ตอนที่แล้วCLS ตอนที่ 11 หมัดเดียว!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปCLS ตอนที่ 13 ความสามารถศักดิ์สิทธิ์อีกอัน!

CLS ตอนที่ 12 ขับไล่


#12: ขับไล่

 

“นี่ช่างง่ายดายจริงๆ แค่นี้ก็สำเร็จภารกิจแล้ว ทั้งของรางวัลที่ได้ก็ค่อนข้างดี เสื้อเกราะเทียนเสิ่น ทั้งยังเงินอีก 120 ทอง นับว่าพอเพียงแล้ว”

 

กับรางวัลที่ได้นี้ อี้เทียนหยุนพึงพอใจอย่างมาก จะเสียใจก็แต่ไม่มีอะไรตกจากร่างของจ้าวเฟิงเลย ยังไงก็ตาม เขาก็เข้าใจได้ เพราะว่าพวกเขาไม่ใช่บอส ถ้าให้เทียบคงเป็นเพียงสัตว์อสูรตัวเล็กๆ เท่านั้น สิ่งของที่จะตกจากพวกเขาได้จึงมีจำกัด

 

“แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ตอนนี้ข้าก็ได้มาถึงระดับปรับแต่งวิญญาณแล้ว นับเป็นความเร็วในการเพิ่มพลังที่ใช้ได้ทีเดียว” อี้เทียนหยุนพูดถึงเรื่องความเร็วในการเพิ่มระดับของเขา ถ้าคนอื่นรู้เข้าล่ะก็ พวกเขาคงต้องกระอักเลือดออกมาอย่างแน่นอน

 

จากคนที่ไม่มีพื้นฐานพลังอะไรเลย เพียงแค่ครึ่งเดือนก็เข้าสู่ระดับปรับแต่งวิญญาณแล้ว นี่ยังเรียกว่าแค่พอใช้ได้อย่างงั้นเหรอ? นี่มันระดับอัจฉริยะปีศาจแล้ว!

 

ผู้เล่น: อี้เทียนหยุน

เลเวล: เลเวล 11 (ระดับปรับแต่งวิญญาณขั้นที่ 1)

ค่าประสบการณ์: 1,573/30,000

ค่าความคลั่ง: 698

วิชาบ่มเพาะ: เทพอุดรทมิฬ (ระดับมนุษย์ ขั้นต่ำ, ความชำนาญ 378/1,000)

วิชายุทธ์: มหาเวทดูดดาว (ระดับมนุษย์ ขั้นต่ำ, ความชำนาญ 378/1,000), กรงเล็บอินทรี, เพลงกระบี่ขนนกโปรยปราย, ท่าเท้าเหยียบเมฆา

อาวุธ: หมัดเยือกแข็ง (ระดับเหล็ก, ความชำนาญ 77/1,000)

เครื่องสวมใส่: รองเท้าศึกหมาป่าหิมะ

ความสามารถศักดิ์สิทธิ์: โหมดคลั่ง(เลเวล 1, ต้องการค่าความคลั่ง 100,000 เพื่อเพิ่มระดับ)

 

กรงเล็บเหยี่ยวและเพลงกระบี่ขนนกโปรยปรายไม่สามารถเพิ่มระดับได้ ระดับสมบูรณ์ก็แค่มนุษย์ขั้นต่ำ นับว่าค่อนข้างต่ำเลยทีเดียว ประโยชน์ในการใช้สอยนับว่ามีจำกัด ใช้มากไปก็เท่ากับเสียเปล่า

 

ยังไงก็ตาม ตอนนี้รูปแบบของเขาค่อนข้างน้อย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้มัน เห็นค่าความชำนาญที่เพิ่มขึ้นมาอย่างมากก็ให้รู้สึกพอใจ พูดไปแล้วค่าความชำนาญนี้ค่อนข้างต่ำ การสังหารสัตว์อสูรในภูเขาหิมะนั้นเพิ่มค่าความชำนาญได้น้อย เขาเพิ่มระดับได้อย่างรวดเร็ว แต่ค่าความชำนาญกลับมีอยู่ไม่กี่ร้อย

