CLS ตอนที่ 3 น้าสาวผู้กดขี่
#3: น้าสาวผู้กดขี่
รวมทั้งอี้เทียนหยุนยังสังเกตว่ามีโหมดคลั่งอีกด้วย เขาจึงรีบตรวจสอบคุณสมบัติของมันโดยพลัน
“เอ๋ โหมดคลั่งมันคืออะไรนะ?” อี้เทียนหยุนตรวจสอบโหมดคลั่ง ทันใดนั้นรายละเอียดของมันก็ปรากฎขึ้นมาทันที
โหมดคลั่ง: สามารถเพิ่มพลังให้กับอะไรก็ได้ 2 เท่า! ไม่ว่าจะเป็นจำนวนเม็ดยาที่หลอมได้ พลังโจมตี พลังบ่มเพาะ ค่าประสบการณ์.....
“อะไรนะ เพิ่มพลัง 2 เท่า นี่แค่เลเวล 1 เองนะ? ถ้าเลเวลของมันเพิ่มขึ้นมากกว่านี้ ไม่รู้ว่าจะเพิ่มได้มากแค่ไหน.....” อี้เทียนหยุนแทบน้ำลายหก สมแล้วที่เป็นพลังของความสามารถศักดิ์สิทธิ์!
เมื่อเปิดใช้งานจะสูญเสียแต้มความคลั่ง หลังจากนั้นจะเสียแต้มความคลั่งเป็นสองเท่าทุกนาที! เมื่อเขาเห็นการผลาญแต้มของมัน ใบหน้าของเขาก็พลันจมลง ผลาญแต้มทุกนาที!(อันนี้ไม่ชัวร์นะครับ รอการอธิบายในบทต่อไป)
ผลาญแต้มทุกนาที ตอนนี้เขามีแต้มอยู่ 5 แต้ม ถ้าใช้แต้มคงถูกผลาญหมดในพริบตาแน่! แต้มนี้ฆ่าฟางเฉินถึงจะได้มา นี่คงจะเป็นคะแนนเพียงเล็กน้อยใช่ไหม?
“ฟางเฉิน..... ตายแล้ว? เจ้า เจ้าฆ่าฟางเฉิน!” จ้าวห่าวที่อยู่ใกล้ๆ ตรวจสอบดู พบว่าฟางเฉินตายแล้ว ก็พลันทรุดตัวลง หอบหายใจกับพื้น
อี้เทียนหยุนไม่ประหลาดใจ เขาถูกมีดอาบยาพิษของตัวเองเข้าไป ต่อให้ไม่อยากจะตายก็ยาก ใครใช้ให้มันลอบโจมตีเขากันล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะระดับของเขาสูงกว่าล่ะก็ คนที่จะตายคงเป็นเขา ไม่ใช่ฟางเฉิน
เขาย่อมไม่ปรานีกับคนที่ดูหมิ่นน้าของเขาอยู่แล้ว เขาไม่มีทางปล่อยมันไปอย่างแน่นอน!
“ข้าฆ่ามันแล้วทำไม? มันต้องการสังหารข้า แล้วข้าจะทำบ้างไม่ได้เชียวเหรอ!” อี้เทียนหยุนมองไปที่เขาด้วยสายตาเย็นชา
“เกิดอะไรขึ้น?”
ด้วยเสียงร้องโหยหวน ทำให้ดึงดูดความสนใจของคนอื่น จึงทำให้มีบางคนรีบมายังที่นี่อย่างรวดเร็ว ศิษย์ตำหนักเทียนเฉวียนที่มาถึงคนแรกเมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้าก็เอามือปิดปากด้วยความตกใจ เธอเห็นฟางเฉินนอนอยู่ที่พื้น ที่หน้าอกมีมีดปักอยู่ ตัวแข็งทื่อ
ฝั่งตรงข้ามเป็นอี้เทียนหยุนที่ในมือถือทวนยาวไว้ในมือยืนอยู่ สีหน้าเคร่งขรึมเหมือนว่าเรื่องที่นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา
ชิเสวี่ยอวิ๋นก็ตามเสียงกรีดร้องมาถึงอย่างรวดเร็ว เพราะว่าเธอมาที่สนามฝึกของอี้เทียนหยุนบ่อยครั้ง ดังนั้นจึงมีปฏิกิริยาอย่างว่องไวราวกับสายฟ้า แต่เมื่อเธอเห็นสถานการณ์ตรงหน้าก็พลันตกตะลึง เธอเห็นคน 3 คนที่ไม่ใช่ศิษย์ตำหนักเทียนเฉวียนทรุดลงกับพื้น กระทั่งมีคนตาย
แต่เมื่อมองเห็นอี้เทียนหยุนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกำลังถือทวนยาว เธอก็พลันรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เธอรู้ว่าฟางเฉินและพวกถูกอี้เทียนหยุนจัดการ
“เจ้าตำหนักชิ เกิดอะไรขึ้น..... ฟางเฉิน!” หลังจากนั้นก็มีคนกลุ่มหนึ่งตามมา คนที่นำมาเป็นคนแรกคือผู้อาวุโสรองของนิกายเทียนหลิง เมื่อเขาร่างที่นอนอยู่ที่พื้นสีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนไป
“น้องชาย!” ในตอนนี้เอง ได้มีคนๆ หนึ่งพุ่งเข้ามาอย่างไว เขาอุ้มร่างฟางเฉินขึ้น หลังจากตรวจดูแล้ว เขาก็พบว่าฟางเฉินได้ตายไปแล้ว
“น้องชาย ตายแล้ว.....” ฟางหยุนสายตาเย็นชา หันไปจ้องอี้เทียนหยุน พูดอย่างเดือดดาลว่า “เจ้าคือคนที่สังหารน้องชายข้าใช่ไหม!”
เด็กหนุ่มคนนี้ก็คือพี่ชายของฟางเฉิน ฟางหยุน พรสวรรค์ของเขาแข็งแกร่งกว่าฟางเฉิน ตอนนี้พลังของเขาได้มาถึงระดับปรังแต่งกายาขั้นที่ 7 แล้ว เมื่อเทียบกับฟางเฉินแล้ว นับว่าสูงกว่ามากนัก ในเหล่าศิษย์ของนิกายเทียนหลิง นับว่าเป็นศิษย์ที่โดดเด่นคนหนึ่ง
“พวกมันต้องการแย่งชิงเม็ดยาเลือดมังกรศักดิ์สิทธิ์ของข้า แต่ข้าไม่ยอม ดังนั้นจึงเกิดการแย่งชิงขึ้น ข้าจึงได้ตอบโต้” อี้เทียนหยุนถือทวนยาวตอบกลับพวกเขาอย่างเย็นชา
“พะ พวกเราไม่ได้แย่งชิงเม็ดยาเลือดมังกรศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าสักหน่อย เจ้าใส่ความพวกเรา..... เมื่อพวกเรามาถึงจู่ๆ เจ้าก็เข้ามาโจมตีพวกเรา.....” จ้าวห่าวที่อยู่ใกล้ๆ เริ่มบิดเบือนความจริง แม้จะได้รับบาดเจ็บหนัก แต่ในสายตาของเขาไม่ได้ลดความเกลียดชังลงแม้แต่น้อย เป็นไปไม่ได้ที่จะประนีประนอมกัน
“ใช่แล้ว พวกเราเพิ่งมาถึง แต่ใครจะรู้ว่าเขากลับบอกว่าที่นี่เป็นที่ของเขา จากนั้นก็โจมตีเข้ามา พวกเราไม่ทันได้ตั้งตัวจึงถูกเขาโจมตี.....” เด็กหนุ่มอีกคนที่สลบไปก่อนหน้าได้ลุกขึ้นมา มีผู้อาวุโสสนับสนุน พวกเขายังต้องกลัวอะไรอีก
ทำไมฟางหยุนจะไม่รู้ว่าฟางเฉินมีสันดานยังไง แน่นอนว่าต้องเป็นเพราะต้องการขโมยเม็ดยาเลือดมังกรศักดิ์สิทธิ์อย่างแน่นอน ของสิ่งนี้นับว่าล้ำค่ามาก มันสามารถเพิ่มเลือดฉีให้จำนวนมาก สำหรับผู้ที่มีพลังอยู่ในระดับสูงมันไม่นับว่าเป็นอะไร แต่กับพวกมีพลังอยู่ในระดับต่ำ มันกลับให้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมมาก
เมื่อพลังอยู่ในระดับต่ำ จำเป็นต้องใช้เลือดฉีในปริมาณมาก ยิ่งกับพวกที่อยู่ในระดับปรับแต่งกายาด้วยแล้วยิ่งสำคัญ! เพราะการจะทะลวงผ่านระดับจากระดับปรับแต่งกายาขึ้นไปยังระดับต่อไป จำเป็นต้องใช้เลือดฉีมหาศาล
แต่พวกเขาไม่เต็มใจที่จะยอมรับว่าศิษย์ของพวกเขาเป็นคนผิดที่คิดจะขโมยเม็ดยาเลือดมังกรศักดิ์สิทธิ์! โดยเฉพาะฟางเฉินที่ตายไปแล้ว ยิ่งเป็นเรื่องง่ายที่นิกายเทียนหลิงของพวกเขาจะปัดเรื่องให้พ้นตัว
“คนของพวกเราจะขโมยเม็ดยาเลือดมังกรศักดิ์สิทธิ์ได้ยังไงกัน!” ผู้อาวุโสรองของนิกายเทียนหลิง จ้าวฮัวหลงออกหน้า พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าตำหนักชิ ท่านต้องมีคำอธิบายให้พวกเรา! พวกเราให้ศิษย์ที่โดดเด่นมาเข้าร่วมตำหนักเทียนเฉวียนเพื่อแสดงถึงความสัมพันธ์อันดีของสองสำนัก แต่ไม่คิดว่ากลับต้องมาเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ เจ้าตำหนักชิ ท่านอยากจะทำลายความสัมพันธ์ของพวกเราอย่างงั้นเหรอ!”
เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะอี้เทียนหยุน แต่ความรับผิดชอบกลับมามาตกอยู่ที่ชิเสวี่ยอวิ๋น ศิษย์ตำหนักเทียนเฉวียนหลายคนต่างพากันมองหน้ากันด้วยสายตาว่างเปล่า ดวงตาของแต่ละเผยความเดือดดาลและไม่พอใจ แต่ละคนรู้ว่าฐานะของนิกายเทียนหลิงไม่ต่ำทราม ถ้าคิดจะหาเรื่องนิกายเทียนหลิง ตำหนักเทียนเฉวียนของพวกเธอคงไม่สบายแน่
ชิเสวี่ยอวิ๋นมองไปที่พวกเขาอย่างเย็นชา อี้เทียนหยุนเป็นคนยังไงทำไมเธอจะไม่รู้ ถ้าไม่มีคนไปตอแยเขา เขาจะไม่เป็นคนลงมือก่อนเด็ดขาด คงจะเป็นอย่างที่อี้เทียนหยุนบอกไว้จริงๆ พวกเขาคงต้องการขโมยเม็ดยาเลือดมังกรศักดิ์สิทธิ์เป็นแน่!
ชิเสวี่ยอวิ๋นเชื่ออี้เทียนหยุน แต่คนอื่นไม่เชื่อ กระทั่งศิษย์คนอื่นของตำหนักเทียนเฉวียนก็ยังไม่เชื่อ ถึงแม้เรื่องที่อี้เทียนหยุนทำจะไม่ถึงกับทำลายความสัมพันธ์ของสองสำนัก แต่ถ้ามันแย่ลงก็เท่ากับเป็นการสร้างศัตรูแล้ว
“เจ้าต้องการอะไร?” ชิเสวี่ยอวิ๋นไม่คิดจะแย้งอะไรแทนอี้เทียนหยุน ผู้อาวุโสรองของนิกายเทียนหลิง จ้าวฮัวหลงคนนี้แค่ต้องการโยนเรื่องมาให้พวกเขา แย้งไปก็ไม่ได้ช่วยอะไร
“ข้าต้องการประลองตัดสินเป็นตายกับมัน!” ฟางหยุนลุกขึ้นมองไปยังอี้เทียนหยุนอย่างเย็นชา “เจ้าสังหารน้องชายของข้า ข้าต้องการประลองตัดสินเป็นตายกับเจ้า!”
จ้าวฮัวหลงที่อยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้นมาอย่างจริงจัง “ดี ความร่วมมือและข้อตกลงของพวกเราก่อนหน้าจะยังคงไม่เปลี่ยน ตราบเท่าที่ยังไม่เข้าไปยังซากโบราณสถานก็จะไม่ถูกลงโทษ! แต่มาตอนนี้เขาทำร้ายศิษย์ของเรา กระทั่งสังหารฟางเฉิน การจะให้เลิกแล้วต่อกันเป็นไปไม่ได้ พวกเรามาดวลกันแบบยุติธรรม ให้เขาเป็นตัวแทนที่จะเข้าประลอง ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะให้เลิกแล้วต่อกัน!”
แผนร้ายเปิดเผยออกมาทันที พวกเขารู้ถึงสถานการณ์ของอี้เทียนหยุนดี ผู้ซึ่งแทบจะปราศจากเลือดฉี ต่อให้ระดับดียังไง ก็มีแต่หนทางพ่ายแพ้อยู่ดี ให้มันขึ้นประลองครั้งหนึ่ง นี่ไม่เท่ากับตำหนักเทียนเฉวียนมอบชัยชนะให้กับพวกเขาหนึ่งครั้งอย่างงั้นเหรอ?
ชิเสวี่ยอวิ๋นขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เขาไม่ได้เป็นหนึ่งในตัวแทน โปรดเลือกศิษย์คนอื่น”
เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะให้อี้เทียนหยุนขึ้นประลอง เลือดฉีของเขาย่ำแย่อย่างมาก ถ้าเป็นการต่อสู้ธรรมดาก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าเป็นการต่อสู้ที่ต้องดิ้นรนล่ะก็ เขาจะต้องทนไม่ไหวอย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น เขาอาจกระทั่งเสียชีวิต แล้วแบบนี้เธอจะให้อี้เทียนหยุนขึ้นเวทีได้ยังไง?
จ้าวฮัวหลงพูดอย่างเยาะเย้ย “เจ้าตำหนักชิ เรื่องนี้ท่านไม่สามารถปฏิเสธได้ เป็นเขาที่ท้าทายอำนาจของพวกเรานิกายเทียนหลิงเอง! ดูท่าแล้วท่านคงอยากจะทำลายความสัมพันธ์ของสำนักพวกเราอย่างนั้นสินะ?”
ข่มขู่ นี่เป็นการข่มขู่อย่างชัดเจน!
“ยังไงก็ไม่ได้! นอกจากเขาแล้ว จะเลือกใครก็ได้!” ชิเสวี่ยอวิ๋นยังคงยืนกราน
คนของนิกายเทียนหลิงมองไปอี้เทียนหยุนด้วยสายตาดูถูก ทั้งยังเต็มไปด้วยความยั่วยุ จากท่าทางปกป้องของชิเสวี่ยอวิ๋นแล้ว ดูท่าข้อมูลที่แพร่ออกไปว่าอี้เทียนหยุนคนนี้เป็นขยะ เลือดฉีไม่เพียงพอนั้นจะเป็นเรื่องจริง ถ้าให้เขาขึ้นไปต่อสู้ เขาจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย นี่จะทำให้ตำหนักเทียนเฉวียนเป็นฝ่ายแพ้
ตอนนี้ไม่เพียงแต่คนของนิกายเทียนหลิงเท่านั้นที่มองมาที่อี้เทียนหยุนอย่างดูถูก ศิษย์ของตำหนักเทียนเฉวียนก็มองมาที่อี้เทียนหยุนอย่างไม่พอใจเหมือนกัน เรื่องแย่ๆ นี้ตัวเขาเป็นคนก่อขึ้น แล้วแบบนี้จะให้พวกเธอพอใจได้ยังไง!
“ข้ารู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร ถ้าข้าจำไม่ผิดล่ะก็ เขาคงจะเป็นบุตรชายของเจ้าตำหนักคนก่อนใช่หรือไม่ ข้างนอกลือกันว่าเลือดฉีของเขาไม่เพียงพอ อีกไม่นานก็จะตายแล้ว ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าตำหนักชิจะไม่ยอมให้เขาขึ้นประลอง เมื่อคิดอย่างนี้ การที่จะให้คนที่เลือดฉีไม่เพียงพอขึ้นประลองก็เท่ากับหยิบยื่นชัยชนะให้กับพวกเรา แต่การประลองนี้พวกเราไม่ได้เป็นคนเริ่ม ต่อให้จะเป็นขยะ เขาก็จะต้องขึ้นประลอง ไม่อย่างนั้นจะถือว่าดูหมิ่นพวกเรานิกายเทียนหลิง!”
การอธิบายยืดยาวนี้ พูดไปแล้วก็เพื่อต้องการสิทธิ์ในการเข้าไปยังซากโบราณสถาน ระดับความไร้ยางอาย เมื่อเทียบกับหิมะที่กองสุมอยู่ข้างนอกแล้วนับว่าหนากว่ามาก
ทันใดนั้น พลังกดขี่ก็ได้พุ่งออกมาจากร่างของชิเสวี่ยอวิ๋น ปกคลุมไปทั่วบริเวณ หิมะที่อยู่รอบๆ ถูกพัดปลิว กลายเป็นละอองที่ล่องอยู่บนฟ้าก่อนที่จะตกลงมา ท่าทางที่แสดงออกมาของเธอทำให้สถานการณ์ตรงหน้ากลายเป็นตรึงเครียดในพริบตา
นี่คือพลังกดขี่ของผู้เชี่ยวชาญระดับหลอมรวมขั้นสูงสุด!
และในขณะนั้นเอง ชิเสวี่ยอวิ๋นก็ได้พุ่งไปปรากฎยังตรงหน้าของจ้าวฮัวหลงอย่างรวดเร็ว โดยไม่ทันให้ฝั่งตรงข้ามได้ตั้งตัว เธอก็เคลื่อนไหว เสียง “เพี๊ยะ” ดังออกมา จนคนที่อยู่ในสนามหญ้าพากันได้ยิน
หลังจากฟาดฝ่ามือนี้ออกไป ชิเสวี่ยอวิ๋นก็กลับมายังตำแหน่งเดิมตรงด้านหน้าของอี้เทียนหยุนในพริบตา ชุดสีขาวของเธอกระพือเล็กน้อย ร่างกายไม่แม้แต่จะมีร่องรอยแห่งความสับสนแม้แต่นิด กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยเข้าจมูกของอี้เทียนหยุน ทำให้เขารู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก แต่บนใบหน้าของจ้าวฮัวหลงในตอนนี้ได้ปรากฎรอยฝ่ามือห้านิ้วประทับอยู่อย่างเด่นชัด เขาโมโหขึ้นมา นี่ไม่เพียงแต่จะถูกตบหน้าเท่านั้น แต่เป็นการดูถูกเขาอีกด้วย
ไม่มีใครคิดว่าชิเสวี่ยอวิ๋นจะทำอย่างนี้ อยู่ๆ ก็เข้าไปตบหน้าจ้าวฮัวหลง ตบนี้ไม่เพียงแต่ตบลงบนหน้าของเขาเท่านั้น แต่ยังตบลงไปยังศักดิ์ศรีของเขาด้วย แล้วแบบนี้มันจะเป็นยังไงต่อละทีนี่?
“เจ้าตำหนักชิ นี่หมายความว่ายังไง นี่ท่านไม่กลัวว่าจะเป็นการทำลายสัมพันธ์ของสองสำนักอย่างงั้นเหรอ!” จ้าวฮัวหลงตะคอกออกมาจนคอแดงก่ำ ความรู้สึกข้างในเดือดดาลถึงขีดสุด แต่พลังของชิเสวี่ยอวิ๋นน่ากลัวเกินไป จนเขาไม่กล้าลงมือกับเธอในตอนนี้
“อะไรที่ควรพูด อะไรไม่ควรพูด ผู้อาวุโสจ้าวไม่รู้เหรอ? ท่านบอกว่าเขาเป็นขยะ แล้วถ้าเขาเป็นขยะ ลูกศิษย์ที่นอนตายอยู่บนพื้นของท่านไม่ยิ่งกว่าขยะอย่างงั้นเหรอ?” เสียงของชิเสวี่ยอวิ๋นเย็นชาอย่างยิ่ง ถ้าจ้าวฮัวหลงไม่ใช่ผู้อาวุโสของนิกายเทียนหลิงล่ะก็ เขาจะไม่เพียงแค่ถูกเธอตบแล้วเลิกราแค่นี้แน่
อี้เทียนหยุนคือเกล็ดย้อนของเธอ ใครทำร้ายเขา มันผู้นั้นต้องตาย!
อี้เทียนหยุนก็พลันสั่นสะท้าน นี่คือน้าของเขา น้าที่ยืนอยู่ข้างหน้าเขา น้าที่กำลังปกป้องเขา