ตอนที่ 33: ภายในเกราะคุ้มกันชั้นที่สอง
ตอนที่ 33: ภายในเกราะคุ้มกันชั้นที่สอง
เฮเซคียาห์นิ่งไประหว่างเพ่งสมาธิไปยังภาพซึ่งเขาได้รับโดยตรงเข้าสู่สมองจากบรอธ เขาทราบว่าพวกมัสตินที่ล้อมหมู่บ้านอยู่มีจำนวนทั้งหมด 30 คน เป็นเพชฆาตชาย 24 คน เพชฆาตหญิง 6 คน พวกเขาแบ่งกลุ่มออกเป็น 4 กลุ่ม กระจายอยู่รอบตัวหมู่บ้านทั้งสี่ด้าน เอ็กซัสอยู่กับคนของเขาทางทิศตะวันออก
หมู่บ้านเซนต์กิลเจน แต่เดิมมีภูเขารายล้อมอยู่รอบด้าน เพื่อช่วยซ่อนเร้นหมู่บ้านไว้ แต่ยังเป็นการแบ่งรัศมีของเกราะคุ้มกันหมู่บ้านด้วย เกราะคุ้มกันแรกจะอยู่นอกเขตภูเขาที่รายล้อม มนุษย์สามารถผ่านเข้าออกได้หากพวกเขาหาสถานีตรวจคนเข้าหมู่บ้านเจอ ซึ่งเกราะคุ้มกันแรกแตกไปแล้ว ตอนนี้พวกมัสตินยังรีรออยู่เพราะเกราะคุ้มกันชั้นที่สองยังทำงานอย่างเต็มที่
เกราะคุ้มกันชั้นที่สองมีแต่มนุษย์เท่านั้นที่ผ่านเข้าออกได้ พวกมัสตินมีเซลล์ที่มีมวลความหนาแน่นมากกว่าสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์อื่นมากแม้กระทั่งพวกลูกเสี้ยวอย่างโซเฟีย ดังนั้นจึงไม่สามารถเคลื่อนที่ผ่านเข้าออกเกราะคุ้มกันในชั้นนี้ได้
“เดี๋ยวผมวาดสิ่งที่เห็นให้ทุกคนดู” เฮเซคียาห์ออกจากภวังค์เข้าสู่โลกของความเป็นจริง
เขาอยู่ในห้องประชุมของศาลาว่าการของหมู่บ้าน นั่งชิดทางด้านขวาของเมเดียนซึ่งนั่งเป็นประธานที่หัวโต๊ะ ถัดไปด้านหลังมีกระจกใสติดตั้งอยู่บนผนัง เฮเซคียาห์เดินเข้าไปใกล้แล้วทาบมือลงไปบนกระจกใส ก่อนจะดึงเอาแท่งกระจกที่ดูคล้ายกับดินสอออกมาจากกระจกใส กระจกใสแปรเปลี่ยนเป็นสีขาวดูคล้ายกระดานไวท์บอร์ด
เฮเซคียาห์เขียนสรุปรายละเอียดกองกำลังของเอ็กซัสบนกระดาน จำนวนคนแต่ละกลุ่มพร้อมหัวหน้ากลุ่ม และระบุกลยุทธ์ที่แต่ละทีมจะใช้จากประสบการณ์ของเขา บางรายละเอียดเขาไม่ต้องถามจากบรอธ เพราะเขารู้จักทุกคนในทีมที่เอ็กซัสพามาเป็นอย่างดี
“ตอนนี้พวกเขากำลังผลัดกันโจมตีตามเวลาเพื่อลดพลังป้องกันของเกราะ เริ่มจากตอนตีห้า จะเป็นกลุ่มทางทิศตะวันออก ต่อมาตอนแปดโมงเช้า จะเป็นทางทิศใต้ และอีกสองกลุ่มทิศเหนือตอนบ่ายสี่โมง และทิศตะวันตกตอนหกโมงเย็น”
“การรับรู้เรื่องช่วงเวลาในการเคลื่อนไหวของพวกเขาจะช่วยอะไรเราได้บ้าง” กรรมการหมู่บ้านคนหนึ่งยกมือถาม