 

ถ้าบัตรค่าประสบการณ์สามารถใช้ได้กับค่าความชำนาญล่ะก็ นั่นคงจะเยี่ยมไปเลย ยังไงก็ตาม ค่าประสบการณ์ก็คือค่าประสบการณ์ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับค่าความชำนาญ

 

ทั้งตอนนี้เขายังสามารถเปิดกล่องของขวัญเลเวล 11 ได้แล้ว กล่องของขวัญนี้ไม่สามารถเปิดได้ที่เลเวล 10 จำเป็นต้องเลเวล 11 ถึงเปิดได้ ยังไงก็ตาม เมื่อเขาได้เข้าสู่ระดับปรับแต่งวิญญาณแล้ว เขาก็สามารถเปิดกล่องของขวัญนี้ได้ เป็นเรื่องปกติที่เขาจะตื่นเต้นในการเปิดกล่องของขวัญ เพราะว่ามันมีสมบัติชิ้นใหญ่อยู่ข้างใน

 

ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดถึงประโยชน์ที่ได้รับ จ้าวฮัวหลงกับพวกที่อยู่ใต้เวทีประลองก็พากันตกใจ

 

“นี่ นี่เป็นไปไม่ได้.....” จ้าวฮัวหลงรู้สึกอึดอัดในอก อยากจะกระอักเลือดออกมา

 

การประลองที่ได้รับชัยชนะทั้ง 3 รอบโดยสมบูรณ์ กับใช้ถุงมือเป็นอาวุธไม่ได้ทำให้เขาคับข้องใจหนักเท่านี้! แต่การที่เขาแสดงวิชาของนิกายพวกเขาได้ นี่มันหมายความว่ายังไง?

 

ไม่เพียงแต่ศิษย์ทั้งสามจะถูกสังหาร แต่ยังต้องเสียสิทธิ์ในการเข้าสู่ซากโบราณสถาน ทั้งยังเสียเม็ดยาไปอีก! นี่ทำให้เขาแทบคลั่ง เขาหวังว่าตัวเองจะสามารถฟาดอี้เทียนหยุนตายคามือ ถ้านี่เป็นข้างนอก เขาคงสังหารอี้เทียนหยุนไปแล้ว

 

“นี่ นี่มันจะร้ายกาจเกินไปแล้ว เมื่อกี้นี้คือท่าเท้าเหยียบเมฆาใช่ไหม? ทำไมอี้เทียนหยุนถึงใช้วิชาลับของนิกายเทียนหลิงได้?”

 

“นี่มันเป็นไปได้ยังไง เขาใช้ท่าเท้าเหยียบเมฆาได้? ยิ่งกว่านั้น ความเร็วที่แสดงออกมายังราวกับเชี่ยวชาญวิชานี้อย่างมาก?”

 

...............................

 

หลังจากผู้คนพากันรู้สึกตัว ความรู้สึกข้างในของพวกเขาก็ให้ตกใจอย่างหาอะไรมาเปรียบไม่ได้ เทียบกับการต่อสู้ 2 ยกก่อน การต่อสู้ครั้งนี้กลับน่าตกใจกว่า! ทำไมศิษย์ตำหนักเทียนเฉวียนถึงใช้วิชาของนิกายเทียนหลิงได้กัน?

