ตอนที่ 33 เกราะป้องกัน 100%
ตอนที่ 33 เกราะป้องกัน 100%
เงาร่างสีดำกว่าครึ่งร้อยพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มหญิงสาว
แต่แล้วพวกมันกลับเลี้ยวหักศอกหนีไปในทิศทางอื่นราวห้าเมตรก่อนจะเข้าถึงตัวทั้งคู่ แม้จะเป็นดิคเคนส์ประดิษฐ์ที่เป็นโปรแกรมบังคับให้จู่โจม แต่สภาพที่เกิดขึ้นคือไม่มีดิคเคนส์ตัวไหนเฉียดเข้ามาใกล้พวกเขาเลยแม้แต่น้อย
เฟย์นะได้แต่มองรอบตัวอย่างงุนงง
“เกิดอะไรขึ้น”
“ยิ่งพวกมีพลังวิญญาณสูงมากๆ พวกดิคเคนส์จะยิ่งพยายามหลีกเลี่ยงน่ะ โดยปกติแล้วดิคเคนส์ประดิษฐ์พวกนี้ไม่ได้มีพลังดูดที่รุนแรงเหมือนดิคเคนส์ธรรมชาติ ถ้าแม้แต่โดนป้อนโปรแกรมให้เข้าโจมตีแล้วยังไม่มา ก็แสดงว่าเธอเป็นของแสลงขั้นสุดของเจ้าพวกนี้เลย”
“เคนเซย์ ออกมาข้างนอก ฉันไม่แน่ใจแล้วว่าไอ้กุญแจมือนั่นจะเก็บพลังนายอยู่”
เสียงของลูเธอร์ดังขึ้นในห้อง แม้จะไม่ค่อยพอใจนัก แต่เมื่อก้มมองกุญแจมือนั่นแล้วเขาก็อดคิดไม่ได้ว่าอาจจะจริง
“คงต้องออกไปก่อนจริงๆ ไม่เป็นไรนะ ถ้าไม่ไหวรีบบอกมาห้ามฝืนอะไรทั้งนั้นเข้าใจมั้ย”
เคนเซย์ปลดกุญแจมือตัวเองเก็บไว้ตามเดิม ถอดเฮดโฟนออกแล้วสวมให้เฟย์นะไว้แทน
“...ฉันเคยมีพลังเหมือนเจ้าพวกนี้เหรอ”
ก่อนที่เคนเซย์จะหันหลังกลับเดินออกมา เสียงของเฟย์นะก็ดังขึ้นดักไว้
ได้ยินประโยคนั้นแล้วเขาก็เพิ่งนึกได้ ตั้งแต่เหตุการณ์คราวนั้นและถูกพาไปยังบ้านของเขา นี่เป็นครั้งแรกที่เฟย์นะได้ออกมาข้างนอก มิน่า...สีหน้าเธอถึงได้ดูป่วยๆ ตั้งแต่เริ่มออกจากบ้าน คงเพราะมองเห็นวิญญาณและเห็นโลกใบนี้ในมุมมองที่เปลี่ยนไปแล้ว และเพิ่งเคยเห็นดิคเคนส์เป็นครั้งแรก
เพราะเคนเซย์มองเห็นวิญญาณได้ตั้งแต่จำความได้ โลกใบนี้จึงเป็นปกติสำหรับเขาแล้ว เขาถึงได้ลืมเรื่องนี้ไปสนิทเลย
“ดิคเคนส์ประดิษฐ์เองก็มีปลายประเภท แต่ตอนนั้นพลังของเธอใกล้เคียงกับพวกดิคเคนส์ธรรมชาติที่มีพลังในการดูดพลังชีวิตได้สูงมากกว่าน่ะ”
“เดี๋ยวเราจะลองเปลี่ยนประเภทเป็นแบบใกล้เคียงกับดิคเคนส์ธรรมชาติที่สุด ออกมาได้แล้วเคนเซย์”
แม้จะถูกเรียกออกไปอีกครั้งแต่เคนเซย์ก็ยังกังวลกับท่าทีของเฟย์นะ ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาแล้วตั้งสติได้เธอก็ทำตัวเข้มแข็งเหมือนดีขึ้นแล้วมาโดยตลอด แน่นอนว่ายังกลับมาเฮฮาสนุกสนานหัวเราะอะไรแบบนั้นไม่ได้ แต่การที่เธอกำมือเข้าแน่นก้มหน้าลงตัวสั่นแบบนี้ ก็ทำให้รู้สึกได้ว่าเฟย์นะในวันนี้ดูอ่อนแอผิดปกติจริงๆ
“ไม่ต้องกลัวนะ ฉันว่าพวกนี้ทำอะไรเธอไม่ได้หรอก ไม่เป็นอะไรแน่นอน”
“ที่ไม่เป็นไร...ไม่ใช่เพราะว่าที่จริงแล้วฉันเป็นเหมือนเจ้าพวกนี้หรอกเหรอ”
เคนเซย์ชะงักไปเมื่อได้ยินคำพูดนั้น
“ไม่ใช่นะ!”
