ตอนที่ 32 เริ่มต้นเข้าสู่งานประลอง
ตอนที่ 32 เริ่มต้นเข้าสู่งานประลอง
เมืองโหย่วเผิงในยามสายนั้นช่างแสนวุ่นวายเสียจนน่าปวดหัว เนื่องจากการสัญจรนั่นแน่นขนัดไปด้วยเรือจ้าง เรือโดยสาร ที่ท่าเมืองเองในตอนนี้นั้นช่างคึกคัก เต็มไปด้วยคนมากมายมาย ซึ่งไม่ได้เห็นภาพเช่นนี้มาสักพักใหญ่ ๆ แล้วนักตั้งแต่จบศึกสาหร่ายหัวผี
อากาศแจ่มใสทิศทางลมกำลังดี เย็นสบายสมเป็นเป็นช่วงปลายฤดูร้อน ผู้มีวิชาบางคนก็ใช้วิชาตัวเบา ท่องกระบี่ในการเดินทาง หากแต่บางสำนัก ที่มาพร้อมกันเป็นหมู่คณะจากแดนไกล ก็มักจะเดินทางกันด้วยม้าหรือเรือโดยสาร
และเมื่อเหนือน่านน้ำปรากฏเรือท้ายสูงหน้าต่ำตามแบบจีนขนาดใหญ่ แขวนใบเรือพรวนประดับธงลายดอกปี่อั้นสีแดงใกล้เทียบถึง เสียงฮือฮาก็ดังสนั่นลั่นท่า ราวกับได้เห็นสิ่งที่หายากปรากฏตัว เพราะสำเภาลำนั้น คือเรือของสกุลเสวี่ยนั่นเอง
เมื่อเรือจอดเทียบสนิทท่าแล้ว เจ้าหน้าที่ทางการต่างกางกั้นเขต ไม่ให้ชาวบ้านกีดขวางเส้นทาง ในทีแรกก็มีเสียงวุ่นวายโต้แย้งกันระหว่างเจ้าพนักงานและแม่ค้าอยู่บ้างทว่าพอผู้โดยสารเรือลำนั้นเดินลงมา เสียงทุกอย่างก็ดูราวกับเงียบไปเสียสนิท เพราะสายตาทุกคู่ ความสนใจทุกด้าน ต่างเพ่งมองจับจ้องมาทางประมุขเสวี่ยและเหล่าศิษย์ในสำนักของเขาด้วยกันทั้งนั้น
ท่วงท่ากริยาอันสง่างามของประมุขเสวี่ยนั้นดึงดูดสายตาเป็นอย่างมาก เพราะต่อให้คนผู้นั้นมีบรรยากาศรอบกายน่ากลัวแผ่ออกมา แต่ใบหน้าที่งดงามก็ช่างน่าหลงใหล ตรึงตาตรึงใจเสียจนพาให้ศิษย์สาวต่างสำนักล้วนทำหน้าเคลิ้มฝันราวกับพบเทพบุตร
เมื่อเสวี่ยหงเยว่และคณะผู้ติดตามเดินขึ้นรถม้าที่ทางการจัดเตรียมให้เรียบร้อยแล้ว บรรยากาศที่ราวกับถูกแช่แข็งด้วยหิมะบนเขาเสวี่ยก็กลับมาคึกคักจอแจดังเดิม บทสนทนาส่วนมากมักเกี่ยวกับความประทับใจในกริยาอันแสนงดงามของประมุขเสวี่ยด้วยกันทั้งนั้น
ทว่า...หาได้มีใครล่วงรู้เลย ว่าประมุขผู้แสนงดงามน่าพรั่นพรึงนั้น มีความคิดอะไรอยู่ในหัวกัน...
...
แหม...อลังสุดอะไรสุด ให้ตายสิ ถึงปกติจะไม่ค่อยชอบอะไรเด่นแบบนี้ก็เถอะ แต่เวลาเดินโก้แล้วมีศิษย์สำนักตามเป็นพรวนเนี่ยมันก็ฟินไม่หยอก
เนื้อแท้...ประมุขเสวี่ยเป็นคนแบบนี้นั่นแหละนะ...