 

อี้เทียนหยุนแสดงความเร็วที่เร็วกว่า เหตุผลส่วนใหญ่อยู่ที่เครื่องสวมใส่ของเขา รองเท้าศึกหมาป่าหิมะ บนเท้าของเขานั้นไม่เห็นอะไร แต่ในยามที่วิ่ง มันจะเพิ่มความเร็วให้กับเขาอีกมหาศาล อย่างน้อยความเร็วที่เพิ่มก็ต้องเป็น 2 เท่า ทำให้การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วกว่าที่โม่เฉิงแสดงก่อนหน้า

 

“ผู้อาวุโสจ้าว การประลองนี้ฝ่ายแพ้คือนิกายเทียนหลิงของพวกท่าน!” ชิเสวี่ยอวิ๋นมองไปที่พวกเขาด้วยสายตาเย็นชา ในที่สุดพวกเขาก็แพ้

 

สีหน้าของเหล่าศิษย์นิกายเทียนหลิงเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม ตอนมามาอย่างมาดมั่น แต่ตอนกลับกลับถูกไล่ออกมา ความอับอายครั้งนี้เป็นที่คาดเดาได้

 

“เขา เขาไม่ใช่ศิษย์ตำหนักเทียนเฉวียน! ตำหนักเทียนเฉวียนไม่รับศิษย์ชาย นี่ไม่อยู่ในข้อตกลง!”

 

“ใช่! ตำหนักเทียนเฉวียนรับแต่ศิษย์หญิง ชายคนนี้ยังห่างไกลจากคำว่าศิษย์นัก อย่างดีเขาก็เป็นได้แค่ศิษย์สายนอกเท่านั้น!”

 

.................................

 

ศิษย์นิกายเทียนหลิงคิดจะไม่รักษาสัญญาในการประลองนี้ ตำหนักเทียนเฉวียนรับแต่ศิษย์หญิง ตอนนี้มีผู้ชายโผล่ออกมา แบบนี้จะนับได้ยังไง?

 

กับเหตุผลของคนพวกนี้ อี้เทียนหยุนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกดูถูก ถ้าคิดจะไม่นับ แล้วทำไมตอนแรกถึงให้เขาขึ้นประลองล่ะ? นี่ไม่ใช่เหมือนกับเป็นการตบหน้าจ้าวฮัวหลงหรอกเหรอ?

 

อี้เทียนหยุนอดไม่ได้ที่จะแหย่จ้าวฮัวหลง “ผู้อาวุโสจ้าว ศิษย์ของท่านคิดจะกลับคำแทนท่านแน่ะ?”

 

“เจ้าใช้วิชาที่มีแต่ในนิกายเทียนหลิงของเราได้ยังไง!” จ้าวฮัวหลงหลีกเลี่ยงหัวข้อ เปลี่ยนเป็นจับจ้องไปที่อี้เทียนหยุนด้วยสายตาเย็นชา พร้อมกับถามขึ้น

 

“แค่มองข้าก็เข้าใจได้แล้ว หรือว่าผู้อาวุโสจ้าวคิดว่าข้าไปขโมยมันมาจากนิกายเทียนหลิงของพวกท่าน?” อี้เทียนหยุนพูดอย่างไม่แยแส

 

“ถึงต่อให้ขโมยจริงๆ นั่นก็เท่ากับว่านิกายเทียนหลิงของพวกท่านใช้การไม่ได้เอง!” จากนั้นชิเสวี่ยอวิ๋นก็เสริมขึ้นอีกคำด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ผู้อาวุโสจ้าว ตอนนี้ท่านแพ้แล้ว ยังมีคำอะไรจะพูดอีกไหม!”

 

สีหน้าของจ้าวฮัวหลงกลายเป็นน่าเกลียด เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว จะให้บอกว่าการประลองคราวนี้ไม่นับได้ยังไง ตอนนี้ศิษย์ของเขาตายไป 3 คนแล้ว ทั้งยังมาเสียสิทธิ์ในการเข้าสู่ซากโบราณสถานอีก แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เขาอับอายได้ยังไง

 

จ้าวฮัวหลงจับจ้องไปที่อี้เทียนหยุนอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า “ไม่ว่าเจ้าจะเรียนมายังไง จากนี้ไปห้ามเจ้าใช้วิชาของพวกเราอีก!”