“พวกเขาไม่วุ่นวายกับเราตอนกลางคืน เพราะพวกเขาต้องจัดการกับงานเอกสารต่างๆ และบางคนที่มีใบอนุญาตสำหรับการเทเลพอร์ตถึงขนาดเทเลพอร์ตจากค่ายกลับไปที่บ้าน ดังนั้นจำนวนของพวกมัสตินที่ล้อมเราอยู่จะน้อยลงในตอนกลางคืน แต่พอตอนเช้าหรือกลางวันคนจะเยอะขึ้น”
“ขี้โกงชะมัด ไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบแบบนี้” คนหนึ่งหงุดหงิดและพูดนอกเรื่อง
เฮเซคียาห์ไม่สนใจ เขาให้ข้อมูลที่อาจเป็นประโยชน์กับชาวบ้านต่อ ทุกคนที่นั่งอยู่ต่อหน้าเขา แทบทั้งหมดเป็นผู้ใช้เศวตศาสตรา ซึ่งตั้งแต่เมเดียนแนะนำว่าเฮเซคียาห์จะมาช่วย ก็ยังไม่มีคนตั้งคำถามหรือแสดงท่าทีเคลือบแคลงกับการที่เฮเซคียาห์ดูแตกต่างไปจากพวกเขาเล็กน้อยทางกายภาพภายนอก
“ถ้าเราจะเปิดฉากโจมตี ผมแนะนำให้โจมตีกลุ่มทางด้านทิศตะวันตกในตอนเช้า คนในกลุ่มนี้พวกเขาจะตื่นสาย หรืออาจยังไม่กลับจากบ้าน หรือไม่ก็มัวแต่ทำเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่เพราะพวกเขาเข้ากะรับผิดชอบงานตอนเย็น ในช่วงเช้าของวัน กลุ่มนี้จะเป็นจุดอ่อนของทีม นอกจากนี้ตัวหัวหน้าทีมยังอ่อนแอกว่าหัวหน้าของทีมอื่น”
“ฉันรู้จักหัวหน้ากลุ่มนี้ เคยสู้ด้วยตอนหนุ่มๆ แต่ฝีมือไม่ได้เรียกว่าอ่อนแอเลย” ผู้นำคนหนึ่งของกลุ่มที่อยู่ในวัยสี่สิบปลายๆ เอ่ยด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“ที่ผมบอกว่าอ่อนแอ เพราะพวกเขาค่อนข้างจะมุทะลุและหลอกง่าย” เฮเซคียาห์หัวเราะออกมา
“...”
เขาหุบยิ้ม ไม่มีคนหัวเราะด้วยสักคน มนุษย์ในที่นี้คงไม่เห็นด้วยกับเขา
พวกมัสตินได้ชื่อว่าฉลาดสุดๆ แถมยังมีไลฟ์ควอตซ์ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ประเมินและชี้แนะทุกอย่างได้อย่างเลิศล้ำ มนุษย์โดยทั่วไปยากจะใช้เล่ห์กลหลอกพวกมัสตินได้ เพราะไลฟ์ควอตซ์มักแจ้งเตือนเพื่อให้รับมือกับมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์ แผนการของมนุษย์มักพังไม่เป็นท่า
“ตอนนี้พวกคุณมีผมกับบรอธอยู่ พวกเราสามารถคิดแผนการหลอกล่อและทำลายกำลังคนกลุ่มนี้ได้สำเร็จอย่างแน่นอน” เฮเซคียาห์กล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจในตัวเอง โดยเฉลี่ยแล้วผู้ใช้เศวตศาสตราประเภทเสริมสร้างเชาว์ปัญญาจะคิดแผนซ้อนแผนจนไลฟ์ควอตซ์ต้องเสียเวลาอยู่บ้างในการประเมินแผนดังกล่าว
“ยังไงก็แล้วแต่...” เฮเซคียาห์พูดต่อ “จำไว้ว่าพวกคุณห้ามทำอะไรนอกเหนือจากที่ผมบอกเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเราอาจตายทั้งหมด”
คนในห้องประชุมหันไปคุยกันเอง เฮเซคียาห์นิ่งมองพวกเขา ในฐานะคนที่เคยเป็นผู้นำคนอื่น เฮเซคียาห์ทราบดีว่าคนที่ต้องตกเป็นผู้ตามในวาระใดๆ ก็ตามมักมีข้อโต้แย้งคำสั่งของผู้นำอยู่ในใจบ้าง ไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะถ้าคนเหล่านั้นล้วนมีภาวะผู้นำสูง
“เธอช่วยทำให้เราเกิดความเชื่อมั่นได้ไหม ว่าแผนของเธอเชื่อถือได้” เมเดียนหันมาถามเฮเซคียาห์
“ในบรรดาพวกคุณใครมีความกล้าบ้างล่ะ ผมจะบอกวิธีให้คุณทำลายค่ายมัสตินฝั่งตะวันตกได้ด้วยตัวเองเพียงลำพัง” เฮเซคียาห์ยิ้ม มองไปรอบห้อง
“ฉันก็ได้” ชายคนหนึ่งยกมือขึ้น เขามีสายตาร่าเริงแจ่มใส เมื่อครู่ก็ยังหัวเราะเบาๆ เหมือนขำบางอย่างในตัวเฮเซคียาห์
“จะดีเหรอ มัลคอม ให้คนอื่นไปแทนเธอดีกว่า” เมเดียนเอนกายไปด้านหน้า ประสานสองมือไว้บนโต๊ะ
เฮเซคียาห์คุยกับบรอธและรับรู้ว่ามัลคอม ดร็องคราฟัว อายุยี่สิบปลายๆ เป็นคนที่อ่อนวัยและประสบการณ์ที่สุดในกลุ่ม แต่มีสไตส์การต่อสู้แบบบ้าระห่ำ เศวตศาสตราของมัลคอมมีความสามารถในการขโมยความสามารถของคู่ต่อสู้มาใช้แบบชั่วคราว ถ้าเขาเลือกต่อสู้กับชาวมัสตินแทนที่จะหนีในครั้งใดเพราะมั่นใจว่าเขาสามารถเอาชนะได้ เขาก็มักชนะได้เสมอ
“คุณเป็นคนมุทะลุไปหน่อย ถ้าหากคุณท้าทายสิ่งที่ผมบอกคุณด้วยการไม่เชื่อใจ คุณจะตายเอาได้” เฮเซคียาห์เตือนมัลคอม แต่ก็สนใจว่าอีกฝ่ายอาจเหมาะสมก็ได้
“ฉันจะไม่ท้าทายเธอ ฉันสัญญา ฉันยังไม่อยากตาย” มัลคอมเอนหลังพิงไปกับเก้าอี้
“โอเค อย่างนั้นผมให้คุณมัลคอมช่วยในการพิสูจน์กับทุกคนว่าแผนของผมได้ผล เอาเช้าพรุ่งนี้เลยละกัน” เฮเซคียาห์รีบรวบรัดจะให้ทุกคนเห็นผลลัพธ์ เพราะว่าเกราะป้องกันชั้นในมีค่าความต้านทานน้อยลงเรื่อยๆ พวกเขามีเวลาเหลืออยู่ไม่ถึงสัปดาห์ก่อนที่เกราะนั้นจะพังลงมา
“ฉันมีอีกคำถามหนึ่ง” ผู้ใช้เศวตศาสตราที่อาวุโสที่สุดเอ่ยปาก หลังจากเอาแต่ฟังเฉยๆ ดวงตาของเขาฝ้าฟางไปข้างหนึ่งด้วยความชราภาพ “เอ็กซัส สมุหเพชฆาตคนนั้น เขาพัฒนาความสามารถจนจะแปลงเป็นใครในเผ่าพันธุ์ไหนก็ได้ ฉันสงสัยว่าเขาอาจจะผ่านเกราะเข้ามาได้”
“ถ้าเขาผ่านเข้ามาได้ เขาน่าจะเข้ามาแล้วสิ” มัลคอมเถียงขึ้นมา “เขาเปลี่ยนแค่ภายนอกไม่ใช่เหรอ ไม่ได้เปลี่ยนไปถึงระดับเซลล์”
“ก็ไม่แน่ เขาอาจจะผ่านเข้ามาได้จริง” เฮเซคียาห์เคยเห็นกับตาว่าสีเลือดของเอ็กซัสเปลี่ยนไปจากการแปลงร่าง และว่ากันตามรายงานการพัฒนาศักยภาพของเอ็กซัส เอ็กซัสเปลี่ยนแปลงสภาพถึงระดับเซลล์ได้จริง ขนาดปลอมลายนิ้วมือหรือดีเอ็นเอของสิ่งมีชีวิตอื่นก็ยังได้
“สมมติ เราต้องการตรวจสอบว่ามัลคอมที่กลับมาจากด้านนอก เป็นมัลคอมจริงๆ หรือเปล่า เราจะทำได้ยังไง”
“เฮ้! คุณกำลังทำให้ผมกลัวนะ นี่คิดว่าผมจะไปตายเหรอ” มัลคอมโวยออกมา
“สงบใจไว้ไอ้หนู เราต้องคิดเผื่อไว้ก่อน ถ้าเขาเข้ามาในหมู่บ้านได้ก่อนที่เกราะคุ้มกันจะหมดสภาพลงได้ งานของเขาจะเสร็จเร็วขึ้น เอ็กซัสไม่พลาดโอกาสนั้นแน่” ผู้อาวุโสหันไปปรามมัลคอมที่ดูไม่ค่อยพอใจกับความคิดทางด้านลบว่าเขาจะไปเพลี่ยงพล้ำให้ชาวมัสตินและถูกขโมยตัวตนไป
“ถ้าจะตรวจสอบว่าคนที่เห็นอยู่ใช่เอ็กซัสปลอมตัวมาหรือเปล่า มันก็มีวิธีอยู่” แน่นอนว่าเฮเซคียาห์ต้องรู้จุดอ่อนของเอ็กซัส
“ยังไง” ผู้ใช้เศวตศาสตราสุดอาวุโสถามด้วยเสียงสั่นๆ “เธอเป็นใครกันแน่ ถึงได้รู้วิธีแบบนั้น”
เฮเซคียาห์อยากหัวเราะออกมาดังๆ บางทีเขาก็นึกอยากประกาศตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง
แต่ป่าวประกาศตรงนี้ แทนที่ทุกคนจะรู้สึกยำเกรงเขา เขามีแต่จะถูกรุมสกรัมเสียมากกว่า บัญชีแค้นของมนุษย์ที่มีต่อเขายาวเป็นหางว่าว ถ้าให้มนุษย์มาต่อแถวลงชื่อว่าอยากฆ่ารัชทายาทเฮเซคียาห์ มนุษย์คงต่อแถวกันอย่างยาว
“ผมก็แค่ผู้ใช้เศวตศาสตราคนหนึ่งเหมือนๆ กับพวกคุณ” เฮเซคียาห์ทำให้คนอื่นรับรู้ก่อนว่าเขาเป็นพวกเดียวกัน
“โอเค ตกลงต้องทำยังไงถึงจะรู้ว่าไอ้มัสตินสารเลวเอ็กซัสไม่ได้ปลอมมาเป็นคนที่เราอยู่ด้วย”
“คุณต้องหักนิ้วก้อยของเขา”
“หักนิ้วก้อย?” หลายคนพึมพำ
“มือไหนก็ได้ ได้ผลไม่ต่างกันหรอก หรือถ้าหากคุณมีความสามารถพอและคุณอยากเสี่ยงทั้งชีวิตคุณกับเพื่อนของคุณที่จะพิสูจน์ความจริง คุณก็อาจจะหักกระดูกส่วนอื่นของผู้ต้องสงสัยแทนก็ได้” เฮเซคียาห์เปิดเผยสิ่งที่เขารู้ต่อมนุษย์ แม้ว่านี่คือการทรยศต่ออดีตคนสนิทที่เคยเป็นมือขวา “แค่ทำให้เกิดแผลภายนอก ถ้าเอ็กซัสไม่ร้องขอการรักษาจากไลฟ์ควอตซ์ เขาก็จะยังคงสภาพเดิม แต่การที่กระดูกหัก ไลฟ์ควอตซ์จะพิจารณาซ่อมแซมฟื้นฟูร่างกายโดยอัตโนมัติ จังหวะที่ไลฟ์ควอตซ์กระตุ้นเซลล์ในร่างกายเพื่อรักษากระดูกที่สึกหรอ เขาจะต้องกลับไปสู่สภาพเดิมชั่วคราว โดยทั่วไปเอ็กซัสจะระวังตัวอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณเนียนๆ นิ้วเนี่ยเป็นส่วนที่คุณเนียนจับแล้วก็หักมันได้ง่ายๆ”
“วิธีนี้คงใช้ไม่ได้บ่อยอย่างที่ต้องการ ถ้ามีคนทำกับเขาไปสักครั้งหรือสองครั้ง เขาต้องระวังตัวมากขึ้น”
“ก็จริง แต่ถ้าเอ็กซัสรู้สึกว่าคุณจะท้าพิสูจน์เขา เขาจะต้องพยายามหนีหรือเข้าต่อสู้กับคุณ ตอนนั้นคุณก็จะได้รู้ว่าคนที่คุณเผชิญหน้าอยู่คือเอ็กซัสแน่ๆ แต่อย่าพยายามพิสูจน์เรื่องตัวตนของคนตอนคุณอยู่ด้วยตามลำพัง เพราะถ้าเจอเอ็กซัส เขาฆ่าคุณแน่ ก่อนที่คุณจะไปบอกกับคนอื่นต่อถึงตัวตนของเขา” เฮเซคียาห์ยักไหล่
“เจ็บน่าดูนะ โดนหักกระดูก ผมไม่อยากให้พวกคุณทดลองทำกับผมหลังจากผมกลับมาจากด้านนอก” มัลคอมทำหน้าแขยง
“ถ้าเป็นคุณจริงๆ แล้วพวกเขาอยากพิสูจน์ ก็ขอให้พวกเขาใช้ยาชาก่อนก็ได้” เฮเซคียาห์ยิ้มอย่างขำๆ เขารู้ว่าเป็นธรรมดาของพวกมนุษย์ที่กลัวการเจ็บปวด
เมเดียนเหลือบตามามองเขาอย่างเพลียๆ
“ผมว่าเราเลิกประชุมกันก่อนไหม เดี๋ยวหลังจากมัลคอมช่วยทำลายค่าย พิสูจน์แล้วว่าบรอธกับผมช่วยพวกคุณได้ เราค่อยมาคุยกันต่อว่าจะจัดการกับอีกสามค่าย และพวกมัสตินทั้งหมดที่จะรอดไปจากเช้าพรุ่งนี้ได้ยังไง” เฮเซคียาห์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการมากขึ้น
“เอาตามนั้นแหละ” เมเดียนผู้เป็นหัวหน้าทีมพูดเสียงเรียบๆ
เฮเซคียาห์มองไปที่มัลคอม อีกฝ่ายยกมือขึ้นเท้าคาง ไม่มองหน้าเขา แต่นั่นเป็นแค่การเปลี่ยนอิริยาบถระหว่างรอให้ทุกคนออกไปจนหมด แล้วจะได้คุยกับเมเดียนและเฮเซคียาห์ต่อถึงแผนการสำหรับตอนเย็น
“เธอไม่รู้สึกผิดเลยเหรอที่จะฆ่าพวกชาวมัสติน เธอเป็นพวกเขามาก่อนไม่ใช่เหรอ” เมเดียนถามเฮเซคียาห์เมื่อมัลคอมออกไปจากห้องประชุมแล้ว
“คุณให้ผมมาช่วย ผมก็ต้องช่วยเต็มที่”
“เธอรู้จักกับพวกเขาไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงง่ายนักล่ะที่จะปล่อยให้พวกเขาตาย” เมเดียนตั้งคำถามต่อศีลธรรมของเฮเซคียาห์
“มันไม่ได้ง่าย แต่ผมก็ต้องทำ ผมเลือกช่วยคุณแล้ว”
“ขอบคุณนะ” เมเดียนเอ่ยคำที่เฮเซคียาห์ก็อยากได้ยิน แต่พอได้ยินแล้วรู้สึกขัดๆ ชอบกล
“ผมทำแบบนี้ไม่ใช่เพราะผมมีน้ำใจ เราแค่มีข้อแลกเปลี่ยนกัน” เฮเซคียาห์พ่นลมออกจมูก “ผมไม่อยากได้ขึ้นชื่อว่าช่วยมนุษย์เลย มีแต่บรอธต่างหากที่อยากช่วยเหลือพวกมนุษย์ และมันดันเอาสิ่งที่ผมอยากได้มาผลักดันให้ผมต้องยอมช่วยเหลือทุกคนที่นี่ไปด้วย”
เมเดียนมองหน้าเฮเซคียาห์
“ถ้าเธอกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้ เธอต้องมาอยู่กับพวกมนุษย์ใช่ไหม”
เฮเซคียาห์เม้มปากเป็นเส้นตรง
“อย่าพูดถึงพระประสงค์ของพระเจ้ากับผมอีกนะ” เฮเซคียาห์จ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง
“โอเค แต่ดูอย่างบรอธเตือนเธอนะ ฉันไม่คิดว่ามันโกหกหรือแกล้งเธอหรอก แต่โอกาสจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมอาจจะต่ำมากหรือไม่มีอยู่เลยจริงๆ” เมเดียนมีแววตาที่ราบเรียบ ความคิดของเขาไม่ใช่แค่การแสดงความเห็นแต่ทั่วไป แต่เป็นการนำความคิดที่พิจารณาอย่างถี่ถ้วนมาคุยด้วย
“บางทีบรอธพูดบางอย่างไม่หมด จะไว้ใจทุกอย่างที่มันบอกไม่ได้หรอก” เฮเซคียาห์ชำเลืองตามองบรอธที่ไม่ได้โต้แย้งคำพูดของเขา "ผมเปลี่ยนเป็นอย่างนี้ได้ต้องมีสาเหตุ และผมต้องเปลี่ยนกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ด้วย วิทยาศาสตร์ประกอบด้วยเหตุและผล คุณจะได้เห็นถึงอำนาจของวิทยาศาสตร์ที่จะท้าทายความเชื่อของคุณตอนคุณพาผมกลับไป และคุณควรมาอยู่กับผมด้วย ผมอยากเห็นคุณกลับไปรับใช้พวกมัสตินเหมือนเดิม ส่วนพวกมนุษย์ในหมู่บ้านนี้ จัดการลงทะเบียนเป็นทาสของคุณซะ ก็จะไม่ถูกทำร้าย”
“พวกมนุษย์ที่เป็นทาสไม่มีความสุขหรอก ตามระเบียบของพวกมัสตินพวกเขาอาจถูกสุ่มไปเป็นตัวอย่างทดลอง หรือต้องแยกจากครอบครัวเพื่อไปทำงานบางอย่างให้ชาวมัสติน และบางครั้งไลฟ์ควอตซ์ก็ตัดสินว่าพวกเขาต้องตายทั้งที่เขายังไม่ทันทำในสิ่งที่คิด” เมเดียนมีสีหน้าเหมือนกำลังกรุ่นคิดถึงบางอย่าง ถอนใจยาวๆ ก่อนพูดออกมาต่อ “ฉันไปส่งเธอถึงพระราชวังได้ แต่ฉันไม่กลับไปรับราชการหรือทำงานขึ้นกับชาวมัสตินอีกแล้ว ฉันไม่อยากเจอราชินีเอสเธอร์”
“เมื่อไหร่คุณจะเลิกโทษเธอ” เฮเซคียาห์ยกประเด็นที่อยู่ในใจเขาตลอดขึ้นมาพูด
เสด็จแม่ของเขาก็แค่ทรงช่วยปิดบังความจริงเรื่องที่เพื่อนป่วยเพราะการตั้งครรภ์กับเมเดียน เฮเซคียาห์มองการกระทำของเธอว่าหวังดีต่อเพื่อน แต่เมเดียนที่สูญเสียภรรยาไปเพราะรู้ตัวช้าเกินไปว่าภรรยากำลังป่วยกลับฝังใจโกรธแค้นในสิ่งที่เสด็จแม่ของเขาทรงทำลงไปด้วยเจตนาดี มันช่างเป็นการกระทำที่เต็มไปด้วยทิฐิและไร้เหตุผลเป็นที่สุด
“ลองมาเป็นฉันสิ เป็นฉันที่เห็นสภาพของภรรยาก่อนตาย แล้วเธอจะเข้าใจ” เมเดียนเสียงสั่นเครือ
เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นกุมปิดตรงสายตา
“ทำไม? เธอเป็นยังไง? ก็แค่เจ็บป่วย มันเกิดขึ้นแล้ว คุณเห็นในสิ่งที่เป็นธรรมดาของโลกมนุษย์ มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย” เฮเซคียาห์ลองคิดถึงพวกมนุษย์ เมเดียนคลุกคลีกับพวกมนุษย์ ความตายเกิดขึ้นบ่อยครั้งถี่กว่าชาวมัสติน มันควรเป็นสิ่งที่เมเดียนทำใจยอมรับได้ว่าเป็นธรรมชาติมากกว่าพวกมัสตินเสียอีก “เรื่องก็ผ่านมานานมากแล้ว และเสด็จแม่ก็ทรงดูแลคุณอยู่ห่างๆ มาตลอด คุณไม่คิดบ้างเหรอว่านี่มันไม่แฟร์ คุณยังถือทิฐิขณะที่คนซึ่งสูงส่งกว่าคุณยอมลดทิฐิลง เสด็จแม่ทรงมีหน้าที่ดูแลประชากรชาวมัสตินเป็นพันล้าน แล้วก็ต้องมาให้สิทธิพิเศษดูแลคุณทั้งๆ ที่คุณหันหลังให้เธอ คุณเป็นประชากรของเธอแต่ไม่ได้เป็นชาวมัสตินด้วยซ้ำ คุณอวดดี”
“หุบปากเถอะ! เธอไม่ได้มาเป็นฉัน ไม่ได้เป็นคนที่จ้องมองดูคนที่สวยที่สุด คนที่รักที่สุดสูญเสียความเป็นตัวเองไปอย่างช้าๆ และกลายเป็นเหมือนสัตว์ประหลาด”
“คุณพูดอะไร...”
“พอเถอะ ฉันจะไม่ต่อล้อต่อเถียงกับเธอ” เมเดียนลุกจากเก้าอี้ นัยน์ตาของเขาแดงก่ำ
บรอธคุยกับเฮเซคียาห์ให้เขาหยุดพูด
เฮเซคียาห์งุ่นง่าน เขาเม้มปากแน่น ตั้งใจทำตามที่บรอธแนะนำทั้งๆ ที่ก็ไม่เห็นด้วย เขาคิดว่าเมเดียนเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นเกินกว่าเหตุ
“เขาร้องไห้นะ ร้องไห้เพราะนาย” บรอธพึมพำคุยกับเฮเซคียาห์เมื่อคล้อยหลังเมเดียน
เฮเซคียาห์ส่ายหน้า ไม่รู้สึกผิด แต่สับสนกับความอ่อนไหวของเมเดียน
เขาแค่อยากให้เมเดียนคิดถึงเสด็จแม่ของเขาในด้านดีๆ แทนที่จะจดจำแต่ความผิดในหนหลัง การที่ราชินีเอสเธอร์คุ้มภัยให้กับเมเดียนมาจนถึงบัดนี้แสดงให้เห็นว่าเธอสำนึกผิดแล้ว ชาวมัสตินไม่ได้สำนึกเสียใจกับอะไรง่ายๆ ดังนั้นเฮเซคียาห์คิดว่าเมเดียนควรเห็นค่าของการกระทำของเธอ และให้อภัยเธอสักที