ตอนที่ 32 อาเมะผู้งดงาม
ตอนที่ 32 อาเมะผู้งดงาม
ลินจินั่งเพกัสตามรถเทียมวัวมาถึงหน้าประตูบานใหญ่ สถานที่แห่งนี้ถูกล้อมไว้ด้วยกำแพงหิน เหล่าทหารเฝ้าเวรยามด้านหน้าเห็นรถเทียมวัวของท่านชายจึงเปิดทางให้
ขณะนั่งม้าอสูรตามรถเทียมวัวเข้าไป ปราสาทหลังใหญ่ราวกับตำหนักสวรรค์ก็ตั้งตระหง่านดึงดูดสายตา ท่านชายผู้นี้ช่างโชคดีเหลือเกิน เกิดมามีทรัพย์สมบัติเพียบพร้อม แต่สิ่งที่สวรรค์ประทานพรหากไม่รู้จักขยันหมั่นเพียรหาด้วยตนเองสักวันคงหมดไป ลินจิครุ่นคิดในใจ ก่อนจะลงจากหลังเพกัสพร้อมเป้สัมภาระ
“นายน้อย กลับมาแล้วหรือขอรับ”
เสียงชายหนุ่มมากกว่าหนึ่งคนดังขึ้น ก่อนจะพากันเดินออกมาจากปราสาท ได้ยินเช่นนั้น ลินจิจึงเดาว่าเป็นบ่าวใช้ พวกเขาสวมเสื้อผ้าธรรมดา เป็นเสื้อทบและกางเกงหลวม ๆ ไม่มีลวดลาย คาดเอวด้วยผ้าสีดำ แต่ละคนล้วนหน้าตาดีทั้งนั้น
“นายน้อย นายน้อย”
ไม่นานเหล่าบ่าวรับใช้ก็เข้ามาล้อมรถเทียมวัว ลินจิมองพลางก้าวเข้าไป แค่รับนายต้องแห่กันมาขนาดนี้เชียวหรือ ราวกับแมลงวันตอมมูลแหนะ
พอชุนออกมาจากรถเทียมวัวก็สงสัย มองซ้าย มองขวา ชายหนุ่มเหล่านี้มายืนออทำไมกัน แต่ด้วยสีหน้าแววตาราวพ่อเสือ เหล่าบ่าวใช้จึงเข้าใจผิดคิดว่าถูกหาเรื่อง
“เหวอ…”
บ่าวใช้คนหนึ่งร้องออกมา ก่อนพากันถอยหลังเกาะกลุ่มอย่างหวาดผวา บุรุษผู้นี้มาจากโลกไหนกัน หน้ายักษ์หน้ามารน่ากลัวเสียจริง
“อ๊ะ!”
ลินจิเห็นท่าไม่ดี ไม่อยากให้เกิดเรื่องเกิดราวจึงรีบวิ่งไปห้ามปราม กระตุกผ้าคลุม ก่อนจูงมือชุนให้ถอยออกมาด้านหลัง
เหล่าบ่าวใช้เห็นพื้นที่ด้านหน้าปลอดภัย จึงพากันเดินเข้าไปรับตัวท่านชายออกจากรถเทียมวัว
“นายน้อย นายน้อย ดีใจจริง ๆ ท่านกลับมาแล้ว”
พอบ่าวใช้เหล่านั้นเรียก เสียงกระพรวนกรุ๊งกริ๊งก็ดังจากด้านใน บ่าวใช้คนหนึ่งก็ยื่นมือเปิดมู่ลี่อย่างนุ่มนวลร่างเพรียวไม่สูงมากสวมชุดขาว กางเกงยาวผ้าโปร่งขาวขุ่นดุจควันไฟ ปลายแขนเสื้อปักด้วยเส้นไหมทองคล้ายรูปหงส์กับมังกรเกี้ยวกัน แขนคล้องสร้อยกระพรวนทองเหลือง ผ้าคาดเอวสะท้อนแสงราวไข่มุก ช่างดูสูงส่งสง่างามราวกับหงส์ฟ้าในเทพนิยาย
เมื่อท่านชายหันมา จึงเห็นหน้าตาของเขาชัดเจน ลินจิถึงกับแอบตกใจ ช่างเป็นหนุ่มรูปงามโดยแท้คนหนึ่ง อายุไม่น่าเกินสิบแปดปี ผมตรงดำขลับไม่ยาวมาก เรียวคิ้วชัดเป็นแนวตรง ดวงตาทอประกายราวกลับมีหยดน้ำกลิ้งอยู่ด้านใน แฝงไปด้วยความรู้สึกพรั่งพรูราวกับจะกระชากจิตวิญญาณไป ความสูงส่งสง่างามเช่นนี้ ราวกับไม่ใช่มนุษย์ เหตุใดถึงถูกห้อมล้อมด้วยบ่าวใช้สูงใหญ่กำยำ ช่างไม่เหมาะเสียจริง อย่างพ่อหนุ่มคนนี้ควรจะอยู่ในสวนกระต่ายขาวขนปุยมากกว่า
“เชิญพวกท่านด้านใน”
ท่านชายกล่าว ก่อนเดินนำ บ่าวใช้อีกนับสิบเดินล้อมหน้าล้อมหลังราวกับดวงดาวโคจรรอบพระอาทิตย์
ชุนพยักหน้าเรียกลินจิพลางตามฝูงชายหนุ่มนับสิบที่อยู่ด้านหน้า ลินจิได้ยินเสียงเรียกรีบตามไป ส่วนเพกัสนอนเฝ้าอยู่หน้าปราสาทข้างรถเทียมวัว
บ่าวใช้คนหนึ่งเดินอยู่ด้านหลังเห็นแขกผู้มาเยือนมีสัมภาระ จึงเอ่ยถาม
“ให้ช่วยไหมขอรับ”
ลินจิยิ้มส่ายหน้าบอกว่า “ไม่เป็นไร” ของแค่นี้เขาถือเองได้อยู่แล้ว
ขณะเดิน ลินจิก็แอบสังเกตสายตาชุนไปด้วย คิดว่า ท่านชายดูดีราวกับเทวดา ชุนจะไม่รู้สึกพิศวาสบ้างเลยหรือ คิดได้เช่นนั้นลินจิจึงอยากลองใจ ชี้นิ้วไปยังท่านชายเหมือนเลือกรองเท้า ถามว่า…
“หล่อ หรือ น่ารัก”
บ่าวใช้คนหนึ่งตามหลังมา เห็นกิริยาต่ำตมของผู้มาเยือนก็ด่าในใจ หน็อย มาชี้นายน้อยของข้า ไร้มารยาทเสียจริง บ่าวอีกคนหนึ่งทนไม่ไหว จึงเดินเข้ามาฟาดแขนลินจิดัง เพี๊ยะ!
ลินจิร้องโอ๊ย สะบัดหน้าถามโวยวาย
“ทำอะไรน่ะ!”
ชุนส่ายหน้าถอนใจ ปรายตามอง อยู่ที่ไหนก็มีแต่เรื่อง สมควร ให้บ่าวใช้พวกนี้สั่งสอนเสียบ้าง
บ่าวใช้เห็นลินทำหน้ามุ่นจึงขมวดคิ้ว ท่าทางบอกแน่จริงก็เอาสิ ทำผิดยังไม่รู้ว่าผิด ตักเตือนไปแล้วยังไม่สำนึก ใช้ได้ที่ไหนกัน
ตอนนั้นชุนก็เอ่ยปาก
“คำถามเมื่อครู่ เจ้าจะให้ข้าตอบจริง ๆ หรือ”
ลินจิเพิ่งนึกขึ้นได้ เมื่อครู่ตนเพิ่งถามชุนไปว่า ท่านชายหล่อหรือน่ารัก จึงรีบตอบกลับทันที
“ก็ตอบสิ!”
ขณะรอฟังอย่างใจเต้นตึกตัก เขาก็คาดหวังคำตอบในใจ อีกฝ่ายคงพูดว่า ไม่มีใครน่ารักเทียบตนได้ ทว่าคำตอบกลับแตกต่างออกไป
“คำตอบอยู่ในใจเจ้า ข้าต้องตอบด้วยหรือ”
“เอ๊ะ…”
ความสับสนเข้าเล่นงาน คำตอบในใจคืออันไหนกัน คำตอบที่ว่าท่านชายคนนั้นน่ารัก หรือคำตอบที่ว่าตนน่ารักกันแน่ ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน หรือว่าชุนจะปั่นหัวเขา
เมื่อก้าวขึ้นบันไดจนถึงห้องรับรอง ท่านชายรูปงามก็เดินตรงเข้าไปยังห้องหนึ่ง จากนั้นบ่าวใช้จึงกล่าวเชิญ
“ตามเข้าไปได้เลยขอรับ”
ชุนกันลินจิพยักหน้าพลางก้าวเข้าไป
ภายในห้องปูพื้นด้วยไม้เนื้อดี หน้าต่างเปิดกว้างเห็นทิวทัศน์ของทะเลด้านนอก กลางห้องมีโต๊ะไม้สลักประดับทาสีทอง บ่าวใช้สี่ห้าคนนั่งคุกเข่าต้อนรับอยู่ด้านใน เบาะรองนั่งเป็นขนสัตว์ อาหารและเครื่องดื่มมากมายจัดเตรียมอยู่ก่อนแล้ว
“เชิญพวกท่านนั่ง”
ท่านชายกล่าว หย่อนตัวลงบนขนสัตว์ ท่วงท่าดูงดงาม บ่าวใช้คนหนึ่งคลานเข่าเข้ามานวดหลังให้
ลินจิชำเลืองมองเหล่าบ่าวใช้ที่เหลือ คิดว่าตนควรจะมีหนุ่ม ๆ นวดให้บ้าง
ชุนขมวดคิ้วเหล่ตามองเทพเจ้า สายตาราวกับสัตว์หิวกระหายนั่นอะไรกัน
ขณะที่ทั้งสองยืนอยู่นั้น ท่านชายก็เอ่ยอีกครั้ง
“เชิญพวกท่านนั่งก่อน”
“อะ…อ๋อครับ”
ลินจิตอบ ละสายตาจากบ่าวใช้รูปงาม ปลดกระเป๋าเป้วางด้านข้างก่อนนั่งลง ชุนได้ยินคำเชิญถึงสองครั้งจึงรีบนั่งรักษามารยาท ก่อนเปิดปากกล่าวจุดมุ่งหมายของตนที่มาเยือน
“ข้ามาพบท่าจิฮาดะ ท่านอยู่ที่นี่หรือไม่”
ท่านชายหันมองยิ้มมุมปากอย่างเหนียมอาย ลินจิถลึงตาใส่ ถามแค่นี้จะอายอะไรกัน
“ข้าเป็นทายาทของตระกูลจิฮาดะ นามว่า ‘อาเมะ’ จิฮาดะที่ท่านว่าคือช่างตีดาบใช่ไหม”
ชุนพยักหน้าตอบว่า “ใช่” ก้มหน้าครู่หนึ่ง แล้วเงยขึ้นมา
“ท่านเป็นทายาทของท่านจิฮาดะหรือ ไม่คิดว่าจะรูปงามขนาดนี้”
ลินจิหน้ากระตุกทันที ทำไมถึงชมคนอื่นเช่นนี้ เมื่อครู่ตนถามทำเป็นไม่ตอบ หมายความว่าอย่างไรกัน
ท่านชายปิดปากหัวเราะ ฮิฮิ แล้วยื่นมือออกข้างลำตัว
“จูเยา เจ้าลองดมกลิ่นดอกไม้ที่ข้าทามือดูหน่อย เจ้าว่าหอมหรือไม่”
บ่าวใช้คนหนึ่งนั่งริมประตูขานรับ ก่อนคลานเข้าหาท่านชายด้วยตาทอประกาย จมูกเรียวโด่งสูดกลิ่นเข้าไป พยักหน้างก ๆ ราวกับสุนัขผู้ซื่อสัตย์ ตอบว่า
“หอมครับ”
มุมปากของท่านชายยกขึ้น
“บ้า ข้าบอกให้ดม ใครบอกให้เจ้าหอมมือข้ากัน”
ลินจิรู้สึกเหมือนพ่ายแพ้ ตนไม่สามารถเทียบท่านชายคนนี้ได้เลย ใบหน้าติดเค้าหวานดูน่ารักน่าทะนุถนอม ไม่แปลกใจที่บ่าวใช้รูปหล่อพวกนั้นจะยินดีดูแลรับใช้โดยไม่รู้สึกกระดากกระด้างใจ
เหอะ เอาเถอะ อย่างน้อยเขาก็รักเดียวใจเดียว ไม่ได้ทำตัวเริงเมืองแบบนั้น แถมยังเป็นเทพเจ้าผู้สร้างโลก ชุนที่อยู่ข้างกายก็หล่อเหลาไม่แพ้กัน ถึงบ่าวใช้พวกนั้นจะดูดีทุกคนก็จริง แต่ไม่มีวันสู้พ่อเสือของเขาได้หรอก ฮิฮิ คิดไปคิดมาลินจิก็ยิ้มโดยไม่รู้ตัว
ทุกคนหันมามองดูอย่างงุนงง สีหน้าช่างแปลกประหลาดจริง
ลินจิรู้ตัวว่าเสียมารยาท จึงหุบยิ้มถลึงตาใส่ มองอะไรกัน
บ่าวใช้ก้มหน้าหลบตา ชุนปรายตามองพลางขยับตัวออกห่าง เดี๋ยวหน้ายิ้มเดี๋ยวหน้ามาร เทพตนนี้เป็นบ้าไปแล้ว
ท่านชายอาเมะหวาดผวา เอ่ยด้วยเสียงออดอ้อนราวกับเด็กน้อยต้องการอ้อมกอดจากมารดา
“ท่านชุน นี่ท่านเทพจริง ๆ หรือ”
“ใช่” ชุนพยักหน้า
ลินจิได้ยินเสียงก็หมั่นไส้ ช่างเกิดมาเพื่อสิ่งนี้โดยแท้ ดูเหล่าบ่าวใช้พวกนั้นสิ จ้องมองท่านชายราวกับเสือโหยมองลูกแกะ คงเสียความเป็นชายไปแล้วแน่ ๆ ลินจิคิดอย่างร้ายกาจ
ตอนนั้นท่านชายก็มองมา ดวงตาใสกระจ่าง มุมปากมีรอยยิ้ม
“ขออภัยท่านเทพ ท่านมาพบท่านปู่ทวดจิฮาดะเช่นกันหรือ”
ชุนเอ่ยแทรกทันที
“เปล่าหรอก ขออภัยท่านชายด้วย เขาเป็นเทพอัญเชิญของข้า แค่ห่างกันไม่ได้เท่านั้น”
น้ำเสียงไร้ความรู้สึก ลินจิได้ยินหลงระเริงว่าชุนมีดีก็วันนี้ จึงเผยยิ้มออกมา
“แหม คุณชุนล่ะก็…”
ท่านชายอาเมะทอดสายตามองทั้งสอง ลินจิปรายตามอง ยักไหล่ข้างหนึ่งอย่างผู้ชนะ เอ่ยว่า
“ท่านชายคงเหงาสิท่า มีเหล่าบ่าวใช้มากมายก็จริง แต่คงไม่สนิทใช่ไหมล่ะ”
ท่านชายอามะยิ้มตอบ ชุนกอดอกมองทั้งสองอย่างไม่เข้าใจ …คุยอะไรกันน่ะ
“ขอบคุณท่านเทพที่เป็นห่วง ความเหงาจะมาเยือนจิตใจผู้อ่อนแอเท่านั้น ท่านช่างเข้าใจดีเหลือเกิน สมกับที่เป็นท่านจริง ๆ”
หางตาลินจิกระตุก แม่เจ้า หลอกด่าว่าเขามีจิตใจอ่อนแอหรือ เห็นหน้าตาเจี๋ยมเจี้ยมเหนียมอาย คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจจริง ๆ
“ท่านชายช่างฉลาด ที่ท่านพูดถูกทุกอย่าง ไม่แปลกใจเลยที่เหล่าบ่าวใช้จะดูรักท่านนักหนา แต่ดูเพียงตาหารู้ไม่”
ลินจิยิ้มแต่เปลือก
“ท่านเทพก็ชมเกินไป การจะซื้อใจคนหาซื้อด้วยปัญญาไม่ ท่านเทพคงเข้าใจใช่ไหม เพราะท่านนั่งอยู่เฉย ๆ ชาวบ้านต่างพากันศรัทธาท่าน”
ท่านชายอาเมะยังคงยิ้มอ่อนหวาน
“ก็ช่วยไม่ได้ ปัญญาคงอยู่กับเราตลอด ท่านชายอาเมะมีรูปร่างหน้าตาที่งดงามเป็นหนึ่ง พอจะทราบดีใช่ไหมว่าดอกไม้มิอาจเบ่งบานได้ถึงร้อยวัน”
ลินจิเอ่ยอย่างสงบ ใบหน้าของท่านชายกระตุกเริ่มเปลี่ยนสี ชุนส่ายหน้าช้า ๆ พลางถอนหายใจ จู่ ๆ ท่านชายก็เปลี่ยนน้ำเสียงขึ้นมา
“อาผิง! มานี่หน่อยซิ ข้ารู้สึกเมื่อยเหลือเกิน”
บ่าวใช้หน้าตาคมเข้มนั่งริมหน้าต่างสะดุ้งพลันชี้นิ้วไปที่ตน ทำหน้างงประมาณว่า ‘ข้าหรือ?’ ก่อนเอ่ยถาม
“มีคนนวดหลังให้นายน้อยอยู่แล้วนี่ครับ”
ท่านชายอาเมะเดาะลิ้น
“ข้าไม่ได้บอกว่าเมื่อยหลัง ข้านั่งเบาะแล้วเมื่อย เจ้าช่วยมาเป็นเบาะรองนั่งให้ข้าที”
ว่าแล้วบ่าวใช้คนนั้นก็คลานมา ท่านชายอาเมะค่อย ๆ ขยับก้นนั่งตักอาผิง ยิ้มมุมปาก เหล่มองลินจิยิ้มให้อย่างร้ายกาจ
เอาเถอะ อยากทำอะไรก็ทำ ที่แท้ก็เป็นพวกเด็กอมมือเอาแต่ใจ ลินจิแสร้งทำไม่ใส่ใจ แต่ก็แอบหมั่นไส้อยู่เล็กน้อย เขาก็อยากจะนั่งตักผู้ชายบ้าง
“คุณชุน ผมเมื่อย-”
ยังไม่ทันจบประโยค ชุนก็ตอบทันทีว่า “ไม่” แล้วเข้าเรื่อง
“โมโมะบอกว่า ให้ข้ามาพบท่านจิฮาดะ ท่านพอจะเชิญมาได้ไหม”
ท่านชายพยักหน้า พลางหยิบส้มจากถาดผลไม้มาหนึ่งผล
“ท่านปู่ทวดหรือ”
ว่าแล้วท่านชายก็ยื่นส้มให้บ่าวใช้ด้านหลัง บอกว่า “แกะ”
บ่าวใช้หยุดนวด พยักหน้ารับผลส้มด้วยสองมือทำตามคำสั่ง ขณะที่ลินจิยืดหลังตรงชายตามองอย่างไม่เป็นสบอารมณ์อยู่นั้น ท่านชายก็เปิดปาก
“ปู่ทวดของข้าจะกลับมาช่วงรุ่งสางของวัน ตอนนี้ยามบ่าย พวกท่านคงต้องค้างคืน”
ได้ยินเช่นนั้น ชุนก็ก้มหน้ากอดอกครุ่นคิด นี่ต้องรอหรืออย่างไรกัน เทพเจ้าและท่านชายคงได้กัดกันตายก่อนที่ท่านจิฮาดะจะมาเป็นแน่
ลินจิมองบ่าวใช้รูปหล่อยื่นกลีบส้มจ่อปากท่านชาย จึงสะบัดหน้าเดาะลิ้นดัง “จิ๊” อย่างอิจฉา
“ท่านชุน ท่านมีเวลาพอไหม”
ถามแล้ว ท่านชายก็ค่อย ๆ กัดกลีบส้ม บ่าวใช้ด้านหลังดันกลีบส้มด้วยปลายนิ้วเข้าปากท่านชาย
ลินจิเห็นแก้วน้ำชาตั้งอยู่ แสร้งทำเป็นหยิบผลส้มบนโต๊ะบ้าง จังหวะนั้นก็จงใจกระแทกมือใส่แก้วน้ำชาด้านหน้าของท่านชาย
“…!”
น้ำชาเจิ่งนองค่อย ๆ ไหลลงจากโต๊ะ หยดแหมะใส่ชุดของท่านชาย ชุน และเหล่าบ่าวใช้ที่นั่งใกล้พากันลุกหนีกระเจิง
ลินจิลุกตาม หัวเราะเย้ยในใจ สมน้ำหน้า
“อ๊ะ! ขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจ”
เขากล่าวเสียงอ่อน แสร้งตีหน้าสำนึกผิด
“อ้า… นายน้อย เปียกเยอะไหมครับ”
บ่าวใช้คนหนึ่งถือผ้าเข้ามาพลางคุกเข่า
“รีบ ๆ เช็ดให้ข้าเร็ว”
“ตรงไหนครับ”
ท่านชายอาเมะหน้าแดง
“เหวอ... ตรงเป้าเหรอ”
บ่าวใช้ผงะไปครูหนึ่ง ก่อนจะลงมือเช็ดด้วยท่าทางเอ็นดูรักใคร ลินจิยืนมอง ภาพนั้นไม่ใช่ภาพอนาจารแต่อย่างใด สายตาของทั้งสองที่มีให้กัน ช่างดูสนิทสนมและอ่อนโยน เห็นเช่นนั้นจึงคิดว่า ตนทำเกินไปกับท่านชายอาเมะเสียแล้ว
เมื่อบ่าวใช้เช็ดโต๊ะและเสื้อผ้าให้ท่านชายเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็กลับมานั่งล้อมโต๊ะเหมือนเดิม ตอนที่บ่าวใช้คนหนึ่งทำท่าจะเข้ามานวด ท่านชายก็ยกมือปราม ประมาณว่า ไม่ต้อง จากนั้นจึงเอ่ยว่า…
“ยามฟ้าสางตั้งแต่พระอาทิตย์เริ่มปรากฏ ก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้นเต็มดวง ท่านมีเวลาเพียงเท่านั้น”