เมื่ออยู่ในรถม้าส่วนตัว เขาก็นั่งตามสบาย กึ่งจะเหยียดเล็กน้อย เพราะการนั่งเก็กเป็นคนเรียบร้อยตอนเดินทางบนเรือทำให้เขาปวดเมื่อยอย่างเหลือแสน
ระหว่างนั้นเองดวงตาสีแดงก็เหลือบมองเลียบแม่น้ำที่รถม้าเคลื่อนผ่าน เขาเห็นเหล่าศิษย์ในเครื่องแบบประจำสำนักทั้งสำนักเล็ก สำนักใหญ่ เหล่าจอมยุทธไร้สังกัด ตลอดไปจนถึงนักท่องเที่ยวผู้เป็นชาวบ้านธรรมดาจากเมืองอื่นรอเทียบเรือขึ้นท่าให้แน่นนัก ในตอนนี้เมืองเต็มไปด้วยสีสันไม่เงียบเหงาอีกต่อไป
นับว่าการจัดการประลองยุทธนั้นได้ผลมาก เห็นแล้วก็รู้สึกชื่นใจให้หายเหนื่อยขึ้นมาบ้างเลยทีเดียว
เสวี่ยหงเยว่พ่นลมหายใจเล็กน้อย งานหลวงเสร็จไปแล้วด้วยดี ทีนี้ก็ลุ้นกันต่อ ว่าหลังจากจากนี้งานประลองจะไปได้สวยจนกระทั้งจบรอบนี้ไหม
เมื่อรถม้ามาถึงสถานที่จัดงานแล้วเหล่าศิษย์สังกัดสกุลเสวี่ยก็ลงมาจากรถ เพื่อรวมตัวไปลงทะเบียนแข่งขัน เสวี่ยหงเยว่จึงได้เห็นถึงกริยาอาการของศิษย์สำนักตน บางคนก็มีท่าทางประทับใจกับความยิ่งใหญ่ บางคนก็ตื่นเต้น บางคนก็ประหม่าเสียจนตัวสั่นโดยเฉพาะกับศิษย์ที่เพิ่งสอบผ่านการเป็นผู้ใช้วิชาขั้นแรกมาใหม่ ๆ
พอเห็นเช่นนั้นเสวี่ยหงเยว่ค่อย ๆ ก้าวลงลงจากรถม้าส่วนตัว เดินไปทางกลุ่มของเหล่าศิษย์
เมื่อเด็กพวกนั้นเห็นเสวี่ยหงเยว่ หลายคนก็มีอาการสะดุ้ง และเกร็งด้วยความตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะต่อให้เป็นศิษย์ในสังกัด แต่การเห็นเสวี่ยหงเยว่อย่างใกล้ชิดเช่นนี้นับเป็นเรื่องได้ยากยิ่ง
“ท่านประมุข?” หลานซิ่นหลิงซึ่งกำลังคอยดูลูกศิษย์อยู่เห็นเสวี่ยหงเยว่เดินมาก็หันไปหา เอ่ยถามคล้ายสงสัยว่าอีกฝ่ายมีอะไรงั้นหรือ ทว่าเสวี่ยหงเยว่กลับส่ายหน้า เขาบอกว่าไม่มีอะไรเป็นพิเศษนัก เขาแค่อยากพูดคุยให้กับเด็ก ๆ เหล่านั้น
“จงทำในสิ่งที่สมควร...และทำให้เต็มที่ ให้พวกเจ้ารู้สึกภูมิใจในตัวเอง”
นั่นคือสิ่งที่เสวี่ยหงเยว่เอ่ย เป็นประโยคสั้น ๆ เพื่อให้กำลังใจให้เด็กเหล่านั้นหายตื่นกลัวการแข่งขัน เมื่อเห็นว่าสีหน้าของศิษย์ในสำนักตนดีขึ้นมาแล้ว เขาจึงบอกขอตัว หันหลังเดินตามเจ้าหน้าที่ไปยังประรัมพิธีการ เพื่อเตรียมพิธีเปิดงานประลอง
โดยไม่รู้เลยว่าคำพูดเหล่านั้นสร้างความอบอุ่นบางอย่างให้กับในใจของเหล่าศิษย์ยิ่งนัก เพราะคำที่เสวี่ยหงเยว่กล่าว ไม่ใช่คำที่บอกว่าต้องชนะ ไม่ใช่คำที่กดดันให้พยายามเกินตัว ทว่ามันกลับเป็นคำพูดง่าย ๆ ที่มีความหมายแค่เพียงว่าพยายามทำให้เต็มที่และดีที่สุดเพื่อให้ตัวเองภูมิใจ
และนั่นทำให้ค่าความชื่นชมในตัวท่านประมุขพุ่งขึ้นสูง...โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวเลยสักนิด
เสวี่ยหงเยว่ก้าวเดินตามเจ้าหน้าที่สนามอย่างเงียบเฉียบ เรื่องการลงทะเบียนการแข่งขันของเหล่าศิษย์เขายกหน้าที่ให้หลานซิ่นหลิงเป็นคนจัดการเรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้นก็เหลือแค่เพียงพิธีเปิด อันเป็นพิธีการอันน่าเบื่อ อย่างที่เขาเคยบอกงานประลองนี้ก็เหมือนโอลิมปิก ห้าปีมีหน คนต่างเฝ้ารอคอย พิธีเปิดงานจึงย่อมอลังกาลแน่ ต่อให้เป็นเพียงแค่รอบคัดเลือกก็ตาม
แต่แล้ว เขาก็เห็นว่าเจ้าหน้าที่ด้านหน้าตนหยุดชะงัก พร้อมกับได้ยินเสียงพูดคุยอะไรบางอย่าง เมื่อเงยหน้าขึ้นไปมอง จึงได้เห็นว่าซุนจ้าวหานอยู่ตรงนั้น ในชุดสีขาวสะอาดทั้งตัว มัดรวบด้วยที่รัดเงินและปิ่นแก้วใส อันเป็นชุดเต็มยศสำหรับงานสำคัญประจำสกุลซุน
เจ้าหน้าที่คุยกับซุนจ้าวหานอยู่ครู่ ก่อนที่จะหันมาทำความเคารพเสวี่ยหงเยว่ เป็นเชิงขอตัว ปล่อยให้เจ้านายทั้งสองได้คุยกัน
“ซิ่นหลิงบอกข้ามาแล้วนะ เจ้ามีเรื่องกลุ้มใจอยู่งั้นหรือ...?” นี่คือคำพูดที่ซุนจ้าวหานพูดมาทันทีหลังจากที่เดินมาหาเขา และนั่นทำให้เสวี่ยหงเยว่เผลอทำหน้าปลาตายใส่ไปแว้บหนึ่ง
ตูว่าแล้ว...อาจารย์นี่ ม่าง...ส่งข่าวไวฉิบหาย
“ข้าทำใจเรื่องที่จะเกิดกับไป๋หลานไม่ได้...”
ซุนจ้าวหานเงียบลงเล็กน้อย เอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวล เบาบาง สงวนกริยาราวกับผ้าพับไว้ เพราะยังมีคนอยู่บริเวณนั้น อีกฝ่ายจึงยังคงมีทีท่าสง่างามสมดังเป็นนักบวช
ทันที่ที่เสวี่ยหงเยว่ฟังคำนั้น เขาก็รีบหันหน้าไปมองอีกฝ่ายทันที
“เจ้าคิดแบบนั้นอยู่ใช่ไหม หงเยว่?”
เสวี่ยหงเยว่เม้มปาก ก่อนจะค่อย ๆ พยักหน้า ส่วนซุนจ้าวหานก็ผายมือเล็กน้อย คล้ายจะบอกให้เขาก้าวเดินตามเส้นทางอาคารที่ทอดตัวยาวไปเรื่อย ๆ จนกระทั้งถึงจุดหนึ่งซึ่งไม่มีใครเดินผ่าน จึงได้เริ่มสนทนากันอีกครั้ง
“ข้าชักสงสัยแล้วสิ ว่าตัวเจ้ารู้เรื่องของข้าถึงขนาดไหน”
“เกือบทั้งหมด...แต่ก็ไม่หมด ข้ารู้ความเป็นไปของโลกนี้ผ่านดวงวิญญาณเจ้า เท่าที่ข้ามองเห็นเท่านั้น ข้าไม่อาจรู้ไปได้มากกว่านี้” ซุนจ้าวหานว่า หากจะให้เขาจำกัดความว่าเขารู้อะไรบ้าง ก็คงตอบได้ว่ามาก แต่ก็ไม่รู้ซึ่งทั้งหมด เขาไม่มีทางที่จะรู้ได้เทียบเท่าคนที่มีตำราความเป็นไปของโลกใบนี้อยู่ในมืออย่างเสวี่ยหงเยว่ได้
เมื่อเป็นเช่นนั้นเสวี่ยหงเยว่จึงเม้มปาก ก่อนจะค่อย ๆ เล่าเรื่องราวที่ตัวเองรู้ รวมถึงนิมิตที่เขาเห็นผ่านอัญมณีทั้งหมดให้ซุนจ้าวหานฟัง ในทีแรกนั้นดวงตาสีฟ้าใสมีแววของความประหลาดใจ สลับกับเศร้าใจ ไล่เรียงไปจนถึงความครุ่นคิด ดูคล้ายกับคิดไม่ตกกับสิ่งที่เสวี่ยหงเยว่เล่าให้ฟัง
“ไป๋หลานเองก็เพื่อนข้า...ข้าเองก็เสียใจไม่ต่างจากเจ้า” ซุนจ้าวหานว่า ทอดสายตามองไกล ๆ หลายสิ่งหลายอย่านั้นอยู่ในหัว
ฆ่าพี่ชายทั้ง ๆ ที่สนิทกับน้องงั้นหรือ...