 

นี่เป็นวิชาที่นิกายเทียนหลิงของพวกเขาภาคภูมิใจ แน่นอนว่าไม่ยินยอมให้คนอื่นใช้ออก แต่การจะให้อี้เทียนหยุนทำลายพลังบ่มเพาะของตนทิ้ง เรื่องนี้ก็เป็นไปไม่ได้อีกเช่นกัน

 

“นี่เป็นข้าเรียนของข้าเอง จะใช้หรือไม่ไม่เกี่ยวอะไรกับท่าน” อี้เทียนหยุนพูดอย่างไม่ใส่ใจ “นี่เป็นการประลอง การที่ข้าเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากมันได้ ถือว่าเป็นรางวัลของข้า มันไม่มีกฎเขียนไว้สักหน่อยว่าห้ามลอกเลียนวิชาของคู่ต่อสู้?”

 

จ้าวฮัวหลงจับจ้องไปที่อี้เทียนหยุนที่ดื้อด้าน ในสายตาก็เต็มไปด้วยจิตสังหาร!

 

จากนั้นเขาก็ส่งกล่องเหล็กที่มีเม็ดยาอยู่ข้างในให้กับชิเสวี่ยอวิ๋น ก่อนจะหันกลับ แล้วพูดด้วยสีหน้าอึมครึม “กลับนิกาย!” เขาไม่มีหน้าจะอยู่ที่นี่ต่อ รีบพาศิษย์คนอื่นๆ จากไปอย่างรวดเร็ว

 

เห็นร่างจ้าวฮัวหลงจากไปไกล สายตาของอี้เทียนหยุนเป็นประกาย ความเป็นศัตรูของพวกเขาถือเป็นที่แน่ชัด ยังไงก็ตาม เมื่อเขามองที่เหนือหัวของจ้าวฮัวหลง ชื่อของเขาเป็นสีทองสดใส เขาอยากจะอัดด้วยหมัดของเขาให้มันหมอบไป การสังหารระดับบอส ไม่รู้ว่าสมบัติระดับไหนที่จะระเบิดออกมา

 

หลังจากศิษย์นิกายเทียนหลิงจากไป ศิษย์ตำหนักเทียนเฉวียนก็พากันโห่ร้องให้กับอัจฉริยะของสำนักพวกเธอ การประลองระหว่างสองสำนัก พวกเธอเป็นฝ่ายชนะ! ทั้งหมดนี้เป็นอี้เทียนหยุนที่นำมาให้ ถ้าเปลี่ยนเป็นให้พวกเธอขึ้นไป จะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน พวกเธอไม่อาจเทียบได้กับโม่เฉิง ถ้าให้ขึ้นไปคงมีแต่ความพ่ายแพ้ที่รออยู่

 

“จัดการศิษย์นิกายเทียนหลิงสามคนรวด เทียนหยุน น่ากลัวว่าพลังของเจ้าคงจะเข้าสู่ระดับปรับแต่งกายาขั้นสูงสุดแล้วสินะ!” ชิเสวี่ยอวิ๋นประเมินจากพลังที่อี้เทียนหยุนปะทุออกมา

 

ยังไงก็ตาม นี่ก็เป็นข้อมูลที่เก่าไปแล้ว เพราะว่าตอนนี้เขาอยู่ในระดับปรับแต่งวิญญาณขั้นที่ 1!

 

“นี่..... มันสูงกว่านั้นนิดหน่อย” อี้เทียนหยุนเอามือถูจมูกแล้วยิ้มให้กับชิเสวี่ยอวิ๋น เขาไม่ได้คิดที่จะปิดบังเธอ

 

“เจ้าอยู่ในระดับปรับแต่งวิญญาณขั้นที่ 1?!” ชิเสวี่ยอวิ๋นตกใจ หรือว่าเขาจะทะลวงผ่านระดับหลังการประลองกัน?

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด