บทที่ 16 พลังของม่วง (4)
บทที่ 16 พลังของม่วง (4)
“ข้าไม่รู้เหมือนกันว่าอมนุษย์เกิดขึ้นมาได้ยังไง เรียกได้ว่าพวกมันเป็นมนุษย์ผสมสัตว์ บางตัวถึงกับเป็นสัตว์แท้ๆ ในทวีปลองกินุสอมนุษย์คือเผ่าพันธุ์ที่ใกล้เคียงสัตว์เวทที่สุด พวกมันรบเก่งตั้งแต่เกิด และมีพลังแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าไม่ถนัดเวทมนตร์ และถูกมนุษย์สามจักรวรรดิใหญ่ทางเหนือปราบปรามอยู่ตลอด เกรงว่าพวกมันคงบุกมาถึงดินแดนตอนในของมนุษย์ไปนานแล้ว แต่ตอนนี้ก็ทำได้แค่อาศัยอยู่ในถิ่นกันดารหนาวเหน็บของทุ่งราบตอนเหนือสุด เนื่องจากสามจักรวรรดิใหญ่ของมนุษย์ทางเหนือที่ติดกับทุ่งราบตอนเหนือสุดเข้มแข็งเกรียงไกร จึงไม่เกิดสงครามมานานหลายสิบปี เผ่าพันธุ์อมนุษย์เลยทำได้แค่เอาผลผลิตจากทุ่งราบตอนเหนือสุดมาแลกกับอาหารและของใช้ประจำวันจากมนุษย์ นึกไม่ถึงว่าพวกมันกลับลงมาถึงเบอร์บอนที่ค่อนมาทางใต้ได้” พอพูดถึงตรงนี้ม่วงก็ทำท่าทางครุ่นคิด
สำหรับอินจู๋แล้ว อมนุษย์ย่อมเป็นของแปลกใหม่อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ก่อนเขาไม่เคยเห็นเผ่าพันธุ์แบบนี้ จึงอดมองอีกหลายครั้งด้วยความอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ และในตอนนี้เองที่สายตาของมนุษย์สิงโตคนนั้นกำลังเพ่งเล็งมาพอดี กวาดผ่านอินจู๋ไปจดจ่ออยู่ที่ม่วง ชั่วพริบตาที่เขามองเห็นม่วง ขนสีทองบนหัวพลันแผ่กางทันที แววตาดุดันวาวโรจน์ ย่างก้าวใหญ่เดินมาทางม่วงกับอินจู๋ พลังยุทธ์สีเขียวอ่อนไหลเวียนอยู่ในขนสีทองบนตัวเขา เพียงแต่รัศมีของพลังยุทธ์อ่อนมาก หากไม่มองให้ดีๆ ก็ไม่มีทางแยกออก มีแต่นักเวทที่ฝึกฝนพลังจิตอย่างอินจู๋เท่านั้นถึงจะสัมผัสได้โดยง่าย
ม่วงเงยหน้าขวับขึ้นสบสายตากับมนุษย์สิงโตคนนั้น ฝีเท้าของมนุษย์สิงโตหยุดชะงักพลางมองนัยน์ตาเย็นชาของม่วง ก่อนเขาจะพยักหน้าช้าๆ แล้วหันหลังกลับไปหากลุ่มของตัวเองทันที
อินจู๋ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพียงแค่มองม่วง แล้วมองมนุษย์สิงโตคนนั้น ม่วงถอนหายใจก่อนก้มหน้าพูดกับอินจู๋ว่า “ขอโทษที อินจู๋ ข้าเกรงว่าจะไปมิลานเป็นเพื่อนเจ้าไม่ได้แล้ว”
“อ้าว?” อินจู๋ตกใจใหญ่ “ม่วง ทำไมล่ะ? เจ้าเคยบอกไม่ใช่เหรอว่า...”