เรื่องน่าเศร้าแบบนี้...ทำไมถึงชอบเกิดกับคนรอบตัวเขานักนะ
“ทว่าบางที” เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาก็หยุดเท้าที่กำลังก้าวเดินเล็กน้อย ดวงตาสีฟ้าเหลียวมองคนข้างตัว ยิ่งได้พูดคุยกัน เสวี่ยหงเยว่ยิ่งมีท่าทีสับสน และนั่นซุนจ้าวหานก็พอเข้าใจได้ว่าเหตุมันเป็นเพราะอะไร
"ต้นเหตุจุดจบของไป๋หลาน มันอาจจะไม่ได้มาจากเจ้าก็ได้นะ หงเยว่” ซุนจ้าวหานว่า ฝ่ามือนุ่มนั้นดันหลังคนข้างตัวเพื่อพาเข้าไปยังศาลาพักในสถานที่จัดงาน พวงเขาทั้งสองจะได้พูดคุยกันโดยไม่มีใครรบกวน
ทว่าในตอนนั้นเสวี่ยหงเยว่ก็ยังคงมีสีหน้าที่ย่ำแย่เกินกว่าจะเข้าใจอะไรได้ เห็นดังนั้น ซุนจ้าวหานเลยเอาฝ่ามือทั้งสอง ตบ ๆ แก้มคนตัวสูงกว่าตนสองถึงสามครั้งแทนการเรียกร้องความสนใจ
"ไหนบอกข้าสิ เจ้าเห็นนิมิตสิ่งใดอีกบ้าง บอกทั้งหมด และห้ามปิดบัง ไม่อย่างนั้น ตัวข้าเองก็ช่วยเหลือเจ้าไม่ได้"
“ตัวตนของข้า 'อีกคน' ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงตอนที่ข้าได้สังหารเหมยฉีเพื่อเอาอัญมณี ตลอดไปจนถึงทำเรื่องแย่ ต่างๆ นานา...” เสวี่ยหงเยว่เริ่มเล่าถึงสิ่งที่ตนเห็นในนิมิตทุกอย่างให้กับซุนจ้าวหานฟัง ตั้งแต่ความทรงจำแรกที่เห็น ตลอดถึงการได้พบปะกับตัวต้นฉบับ และยิ่งฟังไปเรื่อย ๆ นั้นก็ยิ่งทำให้เรียวคิ้วของคนเป็นนักบวชเลิกขึ้นสูง
“เจ้าจะบอกว่าด้วยอำนาจของต่างหูพันธนาการ ทำให้เจ้าเห็นนิมิตถึงความเป็นไปของโลกของตัวเจ้าอีกคนเป็นไปอย่างนั้นหรือ” เขาถาม ซึ่งตัวเสวี่ยหงเยว่ก็พยักหน้ารับ
"ทุกสิ่งทุกอย่างที่หนังสือเล่มนั้นไม่ได้บอก..."
“งั้นข้าขอถามบางอย่างกับเจ้าได้หรือไม่...แค่คำถามเดียวเท่านั้น” คำถามนั้นทำให้เสวี่ยหงเยว่เป็นฝ่ายเลิกคิ้วบ้าง เขาทำหน้าสงสัยเล็กน้อยทว่าก็พยักหน้า บอกให้ซุนจ้าวหานถามเขาได้เลย
“นางจิ้งจอกเหมยฉีตนนั้นได้ตายหรือยัง”
ชะ...
