ตอนที่ 32 Level 7
ตอนที่ 32 Level 7
หน้าประตูทางเข้าศูนย์วิจัยพลังวิญญาณ เคนเซย์กับเฟย์นะที่เพิ่งเดินทางมาถึงหยุดชะงักเมื่อพบว่าหัวหน้าหน่วย K-1กับ K-2 ยืนรออยู่ตรงนั้นแล้ว เป็นข้อตกลงกันตั้งแต่การสอบปากคำคราวก่อนแล้วว่า ในวันที่เฟย์นะมาตรวจสอบพลังจะมีผู้มาร่วมสังเกตการณ์ด้วย
หลังจบการทักทายสั้นๆ ทั้งสี่ก็เดินเข้าไปด้านใน ขณะที่หัวหน้าหน่วย K-1 ชวนคุยไปด้วย
“เรียกอาวุธได้รึยัง”
เฟย์นะอึกอักเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไป
“ยังเลยค่ะ”
“การไม่ได้ปะทุพลังแบบธรรมชาติมันไม่ใช่เรื่องง่ายนะครับ อย่ากดดันกันแบบนี้สิ”
เคนเซย์พูดเสริมขึ้นมาช่วยหญิงสาวข้างตัว
“กดดันอะไรกัน ฉันก็แค่ถามเฉยๆ เรื่องนั้นรู้ดีอยู่แล้วน่า”
“ว่าแต่พรุ่งนี้ก็ถึงงานแต่งงานแล้วสิ อันที่จริงกองปราบก็ใจร้ายไปนะที่ให้มาศูนย์วิจัยวันนี้ รอให้เสร็จหลังงานแต่งงานก่อนก็ได้”
คำพูดหัวหน้าหน่วย K-2 ทำเอาวงสนทนาเงียบกริบ เจ้าตัวเองก็เหมือนจะรู้ตัวแล้วว่าเผลอพูดในเรื่องที่ไม่ควรพูดออกมา จนท้ายเคนเซย์จึงตัดจบแค่ว่า
“ถึงจะไม่ได้จัดใหญ่โตอะไรแต่ก็อย่าลืมมาให้ได้นะครับ”
สภาพส่วนหน้าของศูนย์วิจัยพลังวิญญาณก็เหมือนกับออฟฟิศทั่วไป ทั้งสี่เดินผ่านจุดนั้นไปตรงเข้าไปส่วนที่ลึกกว่าในทันที แต่ยิ่งเดินเข้าไปไกลแค่ไหนเฟย์นะก็ยิ่งได้เห็นสิ่งแปลกตามากขึ้นเรื่อยๆ
“ส่วนหน้าของที่นี่เป็นออฟฟิศบริหารทั่วไปน่ะ เดินเข้าไปด้านหลังก็จะเจอแผนกวิจัยที่แบ่งออกเป็นสองแผนกใหญ่ คือแผนกวิจัยอุปกรณ์ กับแผนกวิจัยพลังวิญญาณ ที่จริงถ้าเข้าประตูอีกด้านจะมีแผนกอบรมที่อยู่ติดกัน ธาวินเองก็กำลังไปยืมห้องที่นั่นเพื่อเรียนรู้การใช้พลังนักสะกดวิญญาณ”
เคนเซย์อธิบายเกี่ยวกับที่แห่งนี้คร่าวๆ ให้ผู้ที่เพิ่งมาเคยมาได้ฟัง ซึ่งเฟย์นะเพียงพยักหน้ารับหรืออย่างมากก็ตอบ “อืม” เท่านั้นเอง
ตั้งแต่ทิมจากไปแล้วจริงๆ และเฟย์นะรับปากแต่งงานเข้าตระกูล ว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวก็ไม่เคยได้พูดคุยอะไรกันเลยหากไม่ใช่ธุระสำคัญจำเป็นที่จะต้องสื่อสารกัน หญิงสาวคงไม่ใช่ฝ่ายที่จะเริ่มคุยก่อนอยู่แล้ว เคนเซย์เองก็ไม่ได้ฝืนบังคับหรือพยายามตอแยอะไรเธอเลยแม้แต่น้อย
