บทที่ 15 ริมสระจินหมิง
บทที่ 15 ริมสระจินหมิง
บนศีรษะสวมหมวกหัวเสือ เท้าทั้งสองก็สวมรองเท้าหัวเสือ ส่วนที่คอยังคล้องถุงเงินลายรากบัวขนาดประมาณเท่ากำปั้นเอาไว้สองใบ เสื้อผ้าที่สวมมีสีสันสดใสปกคลุมทั่วแขนขาทั้งสี่ข้าง มารดายังใช้สีเหลืองทองส่วนที่เหลือแต้มลวดลายบนหน้าผากเขาด้วย จากนั้นจึงจับเขากรอกยาพิษ(ยาถ่ายพยาธิ)เข้าไปเต็มท้อง ก่อนจะอุ้มเขาขึ้นรถม่านเขียวส่งกลิ่นหอมฟุ้งที่มีความใหม่เอี่ยมถึงหกส่วน
เจ้าจิ้งจอกก็ดื่มยาถ่ายพยาธิเข้าไปครึ่งชาม เวลานี้กำลังนอนชักกระตุกอยู่ที่พื้น นำน้ำแกงฉยงหวง[1]ป้อนเจ้าจิ้งจอกแล้วมันยังไม่ตาย นับว่ามีดวงชะตาแข็งกล้ายิ่งนัก
เจ้าจิ้งจอกจะตายหรือไม่เถี่ยซินหยวนไม่รู้ แต่ว่าตลอดทางที่ผ่านมาตัวเขาท้องเสียไปสามสี่รอบแล้ว สุดท้ายต้องมานอนเนื้อตัวอ่อนปวกเปียกอยู่ในอ้อมกอดมารดาไม่ขยับไปไหนอีก
บนรถม่านเขียวคันนี้ไม่ได้มีเพียงหวังโหรวฮวากับเถี่ยซินหยวนเท่านั้น ยังมีคู่แม่ลูกอีกสองคู่ และที่สำคัญที่สุดก็คือเถี่ยซินหยวนเห็นภรรยาของถงป่านและถงจื่อมาด้วย เห็นได้ชัดว่าถงจื่อคงโดนจับกรอกน้ำฉยงหวงเข้าไปไม่รู้มากมายเท่าไร เจ้าหนูที่เคยแข็งแรงดั่งลูกวัว เวลานี้กลับนอนหมอบไร้เรี่ยวแรงอยู่บนตักของมารดาตัวเอง เหลือบมองเถี่ยซินหยวนด้วยแววตาไร้ชีวิตชีวาราวกับสุนัขขี้เรื้อนตัวหนึ่ง
ส่วนหญิงอีกคนนั้นเถี่ยซินหยวนไม่รู้จักมาก่อน แต่เด็กหญิงตัวน้อยสวมชุดสีเขียวสดใสที่นางอุ้มไว้ในอ้อมแขน มีหน้าตาไม่ชวนให้ผู้คนรักใคร่เอ็นดูเอาเสียเลย คาดว่านางคงดื่มน้ำฉยงหวงมากเกินไปจนปวดท้องอย่างหนัก ถึงได้ร้องไห้โยเยไม่ยอมหยุด
หญิงทั้งสามไม่ได้ใส่ใจกับกิริยาท่าทางของเด็กน้อยในอ้อมกอดเท่าใด พวกนางสนทนาปราศรัยกันอย่างออกรสออกชาติเคล้าคลอไปกับเสียงร้องของเด็กหญิงตัวน้อย
เถี่ยซินหยวนผละออกจากอ้อมกอดของมารดา ก่อนจะล้วงพุทราแห้งสีแดงออกมาจากช่องว่างตรงหน้าท้องส่งให้ถงจื่อลูกหนึ่ง พอถงจื่อรับมาบีบเอาไว้ในมือก็ส่งเสียงอือๆ อาๆ พูดอะไรบางอย่าง ซึ่งเถี่ยซินหยวนฟังไม่ได้ศัพท์ว่าตกลงอีกฝ่ายพูดอะไรบ้าง
เด็กหญิงตัวน้อยอีกคนเห็นว่าเถี่ยซินหยวนเอาพุทราแดงให้ถงจื่อแต่ไม่ให้นาง เสียงร้องไห้ก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ เถี่ยซินหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาหยิบพุทราออกมาอีกลูกตั้งใจจะมอบให้เด็กหญิง หวังให้นางหยุดร้องไห้เสียที แต่ถงจื่อกลับยื่นมือแย่งพุทราแดงไปว่องไวปานสายฟ้า เสียงร้องไห้ของเด็กหญิงจึงดังกังวานน่าเวทนากว่าเดิม
หลังจากนางโดนมารดาตีไปสองฝ่ามือแรงๆ ถึงได้เงียบเสียงลง เถี่ยซินหยวนมองแล้วรู้สึกเจ็บปวดแทน เพราะอย่างไรมารดาของเขาก็ไม่เคยลงมือหนักเช่นนั้นมาก่อน