สิ้นคำถามนั้นก็ทำให้เสวี่ยหงเยว่นิ่งไปถนัดตา
เสวี่ยหงเยว่เอามือปิดปากตัวเอง สีหน้าครุ่นคิดผสมกับเหงื่อตก ความสับสนเข้ามาปะปนกันจนสีหน้าเปลี่ยน เขาเอาแต่คิดที่จะใช้ชีวิตของตัวเองเพื่อเรื่องการดำเนินเนื้อหาของนิยายให้สำเร็จ จนลืมอะไรหลายๆ เรื่องไป ต่อให้รู้ว่าระยะหลังมานี้เส้นเรื่องของนิยายเรื่องนี้เริ่มผิดพลาด บางอย่างก็เกิดขึ้นตรงตามกำหนด แต่บางเรื่องก็ไม่เกิดขึ้น ข้ามเหตุการณ์นั้นไปราวกับไม่เคยมีเขียนถึงเลย เอาแน่เอานอนไม่ได้สักอย่างแต่เขาก็ยังคงที่จะดำเนินต่อไปโดยยึดถือต้นฉบับนั้นเป็นส่วนสำคัญ
“ข้าคิดว่าบางที ในนิมิตเจ้า มันอาจจะเป็น ‘เรื่องที่ควรจะเป็น’ ไม่ใช่ ‘เรื่องที่จะต้องเป็น’ ตัวเจ้าอีกคนนั้น อาจจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในแดนใดแดนหนึ่ง ในโลกทับซ้อนกับที่แห่งนี้ ต่อให้เขาคนนั้นคือ ‘เสวี่ยหงเยว่’ ทว่ามันไม่ใช่ตัวเจ้า สิ่งในโลกนั้นที่เขารู้ มันไม่ใช่สิ่งในโลกนี้ที่เจ้าอยู่”
ซุนจ้าวหานมองด้วยสายตาอ่อนโยน รอยยิ้มที่ริมฝีปากนั้นดูอบอุ่นเสียจนน่านับถือ เขาเอื้อมมือไปหา ลูบเส้นผมสีขาวสะอาดนั้นอย่างเบามือ
"ชีวิตของพวกเรานั้นเกิดขึ้นจากการรังสรรค์ของท่านเทพเจ้า ทว่ามันก็ยกเว้นตัวเจ้า...หงเยว่ ต่อให้เจ้าถูกผูกมัดเงื่อนไขต่าง ๆ มากมายของโลกใบนี้แต่เจ้าก็สามารถผลิกผันเพื่อไม่ให้ทุกอย่างแย่กว่าเดิมได้ไม่ใช่หรือ?"
“ทว่า...ข้าผูกทุกอย่างเข้าหาตัวมากเกินไป หากข้ารู้ว่าการสวมรอยอยู่ในบทหงเกอนั้นเป็นตัวนำพาความตายมาให้ไป๋หลาน... เป็นต้นเรื่องที่จะทำให้ไป๋เทียนเจ็บปวดแต่แรกได้...ก็คงดี” เสวี่ยหงเยว่เอ่ยเสียงอ่อนลง เมื่อคิดถึงตอนที่ตนตัดสินใจที่จะเล่นบทบาทของหงเกอแล้ว มือก็กำแน่นขึ้น เขาผูกมัดตัวเองด้วยความคิดที่ตื้นเขิน
เขาก็แค่อยากทำให้เหอไป๋เทียนมีชีวิตวัยเยาว์ที่มีความสุข...ไม่ได้อยากเป็นต้นเหตุที่จะทำพาความเจ็บปวดมาให้เช่นนี้สักนิด
"การเล่นสองบทบาทนั้น มันไม่ควรทำตั้งแต่แรกเลย"
“บางครั้งการเห็นนิมิตก็ทำให้เราสับสน หงเยว่ ข้าเองก็เป็น” ซุนจ้าวหานยิ้ม เพราะเขานั้นอยู่ร่วมกับการเห็นนิมิตของสรรพสิ่งบนโลกมาทั้งชีวิต มันไม่แปลกเลยที่มือใหม่เช่นคนตรงหน้าจะมีอาการสับสนและทำตัวไม่ถูกเวลาที่ได้พบเจอกับมัน
“ขนาดข้าที่เห็นนิมิตบ่อยจนเป็นเรื่องปกติ บางครั้ง ข้ายังสับสนเลยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้มันคือภาพจริงหรือภาพนิมิต เพราะฉะนั้นแล้วการที่เจ้าจะสับสนว่าสิ่งที่เจ้ารู้ สิ่งเจ้าเห็นมันจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นในโลกความเป็นจริงมันจึงไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรเลย”
ฝ่ามือนั้นยังคงลูบเส้นผมของเสวี่ยหงเยว่อยู่ รอยยิ้มบาง ๆ นั้นปรากฏบนใบหน้าของเขา มันเต็มไปด้วยความเอ็นดูราวกับมองเด็กน้อยกำลังสับสน
“แต่เจ้า ต้องตัดสินใจกับนิมิตที่เห็นให้ได้หงเยว่ ไม่อย่างนั้นเจ้าจะไม่เป็นอันใช้ชีวิตของตัวเอง ตัดสินใจให้ได้ว่าจะทำอะไร บางอย่างมันอาจมีช่องว่างให้เจ้าหลีกหนีจากเรื่องแย่ ๆ ที่กำลังจะเกิดก็ได้ไม่ใช่หรือ?” ซุนจ้าวหานเอ่ยถาม
“ต่อให้ข้าหลีกหนีได้ แต่เรื่องที่จำเป็นต้องเกิด มันก็ต้องเกิดไม่ใช่เหรอเหมือนอย่างเรื่องของพ่อและแม่ของข้า” เสวี่ยหงเยว่เม้มปาก ต่อให้เส้นเรื่องบางอย่างไม่เกิดขึ้น ต่อให้ไทม์ไลน์ผิดพลาด แต่เขาไม่อาจจะเปลี่ยนสตอรี่ตรงนี้ได้ เพื่ออนาคตที่เหอไป๋เทียนจะต้องขึ้นเป็นประมุข การตายของเหอไป๋หลานคือกลไกสำคัญที่จะต้องเกิด หากคนพี่ไม่ตาย คนน้องก็จะไม่สามารถขึ้นเป็นประมุขได้...
"งั้นข้าขอถามอีกอย่างได้หรือไม่?" น้ำเสียงละมุนนั้นเอ่ยถาม ซึ่งเสวี่ยหงเยว่ก็พยักหน้าตอบเป็นเชิงว่าถามได้
"เจ้าเสียใจไหมที่ตัดสินใจรับบทบาทการเป็นหงเกอ" เมื่อได้ยินคำถามนั้น เสวี่ยหงเยว่ก็เม้มปาก เขาค่อย ๆ ส่ายหน้าอย่างเชื่องช้า
"การอยู่ในบทบาทนี้คือสิ่งที่ทำให้ข้ามีความสุข...นับตั้งแต่มาอยู่ที่โลกใบนี้"
เพราะมัน...คือสิ่งที่เขาได้ตัดสินใจเอง มันคือเส้นทางที่เขาเลือกที่จะทำด้วยตัวเอง ไม่ได้โดนบังคับ ไม่ได้มีสัญญาข้อใด ๆ มาผูกมัด เขาทำไปเพราะความรู้สึกของตัวเอง ต่อให้เขารู้ว่าอนาคตบทบาทที่เขาสวมรอยจะสร้างปัญหาเช่นนี้มาให้...
เขาก็ยังคงเลือกที่จะทำมันอยู่ดี
ซุนจ้าวหานได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าที่ทั้งอ่อนโยน ทว่ามุ่งมั่นเปล่งประกายอยู่ในสายตา
“หากเจ้าต้องการเช่นนั้น ข้าก็จะไม่ได้ให้เจ้าทำภารกิจช่วยชีวิตไป๋หลาน” ซุนจ้าวหานมองคนตรงหน้า แล้วเริ่มพูดอีกครั้งโดยที่ฝ่ามือวางบนบ่าของเสวี่ยหงเยว่บีบแน่นกว่าเดิม
"แต่ข้าสัญญา ว่าข้าจะช่วย ไม่ให้เจ้าเป็นคนสังหารเขา เพื่อใช้เจ้าได้มีความสุขกับบทบาทนั้นต่อไป”
และนั่นทำให้เสวี่ยหงเยว่ชะงักไป ชายหนุ่มเม้มปาก สีหน้าของเขาในตอนนี้นั้นมันช่างสับสน แต่ในขณะเดียวกัน คำพูดของซุนจ้าวหานนั้น ก็สร้างประกายความหวังให้ส่องประกายในดวงตาคู่สีแดงนั้น จะบอกว่าเขาเห็นแก่ตัวก็ได้ แต่การที่ได้ยินว่าเขาไม่จำเป็นต้องเป็นคนสังหารเหอไป๋หลานแล้ว...