ในที่สุดทุกคนก็เดินมาถึงยังที่หมาย เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็มีชายวัยกลางคนในชุดเสื้อกาวน์สีขาวตัวยาวกำลังรออยู่ในห้อง พร้อมกับผู้ช่วยซึ่งเป็นหญิงสาวร่างอวบอีกคน
“มากันแล้วซะที เริ่มกันเลยมั้ย”
เจ้าของห้องวิจัยกล่าวต้อนรับด้วยการชวนเริ่มต้นทำงานอย่างไม่ให้เสียเวลา
“ใจเย็นๆ สิครับคุณลูเธอร์ รีบตลอดเลยนะ”
หัวหน้าหน่วย K-2 พูดขึ้น แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้รับความสนใจ ลูเธอร์เดินมาหยุดตรงหน้าเฟย์นะ ก่อนจะขยับแว่นตาก้มหน้าลงจ้องใกล้ๆ จนหญิงสาวสะดุ้งตกใจจนก้าวถอยหลังไปเล้กน้อย
“จ้องอะไรขนาดนั้นครับ”
เสียงเรียบนิ่งของเคนเซย์ออกอาการไม่พอใจอย่างชัดเจน
“ก็แค่อยากเห็นหน้าชัดๆ เห็นว่ามีพลังประหลาดขนาดนั้นเลยสงสัยว่ามีอะไรอย่างอื่นที่ประหลาดอีกมั้ย มานอนตรงนี้สิ”
ลูเธอร์ถอยออกไปโดยไม่ได้สนใจว่าใครจะทำหน้าหรือรู้สึกอะไร ชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนคุณลุงหน้าดุ เดินไปยังสิ่งที่คล้ายกับเครื่องซีทีสแกนขนาดใหญ่ที่เหมือนต้องส่งคนเข้าไปทั้งตัว
หัวหน้าหน่วยทั้งสองที่ติดตามมาได้แต่ถอนใจ ก่อนจะเดินไปหาเก้าอี้นั่งรอตามที่หาได้ในห้องนั้น
เฟย์มองแท่นนอนหน้าเครื่องตรวจแล้วกังวลขึ้นมาแปลกๆ รู้สึกเหมือนจะถูกจับทดลองอะไรสักอย่างที่น่ากลัวแบบพวกในภาพยนตร์ที่ดูมา จนเคนเซย์เดินไปข้างหน้าเป็นเพื่อนส่งถึงหน้าแท่นนอนนั่นแหละ หญิงสาวถึงได้เหยียดตัวนอนหงายลงตรงนั้นเสียที
“ก่อนอื่นขอทบทวนที่มาของพลังนี้ก่อน ก่อนหน้านี้คุณมีพลังอีกแบบแต่ตอนนี้เพราะพิธีชำระวิญญาณพลังในร่างกายถึงเปลี่ยนรูปแบบจากเดิมไปแล้วใช่มั้ย”
ลูเธอร์เอ่ยขึ้นขณะที่สวมอะไรบางอย่างคล้ายกับหมวกกันน็อกให้กับเฟย์นะ สาวร่างอวบผู้ช่วยเริ่มติดบางอย่างที่แขนกับขาคล้ายกับเครื่องวัดชีพจร
“เอ่อ...น่าจะอย่างนั้นนะคะ”
เฟย์นะตอบในขณะที่พยายามสำรวจซ้ายขวาว่าตัวเองถูกทำอะไรไปบ้าง
“เสียดายจริง แต่ก็เอาเถอะ งั้นสายพลังในตัวคุณคงเป็นสายสลายพลังวิญญาณเหมือนพวกบ้านยูคิฮารุแล้ว ก่อนอื่นขอวัดค่าพลังก่อนละกัน”
เมื่อเตรียมการเสร็จอย่างว่องไว แท่นนอนนั้นก็เคลื่อนตัวเข้าไปภายในเครื่องสแกนทันทีจนแทบไม่ทันได้ตั้งตัว
เคนเซย์ยืนกอดอกถอนใจอยู่ตรงนั้น เขาเองก็ไม่ค่อยชอบมาที่นี่เท่าไรนัก อันที่จริงคุณลูเธอร์ก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรหรอก เพียงแต่ท่าทางไม่เป็นมิตรกับใครเลยนั่นแหละที่เห็นทีไรแล้วหงุดหงิดทุกที
“พลังของเธอเป็นยังไงบ้าง เกราะพลังแตกออกตอนทำพิธีนั่นสินะ ออร่าพลังถึงได้แรงแบบนี้”
ลูเธอร์ที่ยืนรออยู่ด้านข้างกันถามเคนเซย์ขึ้น
“คงจะอย่างนั้นครับ แต่ก็คงถึงจังหวะพอดีแล้วเหมือนกัน เพราะดูเหมือนที่หน่วยผมก็มีงานใหญ่รอให้ต้องใช้พลังพวกนี้พอดี”
เมื่อได้คำตอบที่ต้องการเสร็จสรรพ คำถามก็ถูกเปลี่ยนเรื่องในทันที
“พ่อแม่จริงๆ ของเฟย์นะเป็นใคร”
“ผมเองก็ไม่รู้ รู้เท่าทุกคนนั่นแหละว่าเธอเป็นลูกบุญธรรมของครอบครัวนักปราบปรามครอบครัวหนึ่ง พวกเขาก็ไม่รู้ว่าเฟย์มาจากไหนเหมือนกันเพราะเธอถูกทิ้งไว้หน้าประตูบ้านตั้งแต่ตอนยังเป็นทารก”
“คงกลายเป็นทารกปกติไม่แสดงพลังแปลกๆ นั่นไปแล้วสินะ ไม่งั้นพ่อแม่บุญธรรมคงตายไปตั้งแต่เริ่มอุ้มเข้าบ้านแล้ว”
“ก็...คงจะอย่างนั้นครับ”
ได้ยินคำถามนี้แล้วก็มีอีกประเด็นที่เคนเซย์กัลวลใจเป็นอย่างมาก การที่เฟย์นะใช้ชีวิตเป็นคนปกติมาได้เกือบยี่สิบปี เพราะมีใครสักคนที่ทำเกราะพลังครอบเธอไว้อย่างแน่นอน ใครกันที่มีพลังทำถึงขนาดนั้นได้ มิหนำซ้ำยังเป็นการสร้างเกราะพลังขั้วตรงข้ามกัน ต่างกับเกราะพลังของเขาที่เป็นประเภทการระงับการใช้พลังส่วนหนึ่งไว้เฉยๆ
“ผมสีทองนั่นเป็นสีธรรมชาติรึเปล่า”
คำถามจากลูเธอร์ยังคงมีต่อ
“ครับ...เหมือนจะใช่อย่างนั้น”
“ไอ้คนร้ายที่พวกเธอตามหาตอนนี้ได้ยินว่ามีผมสีทองใช่มั้ย”
“...…”
หนนี้เคนเซย์ไม่ตอบ แทบไม่อยากนึกถึงข้อเท็จจริงบางอย่างที่มีสิทธิ์เป็นไปได้มากเหลือเกิน
“ถ้าตอนที่ประชุมใหญ่คราวก่อน หน่วยของเธอบอกว่าเจ้าคนร้ายผมทองนั่นปล่อยดิคเคนส์ประดิษฐ์ได้จริง ดูจากพลังของเฟย์นะในคลิปนั่นแล้ว…”
ตื๊ดดด เสียงเตือนของเครื่องมือดังขึ้นเป็นสัญญาณการสิ้นสุดการตรวจสอบ
“หัวหน้าคะ!”
ผู้ช่วยสาวร่างอวบร้องเรียกลูเธอร์อย่างแตกตื่น ทั้งเจ้าของชื่อทั้งเคนเซย์รีบเดินไปดูแผงวัดค่าพลังที่แสดงขึ้นบนจอแสดงผลของเครื่องในทันที แม้แต่หัวหน้าหน่วยทั้งสองก็วิ่งเข้ามาดูด้วย
“นี่มัน...ปรินท์ออกมาดูชัดๆ ซิ”
ผู้ช่วยรีบทำตามที่หัวหน้าบอก เคนเซย์เองก็ได้แค่ขมวดคิ้วเมื่อมองเห็นขีดพลังและตัวเลขที่ปรากฏออกมา...
- - - - - -
ซึ่งหมายความว่าวัดค่าพลังไม่ได้นั่นเอง
“เครื่องเสียรึเปล่าครับ”
หัวหน้าหน่วย K-1 ถามขึ้นอย่างแตกตื่นเช่นกัน
“ไม่มีทาง เมื่อเช้ายังใช้ทดสอบอยู่เลย”
“งั้นผลแบบนี้แปลว่าอะไร หมายถึงวัดค่าพลังไม่ได้จริงๆ เหรอครับ คือมากจนเครื่องวัดไม่ไหว หรือน้อยจนเครื่องตรวจหาไม่เจอ”
ในขณะที่หัวหน้าหน่วย K-1 กำลังซักไซ้ เสียงของเฟย์นะที่กลับออกมาจากเครื่องตรวจแล้วก็ดังแทรกขึ้น
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ”
ทุกสายตาหันไปมองเจ้าของค่าพลังปริศนานี้ในทันที หญิงสาวสะดุ้งเหมือนตัวเองทำอะไรผิด จนเคนเซย์เป็นคนเดินเข้าไปหาแล้วช่วยผู้ช่วยสาวอวบแกะอุปกรณ์เหล่านั้นออกด้วย
“ผมลองบ้าง จะได้ดูว่าเครื่องนี่ยังใช้งานได้จริงมั้ย เพิ่งปลดพลังมาพอดีเลย”
เฟย์นะยังคงมองเคนเซย์ด้วยสีหน้างุนงงเมื่อเดินลงจากแท่นนอน ยังไม่มีใครอธิบายอะไรกับเธอทั้งนั้นจนกระทั่งเครื่องมือตรวจค่าพลังเริ่มต้นทำงานใหม่อีกครั้ง
“คุณโชคดีมาก”
อยู่ๆ ลูเธอร์ก็พูดขึ้นมากลางวง
“คะ...หมายถึงฉันเหรอคะ”
“ก็คุณนั่นแหละ เพราะตอนที่พลังของคุณระเบิดออก ถ้าไม่ใช่เคนเซย์ที่ทำพิธีนั้นไว้ ต่อให้เป็นเขา หรือเขา” ลูเธอร์ชี้ไปทางหัวหน้าหน่วย K-1 กับ K-2 ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กัน “ก็ไม่มีทางทำพิธีนี้สำเร็จได้ ดูจากคลิปตอนที่คุณอาละวาดมีแค่เคนเซย์เท่านั้นแหละที่มีพลังพอจะทำแบบนั้นได้ นอกนั้นตายเปล่าแน่นอน”
“เอ๊ะ… เอ่อ...คลิปนั่น หมายถึงมีคลิปวิดีโอตอนที่ฉันใช้พลังประหลาดๆ นั่นเหรอคะ”
“มีคนของหน่วยเราถ่ายไว้ได้น่ะ เพราะคุณถูกระบุว่าเป็นดิคเคนส์ระดับ6 ที่ไม่ปรากฏมาหลายร้อยปีแล้ว ยังไงก็ต้องเก็บมาเป็นกรณีศึกษาไว้”
เมื่อเฟย์นะกำลังจะอ้าปากถามขอดูบ้าง เพราะสงสัยมานานแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองกันแน่ แต่ในตอนนั้นเสียงเตือนของเครื่องวัดพลังก็ดังขึ้นพอดี ทุกคนก็เลยดูจะหันไปสนใจที่หน้าจอแสดงผลของเครื่องกันหมด
99999
คือตัวเลขที่แสดงขึ้นท่ามกลางความตกตะลึง
“เจ้าเด็กบ้านั่นมันเป็นฝันร้ายของดิคเคนส์ชัดๆ”
ลูเธอร์พึมพำออกมาพลางนึกย้อนนึกระดับพลังในหัว ปริมาณพลังวิญญาณที่ถูกวัดแล้วแสดงเป็นตัวเลขแบบนี้ มีลำดับขั้นที่ใช้เป็นมาตรฐานทั่วโลก
0 - 1000
คือผู้คนทั่วไปที่มองเห็นวิญญาณได้ด้วยตาเปล่า แต่ไม่มีได้มีการปะทุพลังวิญญาณ
Lv.1 = 1001 - 5000
เป็นระดับพลังระดับต่ำ ค่อนข้างน้อยจนไม่สามารถทำอะไรได้มาก แม้จะปะทุพลังวิญญาณแต่ก็มักจะเลือกใช้ชีวิตตามปกติ หรือทำงานในส่วนอื่นที่ๆไม่ต้องออกภาคสนาม
Lv.2 = 5001 - 10,000
เป็นระดับพลังขั้นต้น ที่มีความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาต่อได้
Lv.3 = 10,001 - 20,000
Lv.4 = 20,001 - 30,000
เป็นช่วงระดับพลังที่พบได้มากที่สุดในบรรดานักปราบวิญญาณทุกสาย
Lv.5 = 30,001 - 50,000
เป็นระดับสูงสำหรับนักปราบวิญญาณทั่วไป ระดับหัวหน้าหน้าหน่วยต่างๆ ในกองปราบวิญญาณ
Lv.6 = 50,001 - 100,000
ระดับพลังขั้นสูงสุดที่หายาก หรือจะเรียกว่าแทบไม่มีอยู่ในในโลกเลยมากกว่า
สมัยอายุเจ็ดปี เคนเซย์เคยมาตรวจวัดพลังที่นี่และได้ค่าตัวเลขราวๆ 70,000 ทำลายสถิติสูงสุดที่มีในตอนนั้นลงไปอย่างราบคาบ การบันทึกค่าพลังเป็นสถิติที่ส่งต่อกันทั่วโลกเพื่ออัพเดตข่าวสาร แต่นับจากนั้นก็ไม่มีใครค่าพลังสูงเกินกว่าเคนเซย์อีกแล้ว
เด็กชายจำเป็นถึงขนาดต้องผนึกพลังเกือบครึ่งหนึ่งไว้เพื่อไม่ให้ร่างกายรับภาระหนักจนเกินไป ต่อปฏิกิริยาตอบสนองต่อดิคเคนส์ในวัยที่ยังไม่พร้อมเต็มที่
เกือบสิบสามปีต่อมา ในตอนนี้เคนเซย์ก็ได้ทำลายสถิติเดิมของตัวเองลงอีกครั้ง เป็นตัวเลขที่หมิ่นเหม่เกือบจะเลยขีดจำกัดจนทำให้วัดค่าพลังไม่ได้อยู่รอมร่อ
เคนเซย์ยิ้มกริ่มเมื่ออกมาจากเครื่องแล้วเห็นค่าพลังวิญญาณของตัวเอง
“เครื่องไม่ได้เสีย แปลว่าค่าพลังของเฟย์นะไม่ได้วัดผิด ถ้ามองจากวิธีการสืบทอดพลังของบ้านผม กับค่าพลังของผมที่วัดได้หมิ่นเหม่เมื่อกี้แล้ว มันก็มีความเป็นไปได้สูงนะครับ มันเป็นอย่างที่ผมคิดใช่มั้ยคุณลูเธอร์”
“ใช่ นี่เป็นเรื่องใหญ่แล้วจริงๆ ก่อนหน้านี้มีแค่สองคนในคาเรมหรือจริงๆ อาจจะเป็นในโลกที่มีพลังในเลเวล6 นั่นก็คือเธอกับทแม่ของเธอเท่านั้น การสืบทอดพลังของตระกูลยูคิฮารุจะแสดงผลสูงสุดกับผู้หญิงมากกว่า ทายาทที่เกิดออกมาทุกรุ่นก็เลยมีพลังสูงทุกคน ถ้าพลังของเธออยู่ถึงจุดสุดท้ายของเลเวล6 แล้ว พลังของเฟย์นะคงจะอยู่ในเลเวล7 ซึ่งเป็นระดับที่ไม่เคยถูกค้นพบมาก่อน เครื่องตรวจเลยวัดค่าพลังไม่ได้”
แววตาสีหน้าความแตกตื่นถึงขีดสุดฉายชัดขึ้นบนใบหน้าของทุกคนแม้แต่ลูเธอร์ที่พูดออกมาเอง ยกเว้นเคนเซย์ที่คาดการณ์ไว้อยู่แล้ว และอดไม่ได้ที่จะยิ้มกริ่มภาคภูมิใจในตัวเองขึ้นมา
“เอาล่ะ ทดสอบอย่างต่อไปกัน!”
ลูเธอร์ตื่นเต้นขึ้นมาในทันที ดูมีไฟทำงานลุกท่วมราวกับพบของเล่นแปลกใหม่ที่ไม่เคยเจอ เขารีบกุลีกุจอเข้าไปเตรียมการอะไรบางอย่างในห้องกระจกใสขนาดใหญ่ประมาณสนามเทนนิส
“เอ่อ… ช่วยอธิบายให้เข้าใจด้วยได้มั้ยคะ ฉันเป็นอะไรรึเปล่า”
เคนเซย์หันไปอธิบายกับเฟย์นะที่ถามขึ้นงุนงง
“ทุกคนตื่นเต้นเพราะพลังของเธออยู่ในระดับสูงสุดที่ไม่เคยพบมาก่อนน่ะ”
เท่าที่จับใจความได้ก็ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้น แต่มันมีความหมายอย่างอื่นแฝงอยู่เหมือนพิธีกรรมบ้าๆ นั่นหรือเปล่าหญิงสาวได้แต่ขมวดคิ้วถามกลับอย่างกังวลใจ
“แล้วนั่นมันเป็นเรื่องที่ดีหรือไม่ดี”
“ต้องดีแน่อยู่แล้ว ยิ่งถ้าเธอตั้งเป้าหมายอยากจะเป็นนักปราบวิญญาณ เอ่อ…”
ชายหนุ่มก้มลงมาใกล้กระซิบที่ข้างหูเฟย์นะเบาๆ
“ถ้าอยากเป็นนักปราบวิญญาณล่ะก็ เธอแย่งตำแหน่งหัวหน้าหน่วย K-1 ได้สบายเลย”
พูดจบเคนเซย์ก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะชวนหญิงสาวให้เดินตามเข้าไปในห้องกระจกทดสอบพลัง
“เฟย์นะยังเรียกอาวุธวิญญาณไม่ได้ครับ ทดสอบแค่ภูมิต้านทานไปก่อน เอาไว้ถ้าทำได้แล้วผมจะพามาใหม่”
เคนเซย์รายงานข้อมูลให้ลูเธอร์ฟังแทนเสร็จสรรพ แล้วหันไปบอกกับเฟย์นะในขณะที่ลูเธอร์และผู้ช่วยเตรียมการเสร็จแล้วและออกจากห้องไป
“ยืนเฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร การทดสอบจะวัดผลว่าเธอมีภูมิต้านทานดิคเคนส์มากแค่ไหน เผื่อว่าอยากจะเข้าทำงานในกองปราบจะได้จัดหน่วยให้ถูก”
“อ้าว วัดแค่ค่าพลังเมื่อกี้ไม่พอเหรอ”
