บทที่ 32 : มีชีวิต
บทที่ 32 : มีชีวิต
ในความสับสนงุนงง สายตาสองคู่ประสานมองกันอย่างฉงนไม่แน่ใจ เพราะสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นนั้นผิดจากสามัญทั่วไปที่คาดไว้ ทั้งตัวอัตตะศิลาที่ไม่แสดงระดับทั้งยังเปลี่ยนสัณฐานตัวเองกลายเป็นสีดำแปลกประหลาด อีกทั้งคู่ศิลาซึ่งควรจะเชื่อมโยงชีวิตของผู้ถือครองอัตตะศิลาที่บัดนี้แตกสลายลงไปราวกับเจ้าของมันได้สิ้นใจลงไปแล้ว
และดูท่าเจ้าตัวอย่างฮอรัสเองก็ไม่ได้เข้าใจสถานการณ์เลยว่ามันผิดเพี้ยน เพราะในบรรยากาศที่ต่างคนต่างก็กำลังงงงวยไม่รู้ว่าต้องตอบสนองอย่างไร หุ่นสงครามยังคงใช้ดวงตามมณีนิลจ้องมองไปที่อัตตะศิลาสีถ่านนั้นอย่างนิ่งเฉย
“เอ่อ... ฉันว่าคงมีอะไรผิดพลาดซักอย่าง” ไอน์เริ่มเอ่ยขึ้นมาเป็นคนแรกเรียกความสนใจจากฮอรัสให้ละจากหินสีดำมายังสาวน้อย
“ความผิดพลาด?” ฮอรัสวางหินสีดำถ่านไม่สะท้อนแสง ดูไร้ราคาในมือลงกับโต๊ะทวนคำพูด ระหว่างที่ไอน์เริ่มเกาหัวบ่งบอกว่า แม้แต่เธอเองก็ยังไม่รู้ว่าจะหาคำตอบยังไงดี
“...ขอเวลาฉัน ซักสองสามนาทีนะคะ” สาวน้อยแสดงสีหน้ากังวล ระหว่างที่เดินไปรื้อชั้นหนังสือเปิดหาสิ่งที่พอจะบอกได้บ้างว่าสิ่งที่เกิดขึ้นรวมทั้งอัตตะศิลาสีดำแบบนี้คืออะไรกันแน่ เผื่อว่าเธออาจจะพลาดข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับระดับของอัตตะศิลาไป
ว่ากันตามตรง เธอเองก็แอบเผื่อความคิดเอาไว้อยู่ก่อนแล้ว ว่ามันอาจเกิดข้อผิดพลาดขึ้นได้ในพิธีรับมอบอัตตะศิลาของฮอรัส นั่นจึงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ต้องให้เขาแยกมารับมอบอัตตะศิลาอย่างลับๆ รู้กันเพียงแค่สามคน
จากตำรามากมายรวมทั้งประวัติศาสตร์การศึกษาอัตตะศิลามาแต่โบราณนับได้สี่ร้อยปี ทำให้เธอคิดว่าอาจจะมีโอกาสที่อัตตะศิลาจะใช้กับฮอรัสไม่ได้ แม้เพียงเล็กน้อยแต่ก็มีโอกาส เพราะถ้าให้พูดออกมาตรงๆ แบบไม่เกรงใจกันยังไงฮอรัสก็ไม่ใช่สิ่งที่เธอจะเรียกได้อย่างเต็มปากว่าเป็น ‘คน’
ถึงแม้อัตตะศิลาจะแสดงผลออกมาแตกต่างกันไปในแต่ละระดับขั้นของชีวิต แต่มีเพียง ‘คน’ เท่านั้นที่ใช้ความสามารถของมันได้ถึงขีดจำกัดสูงสุด และคนในที่นี้คือความหมายรวมๆ ของเผ่าพันธุ์ชั้นสูงซึ่งดำรงสติปัญญาและถือว่าสูงส่งกว่าสัตว์ทั่วไป
ไม่ใช่แค่เฉพาะเผ่าพันธุ์ทั้งห้าในสภาเอกภาพเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงเผ่าพันธุ์อื่นๆ ทั้งที่เป็นตำนานอย่างเผ่าปีศาจหรือภูตพราย และที่มีมีอยู่จริงแต่ไม่ได้เข้าร่วมกับสภาอย่างพวกยักษ์น้ำแข็ง เงือก หรือมนุษย์ต้นไม้เจ้าขุนเขาและอีกหลากหลาย แต่ทั้งหมดสามารถใช้หินแห่งตัวตนได้ทั้งสิ้น
และความจริงแล้ว แม้แต่ระดับชีวิตในห่วงโซ่ที่ต่ำลงไปอย่างพวกสัตว์เองก็ยังสามารถเปลี่ยนแปลงและผูกจิตวิญญาณเข้ากับอัตตะศิลาได้เช่นกัน แม้ไม่ถึงระดับที่จะจำแนกเปลี่ยนสันฐานได้ก็ตาม
ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับฮอรัสนั้นมันไม่ใช่อะไรแบบนั้น อัตตะศิลาของเขาตอบสนองต่อตัวตนของฮอรัสอย่างชัดเจน รวมทั้งมันยังพัฒนาเปลี่ยนสันฐานของตัวเองขึ้นไปได้จนเฉียดเข้าใกล้ทับทิม ก่อนที่มันจะกลายเป็นก้อนหินสีดำดูคล้ายถ่าน
บ่งบอกว่าระดับในการดำรงอยู่ของเขาเหนือกว่าคนธรรมดาด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่จะเอาไปเทียบกับพวกสัตว์เลย ไหนจะยังมีเรื่องที่คู่ศิลาของเขาแตกสลายลงอีก เป็นสิ่งที่ผิดไปจากสิ่งที่ไอน์คาดเอาไว้ถึงสาเหตุของความผิดพลาด
และในระหว่างที่นักวิเคราะห์สาวกำลังง่วนอยู่กับการหาคำตอบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับอัตตะศิลาสีดำถ่านนั้นคืออะไร ฝ่ายครึ่งเอลฟ์ซึ่งไม่ได้มีหน้าทีอะไรในการหาคำตอบ ไม่ได้เป็นวินักวิเคราะห์ กำลังให้ความสนใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับคู่ศิลามากกว่าและนั่นทำให้ไอน์ต้องหยุดสิ่งที่ทำอยู่ชั่วคราวแล้วพับหน้าตำราของตัวเองลง
“ฮอรัส” เอเดลเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักหน่วงกว่าที่เคย ระหว่างที่จ้องหน้าเรียบเฉยของฮอรัส มองลึกเข้าไปในดวงตาสีนิลคู่นั้นเป็นการย้ำว่าสิ่งที่เธอกำลังจะพูดต่อนั้นจริงจังเพียงใด “นาย...คิดว่าตัวเองมีจิตวิญญาณรึเปล่า”
สิ้นเสียงคำถามนั้นบรรยากาศภายในห้องทำงานก็พลันเงียบงันอึดอัดลงในทันที
“...” ฮอรัสนิ่งเงียบใช้ใบหน้านิ่งเฉยไม่สะท้อนอารมณ์ใดๆ แทนคำตอบ เขาเพียงหยุดทุกอย่างตรงหน้าคล้ายกำลังครุ่นคิด แต่เป็นชั่วอึดใจนั้นเองที่เอเดลได้เห็นการแสดงออกที่คล้ายจะบ่งบอกว่าเขาเองก็มีความรู้สึก เมื่อหุ่นสงครามเลือกที่จะก้มหน้าลงมองอัตตะศิลาสีดำบนโต๊ะ ไม่ตอบคำถามและไม่สบตากับคู่สนทนา เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นฮอรัสทำอะไรแบบนี้
“คุณเอเดลคะ ถามแบบนั้นมันออกจะ..” ไอน์ที่ฟังทั้งสองคนอยู่แต่แรก ปิดหน้าตำราเพราะดูเหมือนคำตอบทั้งหมดนั้นไม่ได้อยู่ในตัวหนังสือ แต่อยู่ตรงนี้แล้วและคนที่หาคำตอบได้อาจจะเป็นเอเดล
“ฉันว่าถ้าแม่อยู่ตรงนี้ เธอคงจะตอบคำถามแทนนายไปแล้ว... แต่ฉันจะไม่ทำแบบนั้น ฉันอยากได้ยินจากปากนาย” เอเดลเกริ่นน้ำเสียงจริงจังออกไป ต่อให้อีกฝ่ายจะยังทำตัวเหมือนกำลังเหม่อลอยอยู่ แต่เธอรู้ว่าฮอรัสได้ยิน “นายคิดว่าตัวเองมีชีวิตมั้ย ฮอรัส”
เอเดลเน้นเสียงมากขึ้นระหว่างที่มองไปทางหุ่นสงคราม เป็นการยืนยันว่าเธอต้องการคำตอบจากปากของเขา
คำถามนี้สำหรับคนอื่นมันคงชวนให้งงและฟังดูตลก แต่จากอาการของฮอรัสแล้ว มันไม่ใช่คำถามที่งงงวยหรือน่าขบขันเลยแม้แต่น้อย ส่วนไอน์ที่สังเกตเหตุการณ์อยู่ใกล้ๆ ก็ได้แต่นิ่งเงียบ ไม่คิดว่าแค่คำถามที่ฟังดูไม่สมเหตุสมผลแบบนี้จะทำให้เธอรู้สึกกดดันไปด้วย
เพราะถึงเธออาจจะไม่ได้สนิทกับฮอรัสเทียบเท่าเอลีอาหรือเอเดล ที่สามารถสื่อสารกับฮอรัสได้อย่างเป็นธรรมชาติ แต่เธอก็พอจะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับตัวตนและอดีตของฮอรัสอยู่บ้างจากสิ่งที่เจ้าตัวและเอลีอาบอกเล่าให้ฟัง
โดยเฉพาะเมื่อสายเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในตัวเธอ คือสายเลือดของศิลปินและช่างทำอาวุธ สัญชาติญาณเหล่านั้นทำให้เธอมองเห็นความงดงามทางศิลปะบนเรื่อนร่างที่ถูกปั้นแต่งมาอย่างดีของหุ่นสงครามมากพอๆ กับมองเห็นชีวิต เธอจึงเข้าใจว่าคำถามนี้สำคัญยังไง
“อัตตะศิลาคือกระจกสะท้อนคุณค่าของตัวตน ส่วนคู่ศิลาคือกระจกสะท้อนชีวิต... มีแต่คนตายเท่านั้นแหละที่จะทำให้คู่ศิลาแตกสลายได้แบบนี้” เอเดลเน้นประโยคพูดต่อ เป็นการย้ำว่าเธอยังรอคำตอบอยู่และสิ่งที่ได้กลับมายังคงเป็นความเงียบงัน
จนกระทั้งไม่กี่อึดใจต่อมา ฮอรัสจึงเงยหน้ามองเธอ ถึงแม้จะเรียบเฉยปกติ แต่คราวนี้ทั้งเธอและไอน์ต่างก็รู้สึกถึงความผิดปกติแบบเดียวกันบนใบหน้านั้น ราวกับมันกำลังแสดงออกถึงความรู้สึกที่พวกเธอไม่เคยรู้ว่าเลยว่าฮอรัสจะมีอยู่ มันอาจเป็นเพียงสิ่งที่พวกเธอรู้สึกไปเองก็ได้แต่ทั้งคู่ล้วนแต่สัมผัสได้ถึงความโสกาซึ่งซุ่มซ่อนบางเบาอยู่ในใบหน้าและน้ำเสียงยามที่เขาเอ่ยปากออกมา
“ถ้าผมรู้ว่าการมีชีวิตคืออะไร ผมอาจเข้าใจคำถามมากกว่านี้” ฮอรัสกล่าวออกมาน้ำเสียงเย็นเยียบ ไร้อารมณ์ไร้ความรู้สึกพร้อมดวงตาสีนิลที่มองประสานไปยังเอเดลเป็นการยืนยันว่าเขาไม่อาจตอบถามนั้นได้ ก่อนจะเริ่มว่าต่อ “สิ่งที่ผมรู้เกี่ยวกับชีวิตคือมันอยู่ตรงข้ามกับความตาย มันคือภารกิจ มันคือคำสัญญา... ผมสัญญากับผู้สร้างไว้แล้วว่าจะมีชีวิต”
เมื่อสิ้นประยคสุดท้ายของฮอรัส ความวิเวกก็เข้าปกคลุมบรรยากาศอีกครั้ง แต่ต่างคนต่างก็รู้สึกต่างกันไป ไอน์ไม่เข้าใจเลยว่าความหมายที่ฮอรัสพูดออกมามันคืออะไรกันแน่ ผิดกับเอเดลที่พอได้ยินเช่นนั้นก็นึกออกทันที
“คำสัญญา... จริงสิ ตอนนั้นนายก็พูดแบบนี้นี่นา” เอเดลเกริ่นขึ้นมาเบาๆ นึกถึงเหตุการณ์การต่อสู้กันอย่างเอาเป็นอาตายแทบจะแลกชีวิตระหว่างฮอรัสกับปีศาจแห่งเทม
ครั้งนั้นเธออยู่ในเหตุการณ์ได้เห็นภาพชัดกว่าใครและได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน สถานการณ์ของการต่อสู้เปลี่ยนไปทันทีที่ฮอรัสพูดถึงคำสัญญาที่ว่านั่น แต่มันไม่ได้ตอบคำถามของเธอ
“ถ้าเป็นแม่ มีหวังคงจะพูดอะไรประมาณว่า ชีวิตไม่ได้เป็นขั้วตรงข้ามกับความตายเสมอไปหรอกนะจ๊ะฮอรัส มันยังบลาๆๆ อะไรราวๆ นี้ล่ะมั้ง” เอเดลทำเสียงล้อเลียนแม่ของตัวเองออกมา เหมือนซะจนไอน์ยังเกือบจะหลุดคำ ก่อนที่สุดท้ายจะเปลี่ยนบรรยากาศกลับไปหนักหน่วงเหมือนเก่า “แต่ฉันไม่ใช่แม่ ฉันไม่คิดอะไรยุ่งยากเป็นนามธรรมขนาดนั้น... ฉันจะถามอีกทีนะฮอรัส นายคิดว่าตัวเองมีชีวิตมั้ย”
เอเดลจ้องเข้าไปในดวงตาสีนิลคาดหวังกับคำตอบของที่อีกฝ่ายจะเปิดปากพูดออกมา เพราะไม่ว่าคำตอบนั้นคืออะไรแต่มันคงไม่ใช่แค่ว่า ‘มี’ หรือ ‘ไม่มี’
“ผมไม่รู้... แต่ผมจะหาคำตอบ” เป็นไปอย่างที่เอเดลคิด ฮอรัสเลือกที่จะตอบตามสิ่งที่เขาเข้าใจเท่านั้น และคำตอบที่เขาว่ามา ความจริงไม่ได้สลักสำคัญเท่ากับสิ่งที่เธอรู้สึกได้จากประโยคดังกล่าว
เธอไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาหรือเป็นนักปรัชญาอะไร แต่สิ่งที่เธอรับรู้ได้ในตอนที่เขาพูดนั้น มันเต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิต แม้จะเรียบเฉยเย็นชา แต่ก็มีชีวิต ไม่ใช่ตุ๊กตาที่เพียงแค่ตอบคำถามหรือทำตามคำสั่งที่สร้างและยัดเยียดเอาไว้ในหัว
ก่อนที่เธอจะทำปากแบะเล็กๆ แล้วพยักหน้าคลอนศีรษะดูตลกมากกว่าจริงจัง เป็นท่าทางตอบรับแบบที่เธอคงไม่ใช้กับคนอื่นแน่ถ้าไม่สนิทกันจนมีพื้นที่ปลอดภัยร่วมกัน ซึ่งในที่นี้คือเพื่อนตั้งแต่สมัยเด็กอย่างไอน์ และอีกคนที่เพิ่งจะเพิ่มเข้ามาในพื้นที่ปลอดภัยของเธอคือฮอรัส
เช่นกันกับนักวิเคราะห์สาว เมื่อได้ยินคำตอบของฮอรัสเช่นนั้นก็เลิกคิ้ว ยิ้มออกมาแล้วกล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงนุมนวลเป็นปรัชญาแบบที่เคยอ่านผ่านตา
“บางคนก็มีชีวิตอยู่เพื่อหาคำตอบของคำถามข้อนี้แหละค่ะ... มีชีวิตอยู่เพื่อเข้าใจความหมายของชีวิต เพราะงั้นบางที...” ทว่ายังจะได้พูดถึงความหมายของมันต่อ เสียงแก่นแต่ละมุนแบบครึ่งเอลฟ์ก็ดังขึ้นแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“เพราะงั้นบางทีเราน่าจะมาลองทดสอบอัตตะศิลากันอีกรอบ” เอเดลรีบแทรกขึ้นมาอย่างรวดเร็วก่อนที่จะอีกฝ่ายจะพาออกทะเลไปมากกว่านี้ ก่อนจะหันไปมองตานักวิเคราะห์สาวแล้วพูดแกมกระซิบออกไปไม่ได้ใส่จริงจังว่าฮอรัสจะได้ยินหรือไม่ “อย่าไปยัดเยียดปรัชญาใส่หัวหมอนี่เลยนะขอล่ะ แค่นี้ก็เข้าใจยากกันอยู่แล้ว”
ไอน์พอได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มพลางพ่นลมหายใจออกมา ก่อนจะเก็บตำราทั้งหมดกลับที่เดิม ยกเว้นเล่มที่บุปกด้วยหนังสีน้ำตาลดูเก่าแก่กว่าเล่มอื่นๆ ที่เธอเอามันเดินถือมาด้วย “งั้นมาลองกันอีกรอบนะคะ”
นักวิเคราะห์สาวไม่รอช้าเดินมาถึงโต๊ะก็จัดการวางตำราลงแล้วหยิบอัตตะศิลาสีถ่านขึ้นมาสำรวจครู่หนึ่งก่อนจะขอให้ฮอรัสยื่นมือออกมาอีกครั้ง “คุณฮอรัสต้องบีบมันให้แตกค่ะ คนเราถือครองอัตตะศิลาได้แค่ชิ้นเดียว”
ฮอรัสได้ยินเช่นนั้นก็ทำตามอย่างว่าง่าย เขาบีบอัตตะศิลาสีถ่านจนแตกละเอียดเป็นผงโดยใช้เพียงแค่นิ้วสองนิ้วอย่างง่ายดายเหมือนมันเป็นแค่ก้อนถ่านจริงๆ ทั้งที่มันอาจจะแข็งพอๆ กับไพลิน ซึ่งเอเดลนั้นยังไม่รู้ว่าคุณสมบัติหรือคุณค่าของหินสีดำที่ถูกบดขยี้ไปนั้นคืออะไร ก็ตัดสินเอาจากสิ่งที่เห็น คิดว่ามันคงจะเปราะไม่ต่างอะไรกับถ่านจริงๆ ทั้งที่ต่างกันสุดขั่ว
เมื่อไม่มีอัตตะศิลาอันเดิมอีกแล้ว ไอน์จึงใช้ถุงมือหยิบฐานอัตตะศิลาสีดำและคู่ศิลาสีขาวชิ้นใหม่ ขึ้นมาวางบนฝ่ามือของฮอรัสอีกครั้งทำเหมือนขั้นตอนเดิมทุกประการ
และเช่นกันกระบวนการต่างๆ ที่เกินขึ้นเองก็เหมือนเดินกับก่อนหน้านี้ทุกประการเช่นกัน มันค่อยๆ เรื่องแสงระเรื่อสีม่วงเชื่อมเป็นสัญญาณการจับคู่ระหว่างหินทั้งสองและจิตวิญญาณการมีอยู่ของฮอรัส พร้อมๆ กับที่ฐานอัตตะศิลาเริ่มแปรสันฐานของตัวเองไปเรื่อยๆ จากระดับหินไปสู่ระดับอัญมณี แล้วค่อยๆ เปลี่ยนจากมรกตกลายสีเขียวกลายเป็นไพลินสีน้ำเงิน ก่อนที่มันจะเริ่มเกิดการสั่นไหวขึ้นอีกครั้งเหมือนกับก่อนหน้านี้ที่เกิดขึ้น
แล้วในที่สุดอัตตะศิลาระดับไพลินก็พลันหดตัวอย่างฉับพลันแปรสภาพกลับกลายเป็นสีดำเข้มอีกครั้งสร้างความผิดหวังให้กับครึ่งเอลฟ์สาวจนเธอเผลอถอนหายใจออกมาอย่างเสียดาย แต่ก็ไม่ใช้ว่ามันจะเหมือนเดิมไปซะทั้งหมด เพราะคราวนี้คู่ศิลานั้นไม่ได้แตกสลายอีกแล้วบ่งบอกถึงความสำเร็จในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของฮอรัส
เมื่อจิตวิญญาณขาดการตั้งมั่น มันจึงสูญเสียการคงอยู่ไปเช่นกัน แต่เมื่อฮอรัสมีรากฐานของชีวิตขึ้นมาแล้วมันจึงส่งผลให้จิตวิญญาณของเขามีตัวตนขึ้นมา อย่างน้อยที่สุดก็ในความคิดของครึ่งเอลฟ์สาวที่พยายามจะเชื่อว่าฮอรัสนั้นมีชีวิต
“มันไม่ได้ผล... อัตตะศิลาของผมยังเป็นสีดำ”
“อ่า.. อันที่จริงมันอาจจะได้ผล.. เพราะคู่ศิลาก็ไม่ได้แตกสลายแล้วด้วย ส่วนอัตตะศิลาที่กลายเป็นสีดำเรื่องนี้ฉันคงบอกอะไรไม่ได้ แต่มันมีความเป็นไปได้อยู่นะคะที่ไพลินจะมีสีเข้มมากจนมองเป็นสีดำได้เหมือนกัน ไม่ถือว่าผิดปกติอะไร” ไอน์อธิบายด้วยน้ำเสียงผิดวิสัย คล้ายกำลังพยายามปกปิดกลบเกลื่อนบางอย่างเอาไว้ “ยังไงก็ตาม ยินดีด้วยค่ะคุณฮอรัส ในฐานะหัวหน้านักวิเคาะห์ ยินดีต้อนรับเข้าสู่เทรียลอย่างเป็นทางการค่ะ ต่อจากนี้ยังไงฉันก็คงต้องขอฝากตัวด้วยนะคะ”
ไอน์ก้มศีรษะเป็นการต้อนรับฮอรัสเข้ามาเป็นนักผจญภัยสังกัดเทรียลอย่างเป็นทางการ ก่อนจะเชิญให้ทั้งสองคนออกนอกห้องไปก่อนเพื่อขอตัวสะสางกับธุระรวมทั้งเตรียมตัวสำหรับพิธีมอบอัตตะศิลาของนักผจญภัยฝึกหัด
แต่เป็นตอนนั้นเองที่เอเดล สังเกตุเห็นสีหน้าที่ไม่สู่ดีของไอน์ตอนที่เธอแอบส่ายหน้าเบาๆ พลางกำคู่ศิลาของฮอรัสเอาไว้แน่นไม่ยอมให้ใครเห็นว่าในมือของเธอตอนนี้จริงๆ มันมีแต่เศษผง เป็นสัญญาณให้อ่านออกได้ไม่ยากว่ามันไม่มีอะไรได้ผลทั้งนั้น นักวิเคราะห์สาวเพียงแค่ตัดปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน