ตอนที่ 31 คิดไปเองหรือเปล่า?
ตอนที่ 31 คิดไปเองหรือเปล่า?
คฤหาสน์หลังใหญ่อยู่ได้ราวสิบคน ทว่ามีเพียงสามคนที่อาศัยอยู่เท่านั้น ภายในห้องนอนที่แม่นมฮาชิสึเตรียมไว้มีข้าวของเครื่องใช้อย่างดีครบครัน แม้จะไม่ใช่สิ่งหรูหรางดงามก็ตาม
ลินจิคว้าสมาร์ตโฟนใต้หมอนพลางลืมตาช้า ๆ พบว่าเป็นยามฟ้าสาง อีกเดี๋ยวก็จะถึงเวลาตื่นแล้ว เมื่อคืนตอนที่ชุนสวมแหวนให้ ตนก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ถ้าอยู่ในโลกปัจจุบันคงเรียกได้ว่า การขอแต่งงานอย่างแน่นอน แม้จะไม่เข้าใจขนบธรรมเนียมของที่นี่ดี แต่พอนึกถึงเรื่องนี้ใบหน้าก็ร้อนผ่าวขึ้นมา
แต่… ใครจะยอมง่าย ๆ กัน ชิชะ ไม่ใช่ของเล่นสักหน่อย ลินจิทึกทักไปเองว่า ตนถูกผู้ชายขอแต่งงานเสียแล้ว
ยิ่งคิดก็ยิ่งเขิน เขาซุกสมาร์ตโฟนไว้ใต้หมอนเหมือนเดิม ก่อนจะเผลอกำผ้าห่มปิดปากแน่น
จะดีเหรอ หน้าตาอย่างชุนหล่อเหลาจะตายไป ขนาดแม่ไก่ยังเรียกกุ๊ก ๆ เลย ชอบของที่มีแต่คนอยากได้แบบนั้น อีกหน่อยก็มีแต่จะร้อนรนใจในภายหลัง
พอเริ่มหายใจไม่ออกเพราะผ้าห่มปิดไปถึงจมูก ลินจิจึงรู้ตัวว่าเผลอคิดมากไป เขาคลายมือออกช้า ๆ ก่อนจะข่มตาหลับ ก่อนที่จะไม่ได้นอน
จู่ ๆ กลิ่นคล้ายป่าเขาก็โชยมาพร้อมกับสายลม
“…เจ้าตื่นรึยัง”
ประตูเปิดออกอย่างเงียบกริบ ตามมาด้วยเสียงทุ้มกระซิบเบา ๆ ราวกับสายลมที่พัดผ่าน
สรรพนามที่ถูกเรียกเป็นของตน แต่กลับรู้สึกต่อต้านไม่อยากตอบรับ เขาแกล้งทำเป็นหลับไม่ได้ยิน ให้ตายสิ เมื่อคืนใจเต้นตึกตักทั้งคืน เพิ่งจะได้ตั้งใจหลับจริง ๆ ก็เมื่อไม่กี่นาทีนี่เอง
ลินจิอาศัยผ้าห่มผื่นใหญ่ดึงขึ้นมาปิดหัวช้า ๆ ราวกับหอบกาบที่รีบปิดฝาเมื่อมีคนเอามือไปแหย่
ชุนเดาะลิ้นอย่างหงุดหงิด เมื่อวานเขาบอกว่าต้องตื่นเช้า แล้วนี่อะไร นอนอุตุยังไม่ตื่นราวกับสัตว์จำศีล ชุนเดินปึงปังเข้าไป หยุดมองครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยปากเรียก
“ตื่น!”
ลินจิลืมตาช้า ๆ สอดมือเข้าใต้หมอน พอหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาก็พบว่าผ่านมาเพียงสิบห้านาที แต่พอเห็นอีกฝั่งจ้องตนตาเขียว เขาก็รีบลุกออกจากเตียง
“อ๊ะ…”
ท่ามกลางแสงอ่อน ๆ ที่ลอดหน้าต่าง เรือนร่างผอมบางที่มีมัดกล้ามเล็กน้อยล้มเอนเข้าหาร่างสูงโดยไม่ได้ตั้งใจ โชคดีที่สองมือของคนข้างหน้าช่วยพยุงไว้ ไม่อย่างนั้นใบหน้าของตนคงต้องซุกกับแผ่นอกกำยำอย่างแน่นอน
ลินจิเงยหน้าขึ้นช้า ๆ เมื่อคืนคิดมากจนปวดหัว อาการหน้ามืดตามัวจึงกำเริบขึ้นมาอย่างฉับพลัน เมื่อตั้งหลักทรงตัวลงได้ก็เบือนหน้าหนีเล็กน้อยอย่างเหนียมอาย
“ผมขอไปอาบน้ำก่อนได้มั้ยครับ…”
ได้ยินเสียงหายใจฟึดฟัดราวกับหมูป่าขุดเถาไม้ ลินจิจึงเงยหน้ามองอีกครั้ง
“…”
ใบหน้าหล่อเหลาก็จริง แต่แววตากลับดุร้ายราวสัตว์ป่า ขืนยังมัวลีลาหมอนี่ต้องสติแตกแน่นอน เห็นเช่นนั้นลินจิจึงรีบถอย พูดอย่างไม่รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ว่า…
“ครับ ๆ รีบไปแล้ว ไม่นานหรอก”
ว่าแล้วก็รีบวิ่งแจ้งออกจากห้องทันที
ชุนเหล่ตามองตามพลางส่ายหน้า เมื่อวานเขาได้ใช้ร่ายเวทผูกพันธสัญญากับเทพตนนั้น จากนี้ตนจะไม่สามารถเรียกเทพตนอื่นมาได้อีกต่อไป คิดมาถึงตรงนี้ สองหมัดก็กำแน่น เขาตัดสินใจพลาดไปเสียแล้ว
“ฮึ๋ย!”
เสียงต่ำดังคำรามพร้อมหันหลังออกจากห้อง ผ้าคลุมสีดำที่เพิ่งแห้งสะบัดพลิ้วตามแรงเหวี่ยง วันนี้เขากลับมาสวมชุดสีกรมเหมือนเช่นเคย
…
หลังจากชนะเทพบุตรคิกิ ชุนก็รู้สึกถึงพลังเวทในร่างที่เปลี่ยนไป อาจารย์ของตนได้เตือนเรื่องนี้ไว้ แสดงว่าไว้ คงเป็นเรื่องสำคัญอย่างแน่นอน
ระยะทางจากคฤหาสน์ไปยังเกาะยุยถือว่าไกลพอควร แต่ด้วยความเร็วของเพกัส จึงช่วยย่นระยะเวลาได้กว่าครึ่งหนึ่ง พวกเขานั่งอยู่บนหลังม้าอสูร พลางชมทิวทัศน์เบื้องหน้าสีฟ้าคราม ก้มมองด้านล่างเห็นก้อนเมฆหนาปกคลุมเป็นปุยขาว
“สวยจังเลยนะครับ ดูก้อนเมฆข้างล่างสิครับคุณชุน”
ลินจินั่งอยู่ด้านหน้าชี้ไม้ชี้มือให้ดู ชุนนั่งอยู่ด้านหลังก็มองตาม
“สวยจังเลยนะครับ ดูก้อนเมฆด้านล่างสิคุณชุน…”
ชุนเลียนแบบน้ำเสียงเช่นนั้นออกมาบ้าง ลินจิจึงกระตุกปากหันไปบอกว่า “บ้า” เสียงดัง
อันที่จริงเขารู้สึกชอบที่ชุนเป็นแบบนี้ เมื่อก่อนอีกฝ่ายชอบวางก้าม ปากร้าย ขี้โมโห แถมยังชอบใช้กำลัง คิดได้เช่นนั้นก็เพิ่งรู้ตัวว่าไม่น่าหลงชอบเลย พอลินจิถอนหายใจออกมาเบา ๆ ชุนก็เอ่ยถาม
“เจ้าเป็นอะไร”
น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ให้ตายสิ ทำไมต้องเขินด้วยเนี่ย ฮิฮิ
ลินจิหันมายิ้ม ส่ายหน้า บอกว่า “เปล่าครับ”
คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน สีหน้าของเทพตนนี้แปลกประหลาดสิ้นดี
ลินจิรู้ตัวว่าเผลอทำตัวเขินอายอย่างเปิดเผย จึงหุบยิ้ม เหลียวหลังอีกครั้งแล้วถลึงตาใส่
ชุนเห็นก็สะดุ้งตกใจ ถามว่า “มองอะไรกัน”
ลินจิเหยียดปากก่อนหันไป บ่นในใจว่ามองไม่ได้เหรอไง หน้าไม่ได้แปะป้ายว่าห้ามมองสักหน่อย
จู่ ๆ เพกัสก็บินต่ำลง ลินจิจึงร้อง “อ๊ะ!” อย่างตกใจ
“ถึงแล้วเหรอเพกัส”
“ไม่เห็นเหรอไง เกาะอยู่ข้างล่าง”
ชุนกอดอกตอบจากด้านหลัง ลินจิแอบเบ้ปากไม่ให้เห็น ใครจะไปรู้กันว่าเกาะชื่ออะไร ที่นี่มีแค่เกาะเดียวหรือไงกัน
พอเพกัสติ่งตัวลง เกาะสีเขียวล้อมด้วยสีน้ำตาลอ่อนของหาดทรายก็ชัดขึ้นในระยะสายตา มองจากตรงนี้เห็นเป็นเพียงเกาะเล็ก ๆ ไม่ใหญ่มาก มีภูเขา และป่าไม้กระจุกเป็นหย่อม ๆ จากนั้นเพกัสก็ร่อนสู่พื้นอย่างนิ่มนวล
ตอนที่ลินจิลงจากหลังของเพกัส ก็สังเกตเห็นหมู่บ้านตั้งอยู่ไม่ไกล เช่นนั้นจึงชี้ให้ชุนดู
“คุณชุน ไปตรงนั้นกันเถอะ”
“อืม”
ชุนก้าวขาลงจากเพกัส พยักหน้าตอบ มองเทพเจ้าหนุ่มน้อยวิ่งกางแขนเหมือนคนเสียสติอยู่ด้านหน้า ตนเกรงว่าชาวบ้านจะเข้าใจผิดว่าเป็นคนบ้าจึงกล่าวเตือน
“เจ้าเดินให้มันดี ๆ หน่อย”
ลินจิหันหน้ามอง ตาดำคล้ำ เมื่อคืนเขามัวแต่คิดเรื่องแหวนแต่งงานที่ชุนมอบให้
ชุนสะดุ้งถอยหลังตกใจ อยากจะบอกว่าเหมือนศพก็เกรงฝ่ายนั้นจะโกรธ จึงเลือกใช้คำอื่น
“เจ้าเป็นอะไร ทำไมหน้าตาอย่างกับคนไม่ได้นอน”
“อ๋อ…เปล่าครับ”
ตอบแล้ว ลินจิก็วิ่งเข้ามาเดินข้าง ๆ เพกัส คิดว่าเรื่องแบบนี้จะให้ชุนรู้ไม่ได้ แต่เขาก็สงสัย เรื่องเมื่อคืนมันคืออะไรกัน ขอแต่งงาน ขอหมั้น แล้วคู่หมั้นของอีกฝ่ายล่ะ คิดไปก็ไม่ได้คำตอบ แถมยังอยากรู้มากกว่าเดิม ระหว่างเดินเข้าหมู่บ้าน ลินจิก็ทนไม่ไหวจึงเปิดปากถาม
“คุณชุน แล้ว… แล้ว… เมื่อคืนมันคืออะไรเหรอครับ”
ถามไปบิดตัวไป ชุนได้ยินเช่นนั้นก็บ่นในใจ เทพตนนี้สมองเสื่อมหรืออย่างไร เมื่อคืนตนก็บอกไปแล้วว่ามันคือการทำพันธสัญญา
“เวทพันธสัญญาระหว่างผู้อัญเชิญกับเทพเจ้า เจ้าถามทำไม”
กล่าวจบชุนก็ปรายตามองอีกฝั่ง เป็นบ้าหรือ เดินดี ๆ ไม่ได้หรืออย่างไรกัน แต่พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง เทพตนนี้เรียกได้ว่าหูรั่ว จำพวกฟังหูซ้ายทะลุหูขวา พูดก็เสียน้ำลายเปล่า เมื่อครู่เขาก็เตือนแล้วครั้งหนึ่ง
ขณะนั้นลินจิก็เหล่หางตาสำรวจท่าทีของชุน จริงหรือ แค่นั้นจริง ๆ หรือ โกหกหรือเปล่า การสวมแหวนนิ้วนางมันคือการขอแต่งงานชัด ๆ หรือว่าอายเลยไม่กล้าบอกเขาตรง ๆ
“แหม… ปากแข็งเหลือเกินนะครับ”
ปากยื่นเอ่ยอย่างงอน ๆ พอรู้ตัวว่าชุนมองมาลินจิก็แสร้งเบนสายตาไปอีกฝั่ง เมื่อมั่นใจว่าตนไม่ได้ถูกมองแล้วจึงหันกลับมา แต่ชุนก็ยังเมินเฉย สีหน้าไม่แสดงอาการเคอะเขินแต่อย่างใด เห็นเช่นนั้นลินจิก็อารมณ์เสียขึ้นมา
…หน็อย คอยดูนะ คนปากแข็ง
เมื่อเข้ามาถึงหมู่บ้าน ภาพผู้คนมารวมตัวกันสองข้างทางก็ทำให้ลินจิตกใจ บ้านไม้หลังเล็กหลังใหญ่ที่เห็นเมื่อครู่ถูกบดบังด้วยฝูงคน บ้างพนมมือ บ้างคุยกัน แต่สายตาของทุกคนก็จับจ้องมายังพวกเขา
ท่านเทพ
ท่านเทพสินะ
ใช่จริง ๆ ด้วย
หน้าเหมือนกับรูปปั้นสักการบูชาเลย
นั่นมันม้าอสูรในตำนานนี่
ใช่แล้ว เป็นบุญตาเหลือเกิน
“อึ๋ย!... เค้าไหว้เราด้วย”
ลินจิกระตุกผ้าคลุมด้านหน้า ทว่าชุนก็รีบเดินตัวปลิว เมื่อสังเกตดูก็พบว่า ประชากรหญิงมีน้อยมาก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นชายหนุ่ม อายุรุ่นราวคราวเดียวกับชุน หรือไม่ก็มากกว่านั้น ส่วนคนชราก็มีประปราย
“คนเยอะจังเลยนะครับคุณชุน”
ลินจิมองซ้ายขวา พูดด้วยน้ำเสียงลิงโลด ทว่าสีหน้าชุนบ่งบอกชัดเจนว่าอารมณ์ไม่ดีสุด ๆ
“นั่นสิ เจ้าก็ดื่มด่ำไปกับฝูงชนแล้วกัน”
น้ำเสียงเขาราบเรียบ อันที่จริงชุนกำลังสับสนเล็กน้อย เวลาเห็นลินจิถูกจับจ้อง ตนก็มักจะรู้สึกแย่ขึ้นมา อย่างตอนนี้ก็รู้สึกคิดมากจนน้อยใจ ถ้าเทพอัญเชิญของตนไปลุ่มหลงในตัวมนุษย์อื่น เขาก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเช่นกัน พอได้สติก็พบว่า ตนเผลอคิดแบบสุนัขหวงนายไปเสียแล้ว
ขณะนั้นลินจิก็ได้ยินเสียงกึกกักจากด้านหลัง จึงหันไปมอง ตอนแรกนึกว่าเป็นเสียงฝีเท้าของเพกัส แต่กลับไม่ใช่ มีวัวกำลังเดินมาจากทางด้านหลังพร้อมตู้ไม้ขนาดใหญ่ เห็นมู่ลี่ตกแต่งกวัดไกว จึงเดาออกว่าเป็นรถเทียมวัว ลินจิรีบยกนิ้วชี้
“อ๊ะ นั่น รถเทียมวัวกำลังมาทางนี้แน่ะ”
ชุนเหลียวมองครู่หนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ เขาเคยเห็นจนเบื่อแล้ว
“รถเทียมวัวของตระกูลจิฮาดะ”
เสียงชาวบ้านคนหนึ่งดังขึ้น
พอลินจิหยุดมองรถกับเพกัส ชุนจึงหยุดตาม ก่อนจะเดินกลับแล้วมาถามว่า
“มีอะไร”
ลินจิคิดเล็กคิดน้อย เงยหน้ายิ้มกล่าว
“ก็แหม ผมเคยเห็นแต่ในรูปนี่ครับ ขอหยุดดูรถเดินผ่านแป๊บเดียวได้เปล่าครับ”
ชุนเพ่งมอง ขมวดคิ้ว
ลินจิกำสองมือแนบอกทำเสียงออดอ้อนว่า “นะนะ”
“ก็ได้”
“ขอบคุณคร้าบ”
ลินจิลากเสียงยาวอย่างดีใจ
ตอนนั้นชาวบ้านก็ฮือฮาอยู่สองข้างทาง ทำตาเป็นประกาย พากันเบียดเสียดเพื่อดันตัวเองไปข้างหน้าให้มากที่สุด พอมีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งทำท่าจะเข้ามาใกล้ เพกัสก็เปล่งไฟตรงหลังคอ ชาวบ้านตกใจรีบกรูถอยห่างทันที ทว่าสายตาก็ยังจับจ้องมาทางลินจิราวกับพบเจอสิ่งแปลกประหลาด
ไม่นานรถเทียมวัวก็เข้ามาใกล้ พวกเขาจึงหลบตรงไหล่ทางโดยมีเพกัสกั้นระหว่างชาวบ้านไว้ ลินจิเฝ้ามองอย่างตื่นเต้น ดวงตาทอประกาย ทว่ารถเทียมวัวก็หยุดกึกอยู่ตรงหน้าพวกเขา จากนั้นชายหนุ่มบนหลังวัวจึงเดินลงมา
“ขออภัยที่เสียมารยาท ข้าเป็นบ่าวของตระกูลจิฮาดะ”
“จิฮาดะ อย่างนั้นหรือ”
ชุนรีบถามกลับ เขามาที่เกาะยุยเพื่อที่จะถามเรื่องดาบและพลังเวทกับท่านจิฮาดะ ถือว่าโชคดียิ่งนักที่ไม่ต้องออกตามหา
“นายน้อยต้องการพบท่านชุน รบกวนท่านตามมาด้วยขอรับ”
พูดจบ บ่าวผู้นั้นก็ผายมือไปยังรถวัวเทียม ชุนเห็นท่าทีเชื้อเชิญของอีกฝ่าย ก็เกรงว่าปฏิเสธไปจะเสียมารยาท จึงเดินตามบ่าวคนนั้นไป ก่อนจะก้าวขึ้นรถเทียมวัว สักพักเสียงกรุ๊งกริ๊งก็ดังจากออกมาจากด้านใน
“เจ้าก็มาด้วยสิ”
พอชุนแหวกมู่ลี่ออกมาเล็กน้อยกล่าวชวน ลินจิก็หันไปมองเพกัส ตอนนั้นบ่าวใช้ก็พูดแทรกว่า
“ท่านชายอยู่ด้านใน ขออภัยด้วยที่รถเทียมวัวคันนี้นั่งได้เพียงสองคนเท่านั้น ถ้าอีกคนจะนั่งกรุณานั่งบนหลังวัวขอรับ”
ลินจิมองจิกด้วยหางตา เดาะลิ้นอย่างอารมณ์เสีย
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมนั่งอาชาอสูรในตำนานไปก็ได้ นั่งบนเศษไม้ผุ ๆ ไม่แน่ใจว่าล่วงลงมาเมื่อไหร่เหมือนกัน”
ลินจิเบะปาก กอดอกปรายตามองบ่าวใช้หน้าตาดีคนนั้น ก่อนจะสะบัดหน้าเชอะใส่ พร้อมกับก่นด่าในใจ หล่อเสียเปล่า ตาถั่วเสียจริง ไม่รู้เหรอไงว่าเขาเป็นเทพเจ้า ขนาดชาวบ้านธรรมดาสามัญชนยังรู้เลย
เมื่อหันกลับไปก็พบว่ารถเทียมวัวออกตัวไปแล้ว ตอนนั้นชุนก็แหวกมู่ลี่ชะเง้อเหลียวมองมา ไม้ทำมือประมาณว่า ตามมาสิ มั่วทำอะไรอยู่
“…”
ลินจิกัดฟัน รีบปีนขึ้นหลังเพกัสทันที
“รีบไปกันเถอะ…”
ว่าแล้วเพกัสก็ออกตัวตามรถวัวเทียมข้างหน้าไป
เมื่อม้าอสูรเทียบเคียงรถเทียมวัว ลินจิก็ถามผ่านมู่ลี่อย่างเป็นกังวล
“จะไปไหนกันเหรอ”
ทว่ากลับมีเสียงเด็กหนุ่มไม่คุ้นหูตอบออกมา
“ไปคฤหาสน์ของข้า ท่านโมโมะเพิ่งส่งสารผ่านผีเสื้อมาเมื่อคืนนี้เอง ขออภัยท่านเทพด้วย ข้าไม่ทราบมาก่อนว่าพวกท่านมากันสองคน จึงไม่ได้เตรียมรถมาเผื่อ”
จู่ ๆ เพกัสร้องฮี่ ๆ แล้วเร่งความเร็วขึ้นมา ลินจิจึงใช้มือทำท่าให้เงียบลง ก่อนจะเหลียวมองด้านหลัง ทว่าตอนนั้นเขาก็เห็นผิวขาวเนียนของเด็กหนุ่มอยู่เบื้องหลังมู่ลี่ที่สะบัดเปิดขึ้น และเงาของชุนที่นั่งอยู่อีกฝั่ง
ลินจิหรี่ตามองเงานั้นอย่างสงสัยทันที