ในรถม้าปูด้วยเบาะรองอย่างหนา เมื่อถึงเทศกาลเดือนห้าเมืองหลวงก็อากาศร้อนอบอ้าวเกินจะทนอยู่แล้ว เถี่ยซินหยวนกับถงจื่อนั่งอยู่บนเบาะรองนั่น เปิดผ้าม่านผืนใหญ่ที่คลุมท้ายรถม้า กวาดสายตามองขบวนรถม้ายาวเหยียดตรงหน้า
นี่เป็นมังกรตัวหนึ่งที่ทอดลำตัวยาวจากในเมืองออกไปถึงนอกเมือง ขณะนี้เป็นช่วงดวงอาทิตย์กำลังตกดิน บนรถม้าแขวนโคมไฟส่องสว่าง มังกรตัวนี้ยิ่งงดงามตระการตาเหลือประมาณ
ท้องฟ้าที่ปกคลุมต้าซ่งเป็นสีดำสนิท ดวงดาวส่องประกายเจิดจ้าราวกับโดนน้ำสะอาดชะล้างมาหมาดๆ มีทางช้างเผือกตัดผ่านเหนือศีรษะมาบรรจบกับมังกรตัวยาวที่ส่องสว่างเรืองรองบนผืนดินอยู่ไกลๆ
ในช่วงเวลานี้แยกแยะให้ชัดเจนได้ยากนักว่า ขบวนรถม้าที่ยาวเหยียดดุจมังกรเดินเข้าสู่ทางช้างเผือก หรือว่าทางช้างเผือกบนฟากฟ้าทอดตัวลงมาสู่โลกมนุษย์กันแน่
รถม้าที่อยู่ตรงข้ามกันมีหัวหมูตัวน้อยๆ ลอดออกมา บนหัวหมูตัวนั้นยังเกล้ามวยผมเอาไว้ด้วย ไม่เคยเห็นเด็กผู้หญิงรูปร่างจ้ำม่ำขนาดนี้มาก่อนเลย แม้ว่าเท่าที่สังเกตดูอายุคงไม่ถึงห้าขวบ แต่แก้มยุ้ยๆ ของนางก็ย้อยลงมาทำให้ริมฝีปากถูกเบียดเข้าหากันจนแทบมองไม่เห็น
เถี่ยซินหยวนเคยเห็นที่น่าตื่นตะลึงกว่านี้มาแล้ว ฉะนั้นเขาจึงมีท่าทีสงบนิ่งมาก แต่ถงจื่อกลับร้องเสียงดังด้วยความตกใจก่อนจะผลุบหายเข้าไปในรถม้า
รถม้าสองคันวิ่งขนานกันมาทิ้งระยะห่างไม่มากนัก เด็กหญิงอ้วนจ้ำม่ำมองเห็นเถี่ยซินหยวนสวมหมวกหัวเสือก็รู้สึกชอบอกชอบใจอย่างยิ่ง ไม่ทันได้เอ่ยวาจาใดๆ ก็ส่งแตงลูกใหญ่มาให้
นี่นับว่าเป็นของดีทีเดียว คาดว่าเป็นผลแตงที่เก็บเกี่ยวครั้งแรกของปีนี้ เมื่อสูดจมูกดมก็ได้กลิ่นหอมโชยมา แสดงว่าแม่หนูน้อยผู้นี้มีชาติกำเนิดไม่ธรรมดาแน่นอน
เพราะยาถ่ายพยาธิเป็นเหตุทำให้ท้องของเถี่ยซินหยวนว่างเปล่าอยู่นานแล้ว เขาจึงคว้าแตงผลงามมาโดยไม่เกรงใจ แล้วส่งพุทราลูกหนึ่งให้เด็กหญิงเป็นการตอบแทน
เถี่ยซินหยวนนั่งแทะแตงอยู่บนรถม้า ครู่หนึ่งมันก็แยกออกเป็นสองซีก หลังจากมอบให้มารดาชิ้นหนึ่งแล้ว ค่อยลงมือกินอย่างไม่เกรงใจใครอีก
ถงจื่อก็อยากกินขึ้นมาบ้าง จึงโผล่หน้าออกไปนอกรถม้าแล้วส่งยิ้มประจบเอาใจแม่หนูน้อยคนนั้น แต่เขากลับเจอนางกลอกตาขาวมองมาอย่างเอือมระอา อายุยังน้อยเท่านี้นางก็มองออกแล้วว่าใครคิดดีหรือคิดไม่ดี ดูท่าแม่หนูคงเจอเรื่องราวมาไม่น้อยเลย
รถม้าสองคันวิ่งคู่ขนานกันชั่วหนึ่งถ้วยน้ำชา[2]หลังจากนั้นรถม้าที่แม่หนูน้อยนั่งมาก็เร่งแซงไปข้างหน้า ถนนสำหรับผู้เป็นบัณฑิตย่อมกว้างขวางกว่าถนนสัญจรสำหรับราษฎรทั่วไปอยู่แล้ว
“แม่หนูน้อยคนนั้นชื่ออะไร? นางพูดอะไรกับเจ้าบ้าง? ทำไมถึงให้แตงผลใหญ่กับเจ้า?”
ถงจื่อถามรัวเร็วราวกับประทัดชุดใหญ่ก็ไม่ปาน
เถี่ยซินหยวนหัวเราะแล้วยื่นผลแตงที่กินไปครึ่งหนึ่งให้ถงจื่อก่อนเอ่ยว่า “นางบอกว่าชื่อถังถัง ถ้าข้าว่างให้ไปเล่นที่บ้านนาง บ้านนางมีของกินอร่อยๆ เยอะแยะไปหมดเลย”
“อืมๆ ถ้าเจ้าไปต้องเรียกข้าด้วยล่ะ”
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่ รถม้าก็มาถึงสระจินหมิงพอดี เมื่อมองเห็นสระจินหมิงเข้าเต็มตา เถี่ยซินหยวนกลับรู้สึกผิดหวัง ภาพที่ปรากฏแก่สายตาอย่างมากที่สุดก็เป็นได้เพียงแอ่งน้ำขนาดใหญ่ ไหนเลยจะมีความยิ่งใหญ่สง่างามดังเช่นที่บันทึกไว้ในตำราคัมภีร์โบราณพวกนั้น ยิ่งมิต้องกล่าวถึงทิวทัศน์งดงามสว่างไสวโดยรอบ
เถี่ยซินหยวนไม่คาดคิดเลยว่า ที่แห่งนี้ก็มีเพิงที่ตั้งร้านอยู่ด้วย มีหญิงชาวบ้านท่าทางแข็งแรงกำลังทำงานวุ่นวายอยู่ เมื่อพวกนางเห็นหวังโหรวฮวาอุ้มเถี่ยซินหยวนเดินเข้ามาก็รีบร้อนออกมาทักทาย “เถี่ยจยาเหนียงจื่อ[3]ของทุกอย่างในร้านเราเตรียมพร้อมหมดแล้ว พวกเราจะเปิดร้านตอนนี้หรือว่ารอเปิดวันพรุ่งนี้?”
หวังโหรวฮวาหันมองผู้คนล้นหลามรอบสระจินหมิง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่นเปี่ยมล้นว่า “ต้องเปิดร้านกันเดี๋ยวนี้เลย ร้านทังปิ่งพี่ชีจะโด่งดังไปทั่วเมืองหลวง เราจะทำให้ชื่อของร้านนี้ส่องประกายเจิดจ้าที่สุดในบรรดาร้านริมสระจินหมิง!”