อะไรบางอย่างที่กดทับหัวใจของเขาก็โล่งขึ้นมา...มากกว่าเดิม
ซุนจ้าวหานยิ้มบางให้กับคนตรงหน้า เมื่อเห็นว่าเสวี่ยหงเยว่นั้นมีสีหน้าที่ดีขึ้นมามากแล้ว เขาเองก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาเช่นกัน
“ถ้าเข้าใจเช่นนี้แล้ว เจ้าสัญญากับข้าได้ไหมว่าหลังจากนี้ไปเจ้าจะทำตัวดังเดิมกับไป๋หลาน เพราะการกระทำห่างเหินนั้น นอกจากจะทำให้ไป๋หลานเจ็บปวดแล้ว ตัวเจ้าเองก็เจ็บปวดเช่นกัน...เพราะทั้งเจ้าและเขาเองก็สมควรที่จะได้รับความสุขกับชีวิตที่ยังเหลืออยู่ไม่ใช่หรือ”
เสวี่ยหงเยว่เม้มปาก สบดวงตาของซุนจ้าวหาน สักระยะเขาก็พยักหน้าเบาๆ ในเมื่อเหอไป๋หลานก็จะตาย เขาเองก็ต้องตายก็ไม่ควรทำอะไรให้มีเรื่องคาใจ อีกฝ่ายคนจะสื่อเช่นนั้น
น่าแปลกใจนักที่เขาเชื่อฟังคำพูดของซุนจ้าวหานได้โดยง่าย ทั้งที่ก่อนหน้านั้น เขาสับสนจนปัญญา หาทางออกไม่ได้ราวกับไม่ใช่ตัวของตัวเองมาตั้งนาน แค่เพียงได้ปรึกษาใครสักคน แค่มีใครสักคนที่ช่วยคิด ปัญหาเหล่านั้น มันเบาลงมากถึงขนาดนี้เลยงั้นหรือ...?
เสวี่ยหงเยว่ได้แต่สงสัยแบบนั้น
“พวกเจ้าทั้งคู่ทำอะไรอยู่งั้นหรือ” แต่แล้วทั้งซุนจ้าวหานและเสวี่ยหงเยว่ต่างต้องชะงักไปพลัน เมื่อเสียงหนึ่งร้องทัก
ซึ่ง...จะไม่ให้เขาทั้งสองสะดุ้งสุดตัวได้เช่นไร ในเมื่อชายผู้เป็นหัวข้อในการสนทนาครั้งนี้ อยู่ ๆ ก็โผล่หน้าเขามาทักทายเสียอย่างนั้น!
เหอไป๋หลานนั้นอยู่ในชุดผ้าเนื้อดีสีดำสนิท ตกแต่งลายปักด้วยสีทอง อันเป็นสีประจำสกุลเหอ เขายิ้มให้กับเสวี่ยหงเยว่ทีซุนจ้าวหานทีอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว คล้ายว่าไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเป็นต้นเหตุปัญหาที่ทำให้ผู้ชายสองคนมานั่งถกไม่ตกคิดหนักไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาหลายคืน
“ไม่...ไม่มีขอรับ” ซุนจ้าวหานลดมือจากการลูบศรีษะของเสวี่ยหงเยว่ทันที เขาหัวเราะเสียงเบา ๆ ดวงตาคู่สวยนั้นเคลื่อนหลบสายตาของเหอไป๋หลานราวกับกลบเกลื่อนบางสิ่ง
“ช่างเถิดอีกไม่นานพิธีเปิดจะเริ่มแล้ว ข้าว่าพวกเราเดินไปด้วยกันเถอะ”เหอไป๋หลานกล่าวด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะชี้ไปยังทางเดินไปสู่งลานพิธีการ พวกเขาเดินไปยังที่นั่งชั้นพิเศษสำหรับสามสกุลใหญ่ด้วยกัน โดยตกเป็นเป้าสายตาของคนทุกผู้...
เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่ชายหนุ่มผู้เป็นอนาคตแห่งสามสกุลใหญ่จะอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันเช่นนี้