ม่วงยกมือขึ้นจับบ่าของอินจู๋ ยิ้มเจื่อนแล้วกล่าวว่า “ขอโทษที ข้าเคยรับปากว่าจะไปเป็นเพื่อนเจ้า แต่ตอนนี้ข้ามีธุระนิดหน่อย จำเป็นต้องไปจัดการสักหน่อย แผนที่เจ้าเก็บไว้ให้ดี ถ้าเจ้าไปตามที่แผนที่บอกตลอดทาง เจ้าก็จะไปถึงโรงเรียนอัศวินเวทมนตร์มิลานได้ ถ้าไม่รู้จักทางเจ้าก็หาคนถาม ไว้รอข้าจัดการธุระเสร็จจะไปหาเจ้าที่โรงเรียน”
อินจู๋รับแผนที่ที่ม่วงยื่นมาให้ ชั่วครู่หนึ่ง ความรู้สึกหดหู่เอ่อล้นขึ้นมาในใจ สิบปีแล้วที่เขาไม่เคยแยกจากม่วงเลย ตอนนี้จู่ๆ ม่วงก็พูดว่าจะไป และสายตาของเขายังแน่วแน่อย่างนี้ ทำให้อินจู๋รู้สึกเสียใจอย่างบอกไม่ถูกไปชั่วขณะ เขารู้สึกเพียงว่าหัวใจของตัวเองว่างเปล่า ราวกับสูญเสียของสำคัญที่สุดบางอย่างไป
“ม่วง ดูเหมือนเจ้าจะมีความลับเยอะแยะ แต่ไม่อยากบอกข้า ถ้าเจ้าต้องการความช่วยเหลือจากข้าก็บอกข้าตกลงไหม? ข้าคือพี่น้องของเจ้านะ!” อินจู๋กล่าวอย่างร้อนรนเล็กน้อย
“พี่น้อง” เปลวเพลิงร้อนระอุสองลูกลุกโชนในดวงตาลึกล้ำของม่วง ก่อนออกแรงตบบ่าอินจู๋ทีหนึ่ง “ถูกต้อง พวกเราคือพี่น้องกัน อินจู๋ เจ้าไปโรงเรียนอัศวินเวทมนตร์ก่อน ข้าจะไม่เสียเวลานานนัก จะต้องไปหาเจ้าที่นั่นให้ได้ นี่คือสัญญาระหว่างข้ากับเจ้า เจ้าจำไว้ว่าระหว่างทางอย่าเชื่อใจคนอื่นไปทั่ว ขณะเดียวกันก็ต้องพยายามปิดบังความสามารถของเจ้าให้ดี อย่าให้คนนอกรู้ความสามารถที่แท้จริงว่าเจ้าอยู่ระดับไหนเด็ดขาด ต้องทำอย่างนี้ถึงจะปกป้องตัวเจ้าเองได้ดีที่สุด เจ้าเข้าใจไหม? สิ่งนี้ให้เจ้า เวลาเจ้าต้องการทำเรื่องอะไรที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้ก็ใส่มันไว้ แล้วก็...เมื่อกี้พวกเราปะทะกับอัศวินเกราะหนักของเบอร์บอนระหว่างทาง เพื่อหลีกเลี่ยงความเดือดร้อน เจ้ารีบออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเถอะ” ระหว่างที่พูดม่วงก็ล้วงเอาของสิ่งหนึ่งออกมาจากอกตัวเองแล้วยัดใส่มืออินจู๋ ก่อนหายลับไปทางเดียวกับมนุษย์สิงโตก่อนหน้านี้โดยไม่หันหลังกลับมา
จนกระทั่งแผ่นหลังของม่วงหายลับไปโดยสิ้นเชิง อินจู๋จึงค่อยถอนสายตาตัวเองกลับมา แม้ถนนของเมืองลัวร์จะคึกคักมาก แต่ในใจเขากลับรู้สึกเหงาหงอย ถึงขั้นรู้สึกโดดเดี่ยวและสิ้นหวังเล็กน้อย ตอนนี้ เขาเหลืออยู่ตัวคนเดียวแล้ว
ก้มหน้ามองสิ่งสุดท้ายที่ม่วงให้กับเขา เห็นแต่เพียงหน้ากากที่ไม่รู้ว่าใช้วัสดุอะไรทำอันหนึ่ง ลูบคลำดูแล้วนุ่มสบายอย่างยิ่ง อินจู๋สอดเข้าไปในอกอย่างระมัดระวังก่อนพูดกับตัวเองในใจ ม่วง เจ้าต้องมาหาข้าเร็วๆ หน่อยนะ! ตอนนี้ทำได้แค่พึ่งตัวเองจริงๆ ไปซื้อวิลเดอร์บีสต์สักตัวก่อนแล้วกัน จากนั้นค่อยรีบไปรอม่วงที่โรงเรียนอัศวินเวทมนตร์มิลานให้เร็วที่สุด
พอคิดถึงตรงนี้ความหดหู่ในใจของอินจู๋ก็ค่อยๆ จางหายไป หลังจากหาใครสักคนบนถนนมาถามดูก็ได้รู้ว่าวิลเดอร์บีสต์มีขายอยู่ที่ตลาดทาสใกล้กับประตูทิศเหนือ จึงเดินไปทางนั้นด้วยความตื่นเต้น ม่วงเคยบอกเขาว่าในทวีปนี้เหรียญทองเป็นเงินตราที่ทุกประเทศใช้กันทั่วไป หนึ่งเหรียญทองเท่ากับหนึ่งร้อยเหรียญเงิน โดยทั่วไปแล้ว เงินตราที่ผู้คนใช้จะยึดเหรียญเงินเป็นหลัก ค่าใช้จ่ายในหนึ่งเดือนของครอบครัวหนึ่งแค่สิบกว่าเหรียญเงินเท่านั้น ซื้อวิลเดอร์บีสต์หนึ่งตัว ต้องการแค่ไม่กี่เหรียญทองก็เพียงพอแล้ว
ในทวีปลองกินุส เมืองของมนุษย์แทบจะทุกเมืองล้วนมีตลาดทาส นี่คือสิ่งที่ขาดไม่ได้ ระบบชนชั้นเข้มงวดกวดขันอย่างยิ่ง และตลาดทาสคือสถานที่ค้าขายทาสซึ่งเป็นชนชั้นต่ำสุดในหมู่มวลมนุษย์ ขณะที่ทวีปพัฒนาก้าวหน้าไป กิจการตลาดทาสในตอนนี้ได้ขยายขอบเขตไปถึงการค้าขายทาสและสัตว์เวททุกเผ่าพันธุ์บนทวีป แน่นอนว่าระดับของสัตว์เวทที่ค้าขายโดยทั่วไปล้วนต่ำมาก ไม่เกินกว่าขั้นสาม
ในทวีปลองกินุส สัตว์เวทแบ่งเป็นสิบขั้น ขั้นสามลงไปรวมสามขั้นเป็นสัตว์เวทระดับต่ำ ขั้นสี่ถึงหกคือสัตว์เวทระดับสูง สัตว์เวทที่สูงกว่าระดับหกเรียกว่าสัตว์เวททรงภูมิปัญญา สัตว์เวทระดับต่ำโดยทั่วไปมีนิสัยเชื่อง แม้ว่าอารมณ์ฉุนเฉียว พลังทำลายล้างก็ยังไม่สูงนัก แต่พอขึ้นมาถึงสัตว์เวทระดับสูงจะน่าหวาดกลัวขึ้นมาก สำหรับสัตว์เวททรงภูมิปัญญาขั้นเจ็ดถึงสิบยิ่งเป็นการดำรงอยู่ที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด สัตว์เวทขั้นสิบเรียกอีกอย่างว่าอสูรเทพ มีอยู่เพียงในตำนานเท่านั้น
ในบรรดาสัตว์เวท เป็นที่รู้กันว่าสองเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุดได้แก่เผ่าพันธุ์เบเฮโมทในทุ่งราบตอนเหนือสุดและเผ่าพันธุ์มังกรที่อาศัยอยู่ในเมืองมังกรซึ่งเป็นสถานที่ลึกลับในแปดประเทศของมนุษย์ จำนวนเผ่าพันธุ์มังกรและเผ่าพันธุ์เบเฮโมทแท้มีเพียงน้อยนิด ถึงกับเมื่อดูจากประวัติศาสตร์ของทวีปก็ไม่เคยมีจำนวนเกินสี่หลัก แต่ความสามารถกลับแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ขอเพียงเป็นมังกรหรือเบเฮโมทแท้ แม้ความสามารถจะด้อยที่สุดก็ยังอยู่ขั้นเจ็ดขึ้นไป
ทว่าเผ่าพันธุ์มังกรยังมีข้อได้เปรียบที่เบเฮโมทไม่มี นั่นก็คือพวกมันมีสายพันธุ์ใกล้เคียงเยอะมาก ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากกับความกำหนัดโดยธรรมชาติของมังกร ผ่านการแพร่พันธุ์เป็นพันเป็นหมื่นปี ตอนนี้แม้จำนวนมังกรพันธุ์มังกรแท้จะยังน้อยนิดถึงเพียงนั้น แต่จำนวนมังกรสายพันธุ์รองแต่ละพันธุ์กลับมีมากมาย บางสายพันธุ์ในนั้นถูกมนุษย์เลี้ยงฝึกให้เชื่องได้สำเร็จ กลายเป็นมังกรเลี้ยงแต่ละสายพันธุ์ แม้พวกมันไม่อาจเทียบกับเผ่าพันธุ์มังกรแท้ได้ แต่ก็มีสายเลือดมังกรที่ทำให้มังกรเลี้ยงตัวที่ด้อยที่สุดยังมีความสามารถขั้นสามขึ้นไป ตัวที่แกร่งที่สุดถึงขั้นสามารถเทียบชั้นกับมังกรแท้ได้ เพราะการมีอยู่ของมังกรเลี้ยงเหล่านี้ทำให้มนุษย์ในแต่ละประเทศมีศักยภาพที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งนั่นเอง จึงปราบปรามอมนุษย์ในทุ่งราบตอนเหนือสุดไม่ให้ฝ่าทะลวงออกมาจากสถานที่กันดารหนาวเหน็บนั้นได้ แน่นอนว่ามนุษย์ก็จะไม่บุกรุกโลกที่มนุษย์ไม่อาจอยู่รอดได้นั้นเช่นเดียวกัน
“ข้าช่างน่าเวทนา! สามขวบแม่เสีย สิบขวบถูกพ่อทิ้ง คุณผู้ชาย คุณผู้หญิงทั้งหลาย สงสารข้าด้วยเถิด บริจาคเหรียญทองสักสองสามเหรียญให้ข้ากินข้าวสักคำด้วยเถิด”
ไม่ง่ายเลยกว่าอินจู๋จะหาทางเข้าตลาดทาสเจอ พอมาถึงที่นี่ เขาก็เห็นขอทานน้อยคนหนึ่งกำลังนั่งร้องไห้โฮอยู่หน้าประตูตลาดทาส ขอทานน้อยรูปร่างซูบผอม ทั้งเนื้อทั้งตัวสกปรกมอมแมม ผมยุ่งหน้าดำ คราบสกปรกสีเทาดำบดบังใบหน้าของเขาจนมิด เสื้อผ้าบนตัวนอกจากเป็นรูก็เป็นเศษผ้าฉีกขาด ข้างหน้าวางชามแตกร้าวเอาไว้ใบหนึ่ง กำลังอ้อนวอนคนเดินถนนที่ผ่านไปมาพลางแหกปากร้องไห้ดังลั่นอยู่ตรงนั้น
……………………………………….