หญิงวัยกลางคนที่ช่วยงานในร้านคนหนึ่งเอ่ยอย่างท้อแท้ว่า “ที่ตั้งร้านเรายังเล็กไปหน่อย ไม่ใช่ร้านใหญ่อย่างหอฝานโหลว[4]หรือหอหุยชุน ร้านของพวกเขากินพื้นที่กว้างขวางกว่ามาก อีกทั้งไม่แน่ว่าคืนนี้อาจมีพวกบัณฑิตแต่งบทกวีให้ด้วย เราดึงตัวพวกบัณฑิตมาไม่ได้หรอก เพราะพวกเขาไม่นิยมกินเนื้อหมู”
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้จู่ๆ นางก็มีท่าทางโมโหฟึดฟัด ก่อนจะกระทืบเท้าแล้วกล่าวต่อไปว่า “เนื้อหมูร้านเราอร่อยกว่าเนื้อแพะอีกนะ คนพวกนั้นมีตาแต่ไร้แววจริงๆ”
หวังโหรวฮวาเอ่ยยิ้มๆ ว่า “พวกเราเริ่มตุ๋นเนื้อกันเถอะ ข้าไม่เชื่อว่ากลิ่นหอมของเนื้อหมูจะดึงลูกค้าเข้าร้านไม่ได้”
หญิงลูกจ้างของหวังโหรวฮวาเหลือบมองร้านทังปิ่งข้างๆ ที่ตั้งชื่อร้านจำพวกพี่อู่(พี่ห้า) ลุงลิ่ว(ลุงหก)อะไรเทือกนั้นอย่างดูแคลน แล้วเอ่ยขึ้นว่า “เถี่ยเหนียงจื่อ ลูกค้าคงไม่น้อยแน่ แต่เราคงเสียเปรียบร้านอื่นอยู่บ้าง”
หวังโหรวฮวายังตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “คืนนี้คงมีผู้คนมากมายนับแสน ร้านเล็กๆ อย่างเราไม่มีทางรับมือไหวหรอก แบ่งให้พวกเขาไปสักหน่อย ส่วนร้านเราขอแค่ไม่ขาดลูกค้าที่มากินอาหารประจำก็พอแล้ว”
เถี่ยซินหยวนโดนมารดานำแถบผ้าผูกรั้งเอาไว้กับถังไม้อาบน้ำใบใหญ่อีกแล้ว เขามองสำรวจเพิงมุงหญ้าหลังนี้ไปเรื่อยๆ ขนาดของมันไม่กว้างขวางเท่าใด ด้านข้างทั้งซ้ายขวาเหมือนมีระยะสิบกว่าก้าวเท่านั้น ท่อนไม้สูงใหญ่ปักลึกลงไปในดิน ผนังและหลังคาร้านที่สร้างจากฟางข้าวสาลี เมื่อรวมเข้ากับโต๊ะไม้เนื้อหยาบที่ยังเห็นลายเนื้อไม้ชัดเจน กลับดูเรียบง่ายและสง่างามอยู่หลายส่วน
มารดาของเขาไม่คิดจะมาชมการแสดงของดาวเด่นคนไหนแต่แรกอยู่แล้ว นางคิดฉวยโอกาสอันหาได้ยากยิ่งอย่างเทศกาลเดือนห้า ทำให้ชื่อเสียงของร้านทังปิ่งพี่ชีลอยไปกระทบโสตประสาทของเหล่าบัณฑิตต่างหาก
หลังจากผ่านพ้นมาได้ครึ่งปี นางถึงพบว่ากำไรจากการขายเนื้อหมูตุ๋นเหนือกว่าการขายทังปิ่งเสียอีก อีกทั้งเรื่องเนื้อหมูยังจัดการง่ายกว่ามาก ขอเพียงกำชับคนขายเนื้อให้เลือกเฟ้นอย่างดี นางเอากลับมาตุ๋นจนได้ที่ก็เรียบร้อยแล้ว ไม่เหมือนการทำทังปิ่งที่สิ้นเปลืองเรี่ยวแรงยิ่งนัก
หญิงวัยกลางคนทั้งสองทำงานกันอย่างขยันขันแข็งน่าดู ไม่นานใต้เตาขนาดใหญ่ก็มีเปลวไฟลุกโชติช่วง หม้อเนื้อตุ๋นที่เย็นชืดไปแล้วเริ่มส่งไอร้อนกระจายออกมา ในขณะเดียวกันนั้นกลิ่นหอมฟุ้งของเครื่องเทศก็โชยไปไกลในท้องฟ้ายามค่ำคืน
โคมไฟรอบสระจินหมิงส่องประกายสว่างไสวงดงาม มีเสียงโห่ร้องยินดีราวกับพวกเขากำลังผลักขุนเขาคว่ำทะเล[5]ซึ่งไม่ทราบว่าลอยมาจากที่ใด แต่เรื่องราวภายนอกทั้งหลายล้วนไม่เกี่ยวข้องกับคนที่อยู่ในร้านเล็กๆ แห่งนี้สักนิด
หญิงสองคนกำลังช่วยกันนวดแป้งบะหมี่ ด้านข้างมีแป้งส่วนที่หั่นเอาไว้แล้วกองอยู่ในตะกร้าสานเจ็ดแปดใบ แต่พวกนางสองคนก็ยังลงมือเติมทังปิ่งลงตะกร้าใบใหม่อย่างต่อเนื่อง
มารดาที่แต่งกายเสียงดงามใช้ตะขอเงินตัวหนึ่งเกี่ยวม้วนแขนเสื้อขึ้นมา เผยให้เห็นเรียวแขนเล็กน้อยก่อนจะสาละวนอยู่กับการปรุงรสน้ำแกง ส่วนเถี่ยซินหยวนนอนเอนกายอยู่ในถังไม้อาบน้ำเหม่อมองหมู่ดาวบนฟ้า
ทว่าขอเพียงมารดาเดินกลับมาหาเขา เถี่ยซินหยวนจะปิดเปลือกตาลงแสร้งทำเป็นหลับ แต่แล้วเขาก็มีเหตุให้หลับต่อไม่ลงจนได้ ภรรยาของถงป่านพาถงจื่อเข้ามาในร้าน จับบุตรชายยัดใส่ถังใบเดียวกับที่เถี่ยซินหยวนนอนอยู่ โดยไม่สนใจหญิงวัยกลางคนในร้านที่ส่งเสียงหยอกล้อ นางพลันหันกายรีบร้อนจากไป
“ดูท่าการแสดงระบำมัจฉามังกรที่ริมสระน่าจะเริ่มแล้ว เกรงว่าถงป่านเหนียงจื่อคงอยากไปจับมือของหนุ่มน้อยผู้องอาจล่ะสิ”
“ฝ่ามือของถงป่านสามีนางคงไม่มีทางลูบคลำแล้วรู้สึกดีเหมือนมือของสามีที่เป็นบัณฑิตแน่...”
ถงจื่อไม่อยากได้ยินผู้อื่นกล่าววาจาว่าร้ายมารดาของตัวเอง แต่ระบบย่อยอันแข็งแกร่งในกระเพาะมักจะควบคุมสมองเอาไว้เสมอ
เดิมทีถงจื่ออยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ความคิดของเขากลับโดนกลิ่นหอมของเนื้อหมูล่อลวงไปทิศทางอื่นเสียแล้ว เด็กชายกลืนน้ำลายอึกหนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ข้ากินเนื้อนั่นได้ไหม?”
ประโยคนี้เพิ่งหลุดออกจากปาก ก็มีเสียงเศร้าสลดดังขึ้นแผ่วเบาว่า “กินไม่ได้หรอก เนื้อพวกนั้นเอาไว้ขายแลกเงินสินะ”
วาจาที่เอ่ยอย่างคนรู้ความของถงจื่อทำให้เถี่ยซินหยวนรู้สึกเจ็บปวดใจ เขาจึงปีนป่ายออกมาจากถังไม้แล้วเดินมาหยิบกระดูกขาหมูชิ้นใหญ่ในอ่างทองแดงบนพื้น เนื้อบนกระดูกโดนหญิงสองคนนั้นเลาะออกไปเกือบหมดแล้ว แต่อย่างไรก็ยังพอมีเนื้อติดอยู่บ้าง
ถงจื่อมองมาด้วยสายตารอคอยอย่างยิ่ง เมื่อเถี่ยซินหยวนยื่นกระดูกชิ้นนั้นมาให้ เขาก็รีบคว้าไปแทะกินเสียงดังแจ๊บๆ ราวหมาป่าที่หิวโหย
หลังจากนั่งแทะกินอยู่ครู่หนึ่ง ถงจื่อเห็นว่าเถี่ยซินหยวนเอาแต่จ้องมองตนอยู่ตลอด ก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อย เขาจึงส่งกระดูกชุ่มน้ำลายในมือคืนให้อีกฝ่ายด้วยความอาลัยอาวรณ์
เถี่ยซินหยวนส่ายหน้าปฏิเสธ ถงจื่อจึงก้มหน้าก้มตาแทะต่อไป
ชายฉกรรจ์สิบกว่าคนที่มีเหงื่อไหลโทรมกายเดินหัวเราะเสียงดังเข้ามาในร้านตระกูลเถี่ย ชายที่เดินเข้ามาคนแรกเปลือยกายท่อนบน บนแผงอกมีขนสีดำขึ้นยุบยับเต็มไปหมด เพิ่งเดินเข้ามาในร้านก็ตะโกนเสียงดังว่า “เถี่ยจยาเหนียงจื่อ รีบลวกทังปิ่งมาเร็วเข้า เจ้าไม่ต้องหยุดมือล่ะ ลวกต่อไปเรื่อยๆ วันนี้ลูกผู้ชายแห่งประตูซีสุ่ยต้องกินดื่มให้เต็มคราบหน่อยแล้ว”
ขณะที่เขาเอ่ยปาก มือใหญ่หยิบก้อนเงินตำลึงที่เปล่งประกายวาววับออกมาวางบนโต๊ะ
“เอ๋! ท่านไปปล้นรังโจรที่ไหนมา?”
หวังโหรวฮวาหยิบก้อนเงินขึ้นส่องแสงไฟจากโคม พลิกดูซ้ายทีขวาทีด้วยความชื่นชมไม่ยอมวาง
เฉินสือที่เอาแต่เงียบมาตลอดตั้งแต่ย่างเท้าเข้ามาเอ่ยยิ้มๆ ว่า “นี่เป็นรางวัลที่หัวหน้าหน่วยพาพี่น้องเราไปทำงานเหน็ดเหนื่อยทั้งวันถึงจะได้มา เรายอมเสียเงินก้อนนี้ให้เจ้าแล้ว”
ข้อมือของหวังโหรวฮวาขยับหมุนเล็กน้อย ก้อนเงินแวววาวก็ร่วงลงไปในแขนเสื้อของตัวเอง นางหยิบเนื้อหมูตุ๋นชิ้นมาชิ้นหนึ่ง ลงมีดเฉือนสองสามครั้งก็แบ่งออกเป็นชิ้นใหญ่ๆ วางเรียงเต็มจานแล้วยกไปวางที่โต๊ะ ก่อนจะหยิบน้ำจิ้มพริกกระเทียมและน้ำส้มสายชูตามไปให้ นางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ออกแรงทำงานมาหนึ่งวันเต็ม กินอะไรรองท้องสักหน่อยเถอะ ไม่ใช่ว่าข้าขี้เหนียวนะ แต่ก่อนจะกินข้าวไม่ควรกินเนื้อหมูมากนัก รอพวกท่านกินอิ่มแล้วค่อยกินเนื้อหมูก็ยังไม่สาย”
หลังจากนั่งลงอย่างองอาจผึ่งผาย หัวหน้าหน่วยหัวเราะเสียงดังแล้วตอบว่า “ก็แค่ความเห็นของสตรี เป็นบุรุษต้องกินเนื้อชิ้นใหญ่ ดื่มสุราชามโตถึงจะสะใจ ต่อให้ทังปิ่งรสชาติดีแค่ไหน สุดท้ายเป็นเพียงอาหารที่กินแล้วอิ่มท้องเท่านั้น
อย่าพูดให้มากความ รีบนำสุรากับเนื้อมาเพิ่มเร็ว....”
หวังโหรวฮวายิ้มน้อยๆ โดยไม่โต้แย้งอะไรอีก มือของนางขยับทำงานไม่หยุด ชั่วพริบตาบนจานไม้ใบใหญ่ก็มีภูเขาเนื้อหมูตุ๋นวางสุมอยู่
----------------------------
[1] ฉยงหวง(雄黄)หรือกำมะถันแดง จะนำมาใช้ได้ต้องฆ่าพิษให้หมดฤทธิ์เสียก่อน เนื่องจากช่วงเดือน 5 ตามปฏิทินจีน เป็นช่วงหน้าฝน อากาศเปียกชื้น มีเชื้อโรคระบาดและมียุงแมลงร้ายมากชาวจีนจะนิยมดื่มสุราฉยงหวงเพื่อขับไล่โรคร้ายต่างๆอีกทั้งจะนำไปราดให้รอบบ้านเพื่อป้องกันงูและสัตว์มีพิษด้านนอกจะเข้ามา
[2] หนึ่งถ้วยชา(一盏茶)ช่วงเวลาประมาณ 10 – 14 นาที
[3] เถี่ยจยาเหนียงจื่อ(铁家娘子)หมายถึง หญิงที่เป็นภรรยาชายตระกูลเถี่ย คำว่า เหนียงจื่อ(娘子)ใช้เรียกภรรยา ผู้หญิง หรือเจ้านายที่เป็นผู้หญิง
[4] หอฝานโหลว(樊楼)หอสุราที่มีชื่อเสียงตั้งอยู่ในเมืองเปี้ยนจิง เมืองหลวงสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ
[5] ผลักขุนเขาคว่ำทะเล(排山倒海)หมายถึง ทรงพลังยิ่งใหญ่