ชายหนุ่มขึ้นเสียงกลับดังลั่นห้อง ก่อนจะขยับไปคว้าข้อมือข้างหนึ่งของเฟย์นะขึ้นมา
“ไม่ใช่แน่นอน อย่าคิดแบบนั้นสิ!”
เฟย์นะอึ้งไปเมื่ออยู่ๆ เคนเซย์ก็โมโหขึ้นมา มิหนำยังบีบข้อมือเธอแน่นราวกับกำลังโกรธมาก
“เธอเคยเป็นแบบนั้นแหละ”
เสียงของลูเธอร์ดังขึ้นในห้องกระจก เคนเซย์หันตาขวางออกไปมองด้านนอกทันที แต่ก่อนที่จะได้โวยวายอะไรต่อ อยู่ๆ ก็มีเสียงดังจากคลิปวิดีโอฉายขึ้นเป็นจอภาพขนาดใหญ่ที่ผนังกระจก มันคือเหตุการณ์ในคืนวันนั้นนั่นเอง
เฟย์นะตัวแข็งนิ่งไปเมื่อหันไปเห็นทุกสิ่งวิดิโอนั้น ไม่ว่าจะเป็นสภาพร่างของทิม หรือสภาพของตัวเองที่นั่งคุกเข่าก้มหน้าอยู่กับพื้น และมีคลื่นพลังสีดำมากมายที่แผ่พุ่งออกมารอบตัว เสียงพูดคุยในนั้นดังวุ่นวายไปหมด
“หยุดนะ!”
เคนเซย์หันออกไปข้างนอกก่อนจะเรียกอาวุธประจำตัวออกมา ยิ่งกว่าการเห็นตัวเองในสภาพนั้นที่น่าห่วงกว่าคือการที่เฟย์นะจะได้เห็นทิมในสภาพคืนนั้นอีกครั้ง เขาปล่อยแขนเฟย์นะเตรียมตัวจะไปหาเรื่องคนข้างนอก แต่แล้วก็เป็นเฟย์นะนั่นเองที่ดึงชายเสื้อเขาไว้
“ฉันจะดู…”
“ไม่มีอะไรที่เธอควรดูทั้งนั้น! ทั้งหมดมันเป็นอดีตไปแล้ว! เธอไม่ได้เป็นแบบนั้นอีกแล้ว!”
“เลิกพยายามปกป้องฉันซะที!”
หนนี้เป็นเฟย์นะที่ขึ้นเสียงกลับ
“อยู่กับนายฉันรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอลงทุกวัน ดังนั้นเลิกปกป้องฉันได้แล้ว ฉันไม่อยากติดหนี้บุญคุณอะไรกับนายอีกแล้ว!”
เคนเซย์เจ็บจี๊ดขึ้นมาจนพูดไม่ออก เขาเก็บดาบกลับไป ก่อนจะหันหลังกลับออกจากห้องกระจกแล้วเดินออกจากห้องทดสอบไปทันที
หัวหน้าหน่วยทั้งสองที่มาเฝ้าสังเกตการณ์ต่างรู้สึกกลืนไม่ได้คายไม่ออก ไม่อยากนึกภาพเลยว่างานแต่งงานของทั้งคู่ที่จะจัดขึ้นพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร
เฟย์นะหันไปมองคลิปวิดิโอนั่น ฟังเสียงในนั้นพูดคุยกันว่าพลังของเธอรับมือยากเย็นแค่ไหน ไม่ว่าวิธีอะไรก็จัดการไม่ได้ รายงานข่าวสถานการณ์ต่างๆ ของพลเมืองที่ได้รับผลกระทบ จนกระทั่งถึงช่วงที่ได้รับคำสั่งให้วิสามัญฆาตกรรมเพื่อหยุดเธอไว้ คนอัดคลิปทบทวนทุกการเคลื่อนไหวทุกคำสั่งราวกับเพื่อให้มันเป็นประโยชน์สูงสุดสำหรับการชมในภายหลัง เฟย์นะจึงเข้าใจเหตุการณ์ที่เป็นไปทุกอย่างเป็นอย่างดี
นอกจากถ่ายเธอแล้วก็มีตัดสลับไปบันทึกเหตุการณ์สำคัญโดยรอบ หนึ่งในนั้นคือช่วงที่เคนเซย์เรียกอาวุธวิญญาณออกมาแล้วขวางทุกคนไว้ เข้าใจได้ง่ายๆ ว่าพยายามปกป้องเธอไม่ให้คนอื่นทำอย่างนั้น จนกระทั่งอยู่ๆ เขาก็เรียกนกไฟวิญญาณออกมา ก่อนจะพุ่งเข้าหาเธอที่แทบจะถูกวงคลื่นสีดำนั่นล้อมรอบตัวไว้หมดแล้ว ภาพถูกซุมเข้าไปใกล้อีก และนั่น...คงจะเป็นขั้นตอนที่เขาทำสิ่งที่เรียกว่าพิธีชำระวิญญาณ
เฟย์นะเผลอเอามือจับหน้าผากตัวเองที่เคนเซย์วาดรอยเลือดลงไป กระทั่งเลื่อนลงมาจับที่ริมฝีปากซึ่งถูกประทับลงไป แน่นอนว่าตอนนี้มันไม่ใช่อารมณ์เขินอายหรือโมโหอะไรที่เขาทำแบบนั้น เพราะทุกสิ่งที่ประกอบกันในพิธีคือสิ่งที่ทำให้เธอรอดชีวิต และรอดจากการเป็นฆาตกร…
แม้จะฟังเรื่องเล่าคร่าวๆ มาก่อน เธอก็ไม่มีทางนึกภาพเหล่านี้ออกได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นจริงๆ กันแน่ แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันชัดเจนแล้ว ชัดเจนอย่างที่สุดในหลายๆ เรื่อง…
คุณโซอีพูดถูก… โชคดีแค่ไหนแล้วที่เรื่องของเธอไม่ได้เลวร้ายถึงขั้นนั้น
กระทั่งคลิปวิดิโอจบลงทั่วทั้งห้องก็เงียบสงัดขึ้นมา เมื่อเห็นเฟย์นะยืนนิ่งไม่ขยับอยู่นานแล้ว หัวหน้าหน่วย K-1 ถึงกับต้องเบียดตัวลูเธอร์ออกไปเพื่อสื่อสารที่ไมค์แทน
“คุณเฟย์นะ เป็นอะไรรึเปล่า”
หญิงสาวหันกลับออกมานอกกระจก ยกแขนเสื้อปาดน้ำตาออกไป
“ฉันไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้วจริงๆ ใช่มั้ยคะ”
ลูเธอร์กลับมาดันตัวเกะกะออกแล้วตอบกลับไปเอง