“มันมีเงื่อนไขอื่นอีกน่ะ บางคนพลังเยอะมากก็จริง แต่ถ้าเป็นพวกมีประสาทสัมผัสทางวิญญาณไวมากๆ มันก็ทำให้พลังด้านลบเข้าถึงตัวได้มากกว่าปกติเหมือนกัน”
เฟย์นะนิ่งมองเคนเซย์เงียบๆ ก่อนจะหันหน้ากลับ ปฏิกริยาตอบรับที่ชายหนุ่มคุ้นเคยไปแล้ว แม้จะเจ็บแปลบอยู่ทุกครั้งที่โดนเมินแต่เขาก็พยายามไม่ใส่ใจ มันช่วยไม่ได้หรอก เพราะเขาเองก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เรื่องมันซับซ้อนแบบนี้ด้วย
เคนเซย์หยิบกุญแจมือประจำตัวของตัวเองออกมาพร้อมกับรีโมทควบคุม ก่อนจะใส่มันไว้ที่ข้อมือตัวเองทั้งสองข้างแล้วถือรีโมทไว้เอง
“ทำไมต้องใส่กุญแจมือ”
“มันคือกุญแจมือที่ควบคุมไม่ให้ใช้พลังวิญญาณได้น่ะ เดี๋ยวอีกหน่อยห้องทดลองจะปล่อยดิคเคนส์ประดิษฐ์ออกมา แต่เธอยังเรียกอาวุธวิญญาณไม่ได้ฉันก็เลยจะอยู่ด้วยเผื่อมีอะไรผิดพลาด”
“ดิคเคนส์ หมายถึงวิญญาณสีดำที่ดูดพลังชีวิตคนน่ะเหรอ ทำไมมันมาอยู่ที่นี่ได้”
“เราจะเริ่มกันแล้ว คุณเฟย์นะ เลเวลของค่าพลังวิญญาณคิดมากจากค่าพลังของดิคเคนส์ที่เคยวัดไว้ได้แล้วทำเป็นสถิติไว้ ตอนที่คุณมีพลังของดิคเคนส์คุณถูกระบุว่าเป็นระดับ6 และผลวัดค่าพลังเมื่อกี้ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด คุณจะกลายเป็นผู้ที่มีพลังวิญญาณเยอะที่สุดในโลก ดังนั้นเราจะลองใช้ดิคเคนส์ประดิษฐ์หลายรูปแบบเพื่อลองดูว่าคุณจะมีพลังต้านทานได้มากแค่ไหน และในจำนวนคร่าวๆ ว่าเจอได้มากที่สุดกี่ตัว”
เสียงของลูเธอร์ดังขึ้นจากลำโพงที่ติดอยู่ภายในห้องกระจกใส เคนเซย์สวมเฮดโฟนที่ติดไมค์เพื่อเอาไว้สื่อสารกับผู้ที่อยู่ข้างนอกได้ทันที
“พร้อมมั้ย”
ชายหนุ่มหันไปถามหญิงสาวข้างตัว แม้เฟย์นะจะรู้สึกไม่พร้อมแต่ก็คงต้องพร้อมอยู่ดี เพราะพวกเขาจะเริ่มทดสอบกันแล้ว
“จะไม่เป็นไรแน่ๆ ใช่มั้ย”
เฟย์นะถามด้วยความหวั่นใจ
“ถ้าเลเวล7 อย่างเธอเป็นอะไรไปเพราะดิคเคนส์ประดิษฐ์กากๆ พวกนี้ มนุษยชาติคงสิ้นหวังแล้ว”
เฟย์นะเกือบจะหัวเราะกับประโยคนั้น ถ้าไม่ติดว่าอยู่ๆ กลุ่มก้อนคล้ายลูกไฟวิญญาณสีดำปรากฏขึ้นทั่วทั้งห้อง แม้ทั้งสองจะยังไม่ได้ตอบรับความพร้อมออกไปก็ตาม
เงาร่างสีดำกว่าครึ่งร้อยพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มหญิงสาวในทันที!