟ์ครึ่งจิ้งจอกคนนี้ เตะตาเธอเป็นอย่างมากเพราะมันคือคะแนนที่มีค่าสมดุลสมบูรณ์แบบราวกับตั้งใจ แม้แต่หัวหน้าของเธออย่างไอน์ก็ยังเอ่ยขึ้นมาเองเลยว่าหนุ่มน้อยคนนี้มีทักษะต่างๆ เพียบพร้อม ไม่โดดเด่นแต่สามารถแทนที่ทุกคนได้อย่างแนบสนิทในยามจำเป็น

เป็นอะไหล่ชิ้นสำคัญที่ไม่ว่านักผจญภัยกลุ่มไหนก็ต้องการเอาไปอยู่ด้วย เป็นนักผจญภัยที่มีสไตล์คล้ายกับเอเดลสมัยก่อน ต่างกันหน่อยก็ตรงที่เอเดลมีความรู้นอกขนบอย่างการเตรียมโพชั่นและเข้าใจสภาพแวดล้อมภูมิประเทศรอบๆ เทรียลเป็นอย่างดี

แต่ยังไงทักษะนอกตำราพื้นฐานพวกนี้ก็ไม่มีการทดสอบ เขาอาจจะมีทักษะบางอย่างที่โดดเด่นกว่าก็ได้ใครจะรู้ เพราะยังไงสายเลือดผสมของเขาก็ได้เปรียบกว่าใครในเรื่องของการระวังภัย มีทั้งสัญชาตญาณจิ้งจอกและพิชานอ่านสภาพอากาศแบบเอลฟ์ ถ้ามันไม่ตีกันจนเละเขาก็คงจะสามารถรับรู้ความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ได้ก่อนใคร

ถ้าหากสามคนนี้รวมตัวกันตั้งกลุ่มขึ้นมามันก็จะกลายเป็นกลุ่มที่ถือว่าสมบูรณ์แบบจนแทบจะไร้ที่ติในทางทฤษฎี ที่สำคัญอายุของพวกเขาทั้งสามคนก็ยังน้อยแต่ละคนเพิ่งจะพ้นจากความเป็นเด็กมาได้แค่ไม่นาน มีแก่กว่าคนอื่นหน่อยก็แค่จระเข้สาวที่อายุสิบเจ็ดปีนี้พอดี เพิ่งจะเริ่มแตกวัยเป็นสาวไม่ดีเท่าไหร่เลย มีเวลาให้ทั้งสามพัฒนาความสามารถขึ้นได้อีกมากโข

“เอ้าเจ้าพวกตะกละ แล้วจำเอาไว้เป็นกฎด้วยล่ะว่าที่เทรียล อาหารของคุณคาร์น ห้ามกินเหลือเด็ดขาดถ้าไม่อยากนิ้วกุด” นักผจญภัยรุ่นพี่ที่เล็งหนุ่มน้อยผู้ทำสถิติคะแนนสูงสุดเอาไว้ กล่าวเสียงดังเป็นการข่ม วางสำรับจานยักษ์ เป็นเนื้อสัตว์ขนาดใหญ่ที่ผ่านการกระบวนการปรุงมาแล้วอย่างดีจนดูไม่ออกว่ามันทำจากตัวอะไร แต่ถึงอย่างนั้นกลิ่นหอมรันจวนก็โชยกรุ่นไปทั่วทั้งห้องโถง

ก่อนที่นักผจญภัยรุ่นพี่คนนั้นจะถอนมือออกมา เผยให้เห็นนิ้วก้อยที่ขาดหายไปราวกับเป็นการยืนยันเรื่องที่เขาพูด ทั้งที่ความจริงมันเป็นแค่เรื่องอำขำๆ แต่ทำเอานักผจญภัยฝึกหัดบางคนเผลอสะอึกไปชั่วอึดใจ โดยเฉพาะตอนที่คิดได้ว่าพ่อครัวที่อีกฝ่ายพูดถึงคือคนเดียวกันกับที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสามวีรบุษคนนั้น

“นี่พี่ชายคะ พวกเรามีเรื่องอยากจะถาม” ระหว่างนั้นเองที่นักผจญภัยสาวหกคนซึ่งจับกลุ่มพูดคุยหัวร่อต่อกระซิกกันอย่างเพลินปากมาตั้งแต่งานเลี้ยงเริ่มเป็นที่สนใจของหนุ่มน้อยทั้งหลาย ตกลงใจหันหน้ามาหานักผจญภัยรุ่นพี่พร้อมกัน

“หืม ว่ามาสิ ในฐานะนักผจญภัยรุ่นพี่ประสบการณ์สูงอย่างฉันไม่มีอะไรที่ตอบไม่ได้” พอเห็นสายตาของสาวๆ เช่นนั้น ได้โอกาสก็โอ้อวดแสดงภูมิของตัวเองออกมาทันที

จนกระทั้งได้ยินคำถามของพวกเธอนั้นเองเขาก็รู้สึกขาอ่อน

“คุณฮอรัสมีแฟนรึยังคะ” สาวน้อยว่าสายตาเป็นเปี่ยมความหวัง ปิ้งปั้งเป็นประกาย เป็นเวลาเดียวกันกับที่เสียงถอนหายใจดังขึ้นจากนักผจญภัยชายคนอื่นๆ อย่างพร้อมเพรียงราวกับนัดกันมา ไม่เว้นแม้แต่จระเข้สาวเองที่นั่งเท้าคางอยู่ก็เผลอเหลือกตาส่ายหน้าออกมา จนคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ อย่างหนุ่มน้อยทั้งสองซึ่งอยูกลุ่มเดียวกันยังอมยิ้ม

“ระ เรื่องนั้น... ก็ถามเจ้าตัวเอาสิ ยัยพวกนี้นี่!” นักผจญภัยรุ่นพี่ตะเบงเสียงแข็งกลบเกลื่อน เป็นการบ่งบอกว่าเขาเองก็ไม่มั่นใจเรื่องนี้เท่าไหร่นัก เพราะจากสายตาของเขาความสัมพันธ์ของฮอรัสกับคนรอบข้างนั้นจัดว่าคลุมเครือเหลือจะกล่าว

ทว่าระหว่างนั้นเอง ราวกับเป็นเวทมนต์อัญเชิญ เพราะเพียงแค่พูดถึง เจ้าของชื่อก็เดินตีคู่ออกมากับครึ่งเอลฟ์สาว เป็นการแย่งความสนใจให้ทุกสายตาต้องหันมองไปทางเดียวกันเปลี่ยนบรรยากาศของงานเลี้ยงให้เงียบลงชั่วขณะอย่างฉับพลัน เพราะอยู่ดีๆ ก็ได้เจอกับสองในสามขุมกำลังนักผจญภัยระดับอัญมณีพร้อมๆ กัน

โดยเฉพาะตอนที่เอเดลเดินปรี่เข้ามากลางวง หยิบมีดตัดเนื้อในจานเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วใช้ส้อมตักเนื้อเข้าปากเคี้ยวเหมือนไม่ได้สนใจบรรยากาศรอบข้างเท่าไหร่นัก “หื่อ.. อร่อย สั่งเพิ่มสิฉันเลี้ยง แต่ถ้ากินเหลือนิ้วกุดนะ”

สาวเจ้าว่ายิ้มๆ กระพริบตาข้างนึงทำตัวสนิทสนมเป็นกันเองเหมือนอย่างปกติ รู้อยู่แล้วว่ากำลังมีงานเลี้ยงต้อนรับในโถงใหญ่ของสมาคมเพราะก็มีแบบนี้ทุกปี เพียงแต่ปีนี้มันต่างออกไปตรงที่เธอไม่ใช่นักผจญภัยประสบการณ์สูงระดับหยกเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่มีรายชื่อติดหราอยู่สามแถวแรก มันจึงมันสร้างความกดดันให้กับนักผจญภัยมือใหม่เหล่านั้นอยู่บ้างไม่มากก็น้อย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อด้านหลังของเธอ คนที่เดินตามมาติดๆ กันคือขุมกำลังลำดับแรกสุดของสมาคมแห่งนี้ ที่ไม่เพียงแค่มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นตำนานวีรบุรุษเท่านั้น แต่ใบหน้าหล่อเหลาเป็นงานศิลป์และการแสดงออกอันนิ่งเฉยเยือกเย็นของเขายังขับให้ตัวจริงยิ่งทวีความน่าเกรงขามมากขึ้นไปอีก

แต่บรรยากาศอึดอัดนั้นก็คงอยู่เพียงชั่วอึดใจ เพราะยังไม่ทันที่ทุกคนจะตั้งสติกล่าวทักทายอะไร เอเดลก็หันหลังละความสนใจจากพวกเขาพร้อมกับเดินนำฮอรัสไปที่กระดานภารกิจ

ทว่าในชั่วอึดใจ โดยที่เธอไม่ทันเห็นนั้นเอง ส่วนรับสัมผัสของฮอรัสที่เก็บข้อมูลรายละเอียดต่างๆ รอบตัวอยู่ตั้งแต่ต้นมองเห็นอัตตะศิลาของเหล่านักผจญภัยฝึกหัดเช่นนั้น เขาจึงยกมือของตัวเองออกมาจากผ้าคลุมแล้วชูนิ้วโป้งให้กับทุกคน ทำแบบเดียวกับที่เอลฟ์สาวเคยทำให้กับเขาเมื่อตอนสอบรอบแรก เป็นการแสดงออกทางกายที่เขากำลังพยายามเรียนรู้ เลียนแบบ

“รุ่นพี...” นักผจญภัยฝึกหัดจากต่างหมู่บ้านได้เห็นสัญลักษณ์นิ้วโป้งจากคนที่ตนเองคลั่งไคล้ก็ส่งเสียงออกมาเบาๆ ผ่านลำคอ เหม่อมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายตอนที่เขาหันเดินตามเอเดลไป “ขอบคุณครับ” หนุ่มน้อยว่าพร้อมกับผงกก้มหน้าแสดงความนับถือเป็นการใหญ่ต่อให้อีกฝ่ายจะไม่เห็นก็ตาม

 

“ก็อย่างที่ว่าไปนั่นแหละ ถึงระดับของนายจะสูงกว่าแต่คนที่ตัดสินใจคือฉัน เข้าใจมั้ยฮอรัส” เอเดลกล่าวย้ำเกี่ยวกับอำนาจการตัดสินใจของทั้งคู่ในฐานะกลุ่มนักผจญภัยที่ต่อจากนี้หากไม่มีคำสั่งเป็นภารกิจบังคับอะไร ทั้งคู่ก็จะต้องออกไปทำภารกิจด้วยกัน

ซึ่งฮอรัสเองก็ดูจะว่าง่ายไม่ขัดขืน เพียงแค่พยักหน้ารับเรื่อยมาตั้งแต่ออกจากห้องทำงานของไอน์แล้ว

“เห็นพวกนี้มั้ย พวกนี้เป็นภารกิจเปิดกว้างที่มีคนขอมาผ่านทางสมาคม ค่าตอบแทนก็ขึ้นอยู่กับคนจ้างว่าเสนอมาให้เท่าไหร่ แต่ส่วนใหญ่ถ้าค่าตอบแทนมันน้อยเกินไปและเป็นภารกิจที่สมเหตุสมผล ส่งผลต่อส่วนรวมอย่างพวกภารกิจที่เกี่ยวกับอสูร โจรหรืออะไรพวกนั้นสมาคมจะทบค่าตอบแทนเพิ่มให้อยู่แล้ว ยิ่งภารกิจยากค่าตอบแทนก็ยิ่งสูง.. แต่ส่วนใหญ่ก็มีแต่พวกภารกิจง่ายๆ เป็นการรับจ้างทั่วไปนั่นแหละ แต่ยังไงภารกิจทุกภารกิจบนกระดานเปิดกว้างพวกนี้มีระยะเวลาจำกัดนะ ถ้าหากทำไม่สำเร็จ หรือทำไม่ทันเวลาพวกเราจะถูกปรับ ถึงงั้นยังไงเวลาที่ให้มามันก็สมเหตุสมผลผ่านการคัดกรองมาจากสมาคมอยู่แล้ว” เอเดล ผายมือไปบนกระดาน อธิบายเกี่ยวกับภารกิจเปิดกว้างให้ฮอรัสฟังอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะแสดงท่าทางสงสัยออกมาเล็กน้อย