“ไม่แล้ว พลังในตัวคุณบริสุทธิ์ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าปลายเส้นผมทุกเส้น ไม่อย่างนั้นเครื่องตรวจจับพลังจะต้องตรวจพบแน่นอน ตอนนี้ทุกอย่างกลายเป็นสายพลังเดียวกับเคนเซย์ไปหมดแล้ว”
หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึก และปล่อยออกยาวเหยียดราวเพื่อทำให้ตัวเองผ่อนคลาย
ไม่ใช่เวลามาอ่อนแอ ไม่ใช่เวลามาร้องไห้อะไรอีกแล้ว ถ้าไม่อยากรู้สึกติดค้างมากไปกว่านี้ จากนี้ไปเธอต้องเข้มแข็งเพื่อดูแลตัวเองให้ได้ไวๆ
“......จะทดสอบอะไรเพิ่มก็เชิญเลยค่ะ ฉันพร้อมแล้ว”
ด้านนอกศูนย์วิจัย เคนเซย์เดินออกมาจนหยุดอยู่ที่ใต้ต้นไม้ริมสวนหย่อมข้างศูนย์วิจัย ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วพยายามตั้งสติตัวเอง
ใช่สินะ...เห็นเฟย์นะยอมแต่งงานด้วยเขาก็คงจะได้ใจมากเกินไป คิดว่าตัวเองมีสิทธิ์ดูแลปกป้องเธอได้ ทั้งๆ ที่เธอกลับคิดว่าทุกอย่างเป็นแค่เรื่องบุญคุณทั้งนั้น
บ้าบอคอแตกจริงๆ แล้วแบบนี้เขาควรจะทำตัวแบบไหนกัน
ในขณะกำลังปวดหัวอยู่นั่นเอง อยู่ๆ เคนเซย์ก็หันไปเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินอย่างรีบเร่งไปพร้อมกับเตียงขนย้ายผู้ป่วย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือคุณโซเฟีย
อย่าบอกนะว่า...เจ้าเด็กนั่นโดนหามส่งแผนกแพทย์วิญญาณอีกแล้ว!
“คุณโซเฟียครับ เกิดอะไรขึ้น” เคนเซย์วิ่งออกไปดักขบวน เจ้าหน้าที่ที่ทำการขนย้ายนั้นไม่ได้หยุด มีเพียงโซเฟียที่หยุดยืนคุยด้วยสีหน้าที่ยังดูแตกตื่น
“ฉันเปิดจุดพลังให้ธาวินแล้วเขาเป็นหมดสติไป ตอนแรกไม่หายใจเลยด้วย ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะทุกอย่างก็ดูเหมือนไม่มีอะไรผิดพลาด”
“ไม่หายใจเลยเหรอครับ”
“ใช่ แต่ตอนที่แพทย์วิญญาณมาถึงดูเหมือนเขาจะเริ่มกลับมามีลมหายใจอ่อนๆ แล้วล่ะ แต่ยังไงก็ยังน่าห่วงอยู่ดี พวกเขาถึงได้รีบกันแบบนั้นไง”
เคนเซย์โล่งอกที่อย่างน้อยก็ยังได้ยินว่ากลับมาหายใจ
“ผมคิดว่าธาวินเป็นพวกประสาทสัมผัสทางวิญญาณไวมากนะครับ เวลาโดนอะไรๆ ก็เลยรับมามากกว่าปกติหลายเท่า”
“เรื่องสำคัญแบบนี้พวกคุณน่าจะแจ้งให้ฉันทราบก่อนนะ ตัวธาวินเองก็คงยังไม่รู้เรื่องอะไรขนาดนั้น ดูแลกันประสาอะไรเนี่ย เอะอะอะไรก็เอาใจดูแลแต่อีกคน สงสารธาวินบ้างเถอะ ฉันจะทำเรื่องขอรับเขามาดูแลเองก็แล้วกัน”
เหวี่ยงใส่เคนเซย์เสร็จสรรพโซเฟียก็รีบเดินตามเตียงขนย้ายผู้ป่วยไป ทิ้งให้ชายหนุ่มยืนนิ่งอึ้งพูดไม่ออกและหงุดหงิดเพิ่มขึ้นอีกสิบเท่า
เคนเซย์มองเข้าไปในศูนย์วิจัย แล้วตัดสินใจตามไปที่แผนกแพทย์วิญญาณ เพราะดูเหมือนยิ่งอยากเป็นห่วงคนทางนี้ ก็ดูจะยิ่งเป็นภาระสำหรับเธอคนนั้นเหลือเกิน
แผนกแพทย์วิญญาณ อาการของธาวินไม่ได้หนักอย่างที่กังวล ที่หมดสติหยุดหายใจไปคงเพราะช็อกจากผลข้างเคียงการเปิดจุดพลัง อัตราการหายใจของเด็กหนุ่มเริ่มค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ จนกระทั่งแค่เหมือนคนนอนหลับไป ธาวินถูกย้ายไปห้องพักฟื้นที่แทบจะกลายเป็นบ้านของเด็กหนุ่มไปจริงๆ แล้ว
“ฉันไม่เคยเจอนักสะกดวิญญาณคนไหนเกิดผลข้างเคียงขนาดนี้มาก่อน อย่างมากก็แค่หน้ามืดวูบไปแป๊ปนึง พักสักนิดแล้วก็กลับมาเป็นปกติ ไม่เคยเจอใครถึงกับหยุดหายใจแบบนี้เลย ทำเอาใจหายหมด”
โซเฟียที่นั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงเอ่ยขึ้นกับเคนเซย์ที่นั่งอยู่บนโซฟา และเพิ่งจะวางสายจากการโทรรายงานรองหัวหน้าเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ เรียบร้อยแล้ว
“ขอโทษนะครับที่ไม่ได้บอกเรื่องนั้น ที่จริงผมก็เพิ่งจะสังเกตเห็นเมื่อคืนนี่เอง ตอนถูกพามาที่นี่ใหม่ๆ ธาวินบาดเจ็บทางร่างกายหนักมากจนต้องพักฟื้นยาว ออกมาไม่กี่วันก็โดนดิคเคนส์ดูดพลังที่คฤหาสน์ชามันด์นั่นอีก เพราะเราไม่รู้ว่าเขาโดนดูดไปมากหรือน้อยแค่ไหน ก็เลยยังไม่มีการประเมินเรื่องนี้อยางจริงจัง”
“ช่างเถอะค่ะ ฉันเองก็ต้องขอโทษที่เผลอต่อว่าไป แต่ฉันคิดจะยื่นขอดูแลธาวินเองจริงๆ นะ พวกคุณดูเหมือนกำลังจะยุ่งมาก แถมทางนี้ก็กำลังจะเริ่มฝึกกันอย่างจริง มาอยู่ทางนี้น่าจะสะดวกอะไรหลายๆ อย่างมากกว่า”
“หัวหน้าของผมคงไม่มีปัญหาหรอกครับ แบบนั้นน่าจะดีกว่าจริงๆ แต่ยังไงก็ลองถามความสมัครใจของเจ้าตัวก่อนดีกว่านะครับ เขาจะได้ไม่คิดว่าตัวเองเป็นอะไรสักอย่างที่ถูกโยนไปโยนมา”
นั่นสินะ… พูดออกไปอย่างนั้นแล้วเคนเซย์ก็ตระหนักถึงเรื่องระหว่างเขากับเฟย์นะขึ้นมาอีกครั้ง มันคงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้หรอก เพราะเขานั่นแหละที่เธอโยนเข้าบ้านของเขาโดยที่ไม่ได้ถามเธอสักคำ
เขาก็แค่ต้องอดทนเท่านั้น คงมีเพียงเวลาเท่านั้นที่จะช่วยเยียวยาให้ทุกอย่างดีขึ้น
มองธาวินแล้วเขาก็นึกชอบใจในความอ่อนด๋อยจนหยั่งไม่ถึงของเจ้าเด็กคนนี้จริงๆ นั่นสินะ...กลับกันกับเฟย์นะ ที่เขาเคยประทับใจในตัวเธอเพราะความเข้มแข็งขั้นสุดนั่นไม่ใช่หรือไง
เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วที่เธอจะอึดอัด รู้สึกหายใจไม่ออกขนาดนั้นที่เขาทำเหมือนว่าเธอช่างอ่อนแอเหลือเกิน
“ผมยังมีธุระที่ศูนย์วิจัยต่อ รบกวนฝากธาวินด้วยนะครับ อ้อใช่ พรุ่งนี้งานแต่งงานผม ถ้าเขาตื่นขึ้นมาทันก็ช่วยพาเขาไปด้วยนะครับ หรือถ้าฟื้นก่อนนั้นแล้วคุณโซเฟียไม่สะดวกก็ติดต่อผมมาก็ได้ เดี๋ยวผมมารับเขาไปเองนะครับ”
“ไม่ต้องห่วงนะคะ ยังไงวันนี้ฉันจะดูแลให้ก็แล้วกัน เพราะทางนั้นคงจะวุ่นวายเรื่องจัดงาน เดี๋ยวฉันจะพาเขาไปเองค่ะ”
“ขอบคุณครับ ผมขอตัวก่อน ตื่นให้ทันนะเจ้าเด็กบ้า ฉันไม่แต่งงานรอบสองอีกแล้วนะ”
เคนเซย์เดินไปขยี้หัวธาวินที่ยังหลับอยู่เบาๆ ด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
ที่ศูนย์วิจัยพลังวิญญาณ เมื่อเคนเซย์กลับไปถึงอีกครั้ง อีกคนในนั้นก็เหมือนจะล้อมวงตั้งโต๊ะจิบชาพูดคุยกันไปแทนเรียบร้อยแล้ว
“ไง หายหัวร้อนแล้วเหรอเจ้าเด็กบ้า นายพลาดเห็นของดีไปแล้วล่ะ”
เคนเซย์ไม่ตอบรับคำอวดนั้น แล้วถามผลการทดลองกลับแทน
“ผลเป็นยังไงบ้างครับ”
“จะบอกว่าเหนือความคาดหมายก็ใช่ แต่ถ้ามองตามรูปแบบพลังแล้วมันก็มีความน่าจะเป็นตามนั้นแหละ”
เมื่อลูเธอร์ตอบกลับเคนเซย์จึงหันไปมองเฟย์นะ หญิงสาวเพียงนั่งจิบชาเงียบๆ ไม่พูดอะไรสักคำ ไม่แม้กระทั่งจะหันมามองเขาเช่นเคย
“เธอมีพลังป้องกันสูงมากตามปริมาณพลังวิญญาณสินะครับ”
“ไม่ใช่แค่สูงมาก แต่เหมือนจะป้องกันได้ 100%”
“ครับ?” เคนเซย์งุนงง ต่อให้เป็นเขาก็เถอะ แม้จะมีพลังมากขนาดไหนเขาก็มีโอกาสถูกดูดพลังชีวิตได้เหมือนกันถ้าถูกเข้ารุมเป็นร้อย
“ฉันทดสอบในระดับสูงสุดจำนวนมากที่สุดเท่าที่ห้องจำลองจะทำได้แล้ว แต่มันไม่มีผลอะไรกับเฟย์นะเลย ถ้าลองคิดว่าเธอเคยมีพลังรูปแบบไหนมาก่อน ก็มีความเป็นไปได้สูงเหมือนกันว่ามันอาจจะเป็นภูมิคุ้มกันของร่างกายอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นต่อให้ถูกครอบพลังไว้ก็เถอะ ร่างกายของเธอก็ไม่มีทางอยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้โดยแบกพลังดิคเคนส์ขนาดนั้นไว้หรอก”
เป็นคำอธิบายที่ทำเอาเคนเซย์อึ้งไปเลย แวบแรกคือประหลาดใจเพราะมันไม่เคยเกิดขึ้น แต่เพราะเธอก็เป็นกรณีแปลกประหลาดแต่แรกอยู่แล้วนั่นแหละ จะแปลกอะไรขึ้นมาอีกก็คงจะไม่แปลกอีกแล้ว
แวบต่อมาคือโล่งใจ อย่างน้อยๆ เธอก็จะอยู่ในโลกวิญญาณได้อย่างปลอดภัยจากพวกดิคเคนส์แน่นอน
และความรู้สึกหนักใจอย่างประหลาดที่เกิดขึ้นมาในตอนท้าย เพราะหลังจากที่ครองตำแหน่งแข็งแกร่งที่สุดในสายสลายพลังวิญญาณมานาน ตอนนี้เขาเหมือนกับได้พบคู่แข่งตัวฉกาจเข้าให้แล้วยังไงชอบกล
“รีบตามหาพ่อแม่แท้ๆ ของเฟย์นะซะว่าเป็นใคร เราน่าจะได้รู้อะไรเกี่ยวกับพลังของเธอมากขึ้น วันนี้หมดธุระแล้ว พากลับบ้านไปเตรียมงานแต่งงานเถอะ อ่อ ฉันอาจจะลืมจนไม่ได้ไป ถ้ามันเป็นเรื่องน่ายินดีก็ยินดีด้วยละกัน”
พูดถึงตรงนี้ลูเธอร์หันหน้าหนีจากเคนเซย์ไปหาเฟย์นะ
“แต่ถ้ามันเป็นเรื่องไม่ดีก็เสียใจด้วยก็แล้วกันนะ”
บนรถยนต์ขากลับจากกองปราบวิญญาณ แม้โดยปกติเคนเซย์จะขับมอเตอร์ไซค์คันโตที่สะดวกในการสัญจรไปมามากกว่า แต่เพราะเขาหลีกเลี่ยงที่จะทำให้เฟย์นะต้องอึดอัดที่จะต้องอยู่ใกล้เขามากเกินไป วันนี้ชายหนุ่มจึงตัดสินใจขับรถยนต์ออกมาแทน
เฟย์นะเปิดประตูไปนั่งที่เบาะหลังเหมือนกับขามา
“ฉันขอแวะสักที่ก่อนกลับได้มั้ย”
เคนเซย์แปลกใจไม่น้อยที่อยู่ๆ หญิงสาวก็ขอร้องออกมาแบบนั้น
“จะไปที่ไหนล่ะ”
“ร้านทำผม ฉันมีร้านประจำ...ไม่สิ ร้านไหนก็ได้ที่จะไม่ทำผมฉันพังน่ะ”
แน่นอนว่าเคนเซย์รับปาก ต่อให้เขาคิดว่าเธอไม่ได้จะไปเสริมสวยเพื่องานแต่งงานพรุ่งนี้ก็ตาม แต่เขาก็คิดว่าไม่ควรถามเหตุผลจริงๆ ว่าอยากทำผมไปทำไม…
“ขอบคุณนะ” อยู่ๆ เฟย์นะก็พูดขึ้นมา
“...ขอบคุณเรื่องอะไร”
“ถึงจะเคยขอบคุณไปแล้วแต่มันก็แค่คำขอบคุณผิวเผินเท่านั้นแหละ ที่ขอบคุณอีกตอนนี้เพราะฉันรู้แล้วว่าทำไมฉันถึงควรจะขอบคุณนายจริงๆ”
ทั้งรถเงียบกริบขึ้นมาในทันตา เคนเซย์ถึงกับต้องเลี้ยวเข้าข้างทางเพื่อจอดรถ เมื่อเขาใจเต้นตึกตักมากเกินไปจนไม่มีสมาธิจะขับรถต่อแล้ว
“......อย่าขอบคุณอีกเลย ยิ่งเธอขอบคุณฉันยิ่งรู้สึกผิดขึ้นมา”
“งั้นเราจะไม่ขอบคุณหรือขอโทษในเรื่องนี้กันอีกแล้ว ตกลงมั้ย”
“อื้อ”
เมื่อตกปากรับคำกันแล้วเคนเซย์ก็ขับรถไปต่อ ก่อนจะพาว่าที่เจ้าสาวเดินเข้าร้านทำผมแบรนด์ชื่อดังเท่าที่พอจะมั่นใจได้ว่าผมสวยๆ นั่นจะยังอยู่ดีในพิธีแต่งงานพรุ่งนี้อย่างแน่นอน
รุ่งเช้าของวันต่อมา มื้อเช้าของตระกูลยูคิฮารุยังดำเนินกันไปตามปกติเพราะงานแต่งงานมีเพียงการทำพิธีในตอนเย็น ทุกคนอยู่กันครบพร้อมหน้าเช่นเคย เฟย์นะมาร่วมทานมื้อเช้าที่นี่ด้วยทุกวันหลังจากที่รับปากแต่งงานกับเคนเซย์
การปรากฏตัวด้วยเส้นผมสีดำสนิทผิดจากประกายแวววาวสีทองเช่นเคย เรียกความแปลกใจจากผู้ที่ยังไม่ได้พบเห็น เฟย์นะทำสีผมใหม่เมื่อวาน ด้วยเหตุผลสั้นๆ ที่บอกกับเคนเซย์ตอนทำหน้าอึ้ง เหมือนจะอยากถามแต่ไม่กล้าถามว่า...
...เธอแค่ไม่อยากถูกเหมารวมกับตระกูลหัวทองที่หน่วยเคซีโร่กำลังตามจับอยู่เท่านั้นเอง...
“หนูต้องขอโทษทุกคนด้วยนะคะ ที่ก่อนหน้านี้พูดจาเสียมารยาทมากๆ”
เฟย์นะซึ่งอยู่บนที่นั่งประจำสำรับของตัวเองขยับตัวออกจากโต๊ะวางอาหารเล็กน้อย ก่อนจะก้มศีรษะลงจรดพื้นเพื่อคำนับ ท่ามกลางสีหน้างุนงงของทุกคน
“เอ๊ะ เรื่องอะไรกันจ๊ะหนูเฟย์นะ เสียมารยาทอะไรตอนไหน” นายหญิงใหญ่ของบ้านรีบถามกลับทันที
“คืนที่คุณโซอีมาพักด้วยเราได้คุยอะไรกันเยอะเลยค่ะ หนูรู้สึกเหมือนว่าตัวเองตั้งสติได้แล้วซะที พอฟังเรื่องคุณโซอีแล้ว มันก็ทำให้หนูรู้สึกตัวว่าที่ผ่านมาชีวิตของหนูคงจะสบายมากเกินไป มีความสุขมากเกินไปจนทุกข์ไม่เป็น พอเจอเรื่องไม่ได้ดั่งใจไม่เป็นไปตามที่หวังก็เลยสติแตกไป พยายามโทษคนอื่นเพื่อให้ตัวเองสบายใจขึ้น ความทุกข์เองก็คงจะเป็นการเรียนรู้ชีวิตอีกอย่างหนึ่งเหมือนกัน หนูจะอดทนให้มากขึ้น เข้มแข็งให้มากขึ้น คิดให้รอบคอบมากขึ้นก่อนจะพูดหรือทำอะไรจากนี้ไป อาจจะช้าไปหน่อยที่หนูเพิ่งคิดได้แล้วเพิ่งพูดเอาจนป่านนี้ แต่ช่วยแยกห้องนอนให้เราหลังแต่งงานดีกว่าค่ะ หนูคิดว่าเคนเซย์คงจะอึดอัดลำบากใจมากกว่าที่จะต้องอยู่ห้องเดียวกัน หนูจะไม่แกล้งเคนเซย์เพื่อพยายามจะฉีกข้อตกลงของเราอีกแล้วค่ะ”
หลังจบคำขอโทษและอธิบายยาวเหยียดห้องอาหารประจำบ้านก็เงียบกริบขึ้นมาในทันที
เคนเซย์หันไปมองคนข้างตัวอย่างนึกไม่ถึง เสียววาบในอกซ้ายขึ้นมาอย่างประหลาดเมื่อมองเธอเต็มตาในชุดกิโมโน ผมสีดำ นั่งเก็บขาหลังตรงอย่างเรียบร้อย ยิ่งรวมกับคำพูดเมื่อครู่แล้วยิ่งทำเอาชายหนุ่มแทบละสายตาไปไม่ได้เลย
คงจะดีกว่าถ้าแยกห้องนอนกันนั่นแหละ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มีทางนอนหลับได้ตราบใดที่ยังมีเธออยู่ในห้องเดียวกัน ใบหน้าสมาชิกตระกูลยูคิฮารุล้วนกลายเป็นรอยยิ้ม ก่อนที่ท่านแม่ของคุณชายคนเก่งจะดับฝันลูกชายในเวลาต่อมา
“ชีวิตเรายังต้องเจออะไรอีกมากมาย เอาเป็นว่าเข้มแข็งเข้าไว้เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับทุกอย่างที่จะผ่านเข้ามาจากนี้ไปกันดีกว่าจ้ะ แม่รู้สึกดีใจมากจริงๆ ที่เรามีหนูเฟย์นะเป็นสะใภ้ของตระกูล ดังนั้น…ไม่ต้องแยกห้องนอนหรอก ทำตามข้อตกลงทุกอย่างนั่นแหละ อย่างไรก็ตามทางเราก็รู้สึกผิดไม่น้อยที่เหมือนบังคับกรายๆ ให้ชีวิตหนูต้องกลายเป็นแบบนี้ ให้ถือว่านี่เป็นการฝึกเคนเซย์ดีกว่าจ้ะ เขาจะได้ไม่กล้าล้ำเส้นในขณะที่หนูเฟย์นะยังไม่พร้อม…”