“ถ้าหากทุกคนเลือกภารกิจเองได้ แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นกับภารกิจที่ไม่ถูกเลือก” ด้วยอย่างไรฮอรัสก็เป็นตุ๊กตาสงคราม เขาไม่เข้าใจหลักการของยุคสมัยใหม่ว่าหากว่าทุกคนมีสิทธ์เลือกได้ว่าจะทำหรือไม่ทำภารกิจ เช่นนั้นมันจะถือเป็นภารกิจได้อย่างไร ในยุคสงครามคำๆ นี้มีความหมายถึงสิ่งที่ต้องทำและการล้มเหลวอาจนำมาซึ่งความเสียหายไม่ใช่แค่กับใครคนใดคนหนึ่ง มันจึงเป็นหน้าที่เอเดลที่จะต้องอธิบาย

“ถึงจุดนึงถ้าหากสมาคมประเมินแล้วว่าภารกิจนั้นมีความจำเป็น แต่อยู่บนกระดานนานเกินไปไม่มีใครเอาไปทำสักที มันจะถูกถอดออกจากกระดานภารกิจเปิดกว้าง แล้วเปลี่ยนให้กลายเป็นภารกิจบังคับ ส่งมอบให้กับนักผจญภัยที่เหมาะสมทำโดยตรง...” เธอกล่าวอธิบายต่อเสียงแก่น ก่อนจะลดเสียงลงมาเล็กน้อยพูดต่อ “เหมือนที่ฉันเคยบอกนั่นแหละฮอรัส พวกเราเป็นนักผจญภัย ไม่ใช่ทหารรับจ้าง เรามีเงินเดือน งานหลักของพวกเราคือการทำภารกิจที่สมาคมมอบหมายให้ทำ ส่วนภารกิจเปิดกว้างมันก็เป็นแค่รายได้เสริมยามว่าง... อ้อแล้วก็อีกอย่างนึง ภารกิจบังคับเองไม่มีค่าตอบแทนเป็นเงินให้หรอกนะ”

“เงิน? ผมไม่ต้องใช้เงิน” ฮอรัสจับใจความได้ก็เอ่ยขึ้นมา ทำเอาอีกฝ่ายเผลอแสดงสีหน้าประหลาด คล้ายจะมีอารมณ์โมโหเล็กๆ

“นี่นายกะจะเกาะแม่ฉันกินไปเรื่อยๆ รึไงหะ” เอเดลแค่นเสียงประชด แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่เข้าใจความหมายของการใช้สำหลักสำนวนเท่าไหร่นัก

“เปล่า... ผมไม่เกาะคุณเอเดลกิน ผมไม่ต้องกิน”

“มันเป็นการเปรียบเปรย เจ้าโง่!” สาวเจ้าเร่งเสียงหงุดหงิดใจอยากจะตบหน้าเองแรงๆ แต่พอนึกได้ว่ายังไงฮอรัสก็ยังใหม่กับยุคนี้ อีกทั้งเธอเองก็มีหน้าที่เป็นภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลเป็นพี่เลี้ยงให้กับฮอรัสตั้งแต่นี้ไป จึงผ่อนลมหายใจแล้วเดินนำฮอรัสออกไป “เห้อ... งั้นมาเถอะ ฉันจะสอนให้ว่าทำไมเงินถึงสำคัญ”

“เราจะไปไหนกัน” ฮอรัสถามเสียงเรียบ เดินตามเอเดลไปติดๆ

“ไปช้อปปิ้ง” เอเดลหันหน้ากลับมาตอบ น้ำเสียงกระดี๊กระด้าสีหน้าตื่นเต้น ผิดกับการแสดงออกก่อนหน้านี้ที่ทำทีเหมือนเหนื่อยหน่ายใจ ก่อนจะเดินกระโดดสลับเท้าท่าทางเริงร่าออกไปด้านนอก ท่ามกลางสายตาของนักผจญภัยมือใหม่ทุกคนที่พอได้เห็นอาการเช่นนั้นก็คิดในใจอย่างเดียวกันว่าเอเดลก็แค่หาข้ออ้างใช้เงินเท่านั้นเอง ถึงจะถูกสั่งสอนเลี้ยงดูมาอย่างดีแถมยังมีสายเลือดเป็นเอลฟ์่ป่าไม่ให้ค่าวัตถุ แต่ผู้หญิงก็ยังเป็นผู้หญิง

 

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด