Chapter 20: การมาเยือน
“ฟู่ววว...”
ฟางหยวนฝึกการหายใจขณะที่พระอาทิตย์ค่อย ๆ ขึ้นสูง
“เพราะความช่วยเหลือจากข้าวหยกแดง ข้าคืบหน้าเร็วขึ้นมากมายนัก!”
ระยะหลังมานี้เขาเริ่มเสพติดการฝึกวิทยายุทธ์ อย่างไรเสีย ความรู้สึกของการได้รับค่าประสบการณ์เพิ่มและกลายเป็นผู้แข็งแกร่งกว่าเดิมก็เป็นสิ่งที่ชวนให้เสพติดจริง ๆ
“บางที... ถ้าจะฝึกกรงเล็บอินทรีกับการหายใจอย่างหยาบเลยตอนนี้ก็อาจจะง่ายขึ้นก็ได้”
เขาเคยรู้สึกกลัวว่าจะไม่สามารถรับมือกับหลาย ๆ วิชาพร้อมกันได้ แต่ตอนนี้เขาไม่มีอะไรให้ต้องกังวลมากแล้ว
เมื่อคนผู้หนึ่งมีระดับวิทยายุทธ์สูงถึงระดับหนึ่งแล้ว ก็อาจจะเคยสัมผัสประสบการณ์การพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับยิงพลุไฟเมื่อเลือกฝึกวิทยายุทธ์ชนิดอื่น
“หรือบางทีข้าอาจจะรอจนกว่าจะผ่านประตูทองที่ 5 ได้ก่อนค่อยลอง...”
ฟางหยวนมองค่าสถานะ:
“ชื่อ: ฟางหยวน
พลังกาย: 1.8
พลังลมปราณ: 1.6
พลังเวทย์: 1.5
อายุ: 18
ระดับการฝึกตน: [ผู้ฝึกยุทธ์ (ประตูทองที่สาม)]
วิทยายุทธ์: [ฝ่ามือทรายดำ (ระดับ 3)]
ทักษะ: [การแพทย์ (ระดับ 1)], [การดูแลพืช (ระดับ 3)]”
“การเพิ่มขึ้นของพลังกายและพลังลมปราณของข้าถึง 0.3 หลังผ่านประตูทองที่สามได้นั้น ล้วนเป็นผลจากข้าวหยกสีชาด...”
“แต่พลังเวทย์ของข้าไม่เพิ่มขึ้นเลยหลังจากได้กินชาชำระจิตแล้ว และยังคงอยู่ที่เดิมแม้จะผ่านประตูที่สามแล้ว...”
ฟางหยวนให้ความสำคัญกับพลังเวทย์ในฐานะที่เพิ่มขึ้นได้ยากที่สุด
แต่แค่มีพลังเวทย์มากกว่าคนทั่วไปก็ทำให้ฟางหยวนรู้สึกแตกต่างแล้ว
ถ้าเขาสามารถเพิ่มพลังเวทย์ได้มากขึ้นไปอีก จะเกิดผลที่ไม่สามารถจินตนาการได้อย่างไรบ้างกันนะ?
ฟางหยวนตื่นเต้นอยากรู้
“ชาชำระจิตก็จะติดดอกแล้วเร็ว ๆ นี้.. แล้วข้าวหยกแดงก็ด้วย ข้าต้องเตรียมพื้นที่สำหรับปลูกข้าวเพิ่ม... อย่างเดียวที่ยังขาดอยู่ก็คือปุ๋ยวิญญาณ!”
ปุ๋ยเกล็ด ๆ ที่ฮวาหูเตียวนำมานั้นมีประสิทธิภาพน่าตื่นตะลึงในการเพิ่มการเจริญเติบโตของพืชวิญญาณ
และตอนนี้ที่ฟางหยวนตรากตรำฝึกฝนวิทยายุทธ์ เขาต้องการข้าวหยกแดงจำนวนมาก ซึ่งก็ต้องพึ่งพาปุ๋ยวิญญาณอีกทีหนึ่ง
“ฉันต้องการปุ๋ยวิญญาณ! มาก ๆ เลยด้วย! ไม่อย่างนั้นข้าวหยกแดงกับชาชำระจิตก็จะไร้ประโยชน์แล้ว...”
ฮวาหูเตียวนั้นได้บรรยายให้ฟางหยวนฟังแล้วว่าการเข้าไปเอาปุ๋ยมานั้นอันตรายอย่างไร และมันจะดีที่สุดถ้าจะไม่พยายามไปเอามาในขณะที่วิทยายุทธ์เขายังอยู่แค่ระดับนี้
“แต่ข้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่ผ่านประตูทองที่สามแล้ว และถ้าเพ่งสมาธิยังสามารถรับรู้ตำแหน่งแห่งที่ของฮวาหูเตียวได้ด้วย... มันดูเหมือนว่าอันตรายนั่นจะอยู่ที่ระดับประตูที่สองกับสามเท่านั้นเอง!”
ไม่มีผู้ฝึกยุทธ์คนไหนจะหลีกหนี 12 ประตูทองไปได้
ฟางหยวนนั้นผ่านสามประตูรุ่งโรจน์ได้เรียบร้อยแล้ว ถ้าสามารถผ่านประตูตู่ได้ ก็จะเข้าสู่ขอบเขตถัดไปของการฝึกวิทยายุทธ์
จากเคล็ดการหายใจอย่างหยาบนั้น ถ้าผู้ฝึกยุทธ์ในสามประตูแรกนับเป็นผู้เริ่มต้น เช่นนั้นผู้ที่สามารถผ่านประตู ตู่ และ จิ่ง ได้ ย่อมนับได้ว่ามีความสามารถอย่างแท้จริง
ขณะที่ผู้ที่สามารถผ่าน 3 ประตูวิกฤต ประตูชาง จิง และสื่อ ได้นั้น สามารถเชิดหน้าสูงกับทุกผู้คนได้และยังอาจเป็นผู้ที่คู่ควรกับตำแหน่งผู้อาวุโสในสำนักกุยหลิงได้
ผู้หนุนหลังซ่งจื๋อเกา ซ่งจง นั้นเป็นตัวอย่างของผู้ฝึกยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จที่สามารถผ่าน 3 ประตูวิกฤตได้
และด้วยอายุของเขา ก็อาจจะผ่าน 3 ประตูวิกฤต และเข้าสู่ 4 ระดับแห่งสวรรค์ได้
“กี๊กี๊!”
“กี๊กี๊!”
ฮวาหูเตียวปรากฏตัวขึ้น กระตุกชายเสื้อคลุมของฟางหยวนก่อนจะวิ่งออกจากหุบเขา
“หืม? มีคนมา!?”
ฟางหยวนเริ่มรู้สึกรำคาญแต่ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากออกไปดู
ที่ตรงหน้าเขานั้นเป็นผู้คนกลุ่มใหญ่ ที่ยืนอยู่ตรงหน้าสุดคือผู้ดูแลหลิน แม้แต่สองพี่น้องตระกูลโจวก็อยู่ที่นั่นด้วย
แล้วยังมีผู้คุ้มกันท่าทางแข็งแกร่งอีกสี่คนด้านหลัง แบกเกี้ยวที่ดูเหมือนจะมีเงาร่างผู้ใดสักคนอยู่ด้านใน
“คุณชายน้อย!”
ผู้ดูแลหลินยืนอยู่ที่ปากทางโบกมือให้ “ท่านมีความมั่นใจจริง ๆ ใช่ไหม?”
“ความมั่นใจอะไร?”
ฟางหยวนถามงง ๆ
“ก็ มั่นใจว่าจะช่วยชีวิตไว้ได้อย่างไรเล่า! ตระกูลโจวยอมเดิมพันพาเหล่าโจวมาถึงที่นี่!”
หลินเปิ่นชูดูจริงจัง “เมื่อวันก่อนท่านส่งเหล่าเถียนมาฝากข้าส่งจดหมาย บอกว่าท่านมีวิธีช่วยชีวิตเขา แต่บนเงื่อนไขให้พาเขามาที่หุบเขาสันโดษนี่... อ้ะ ท่านคงลืมไปสินะ!”
“จดหมาย?”
หัวใจฟางหยวนตกลงไปตาตุ่มรู้สึกพูดไม่ออก เขารับจดหมายมาอ่าน จดหมายกล่าวไว้อย่างที่ผู้ดูแลหลินบอก ใจความหลักก็คือมีวิธีรักษาชีวิตของเหล่าโจว แต่จำเป็นต้องพาตัวเขามาที่นี่
เรื่องตลกก็คือ ลายมือบนจดหมายนั้นเหมือนลายมือเขาไม่มีผิด
“เหล่าเถียน...”
ฟางหยวนรู้แล้วว่าปัญหาอยู่ที่ไหน
ในฐานะคนที่เคยทำการค้ากับฟางหยวน เขาย่อมมีจดหมายลายมือของฟางหยวนมากมายให้ลอกเลียนแบบ
นอกจากนั้น ผู้ดูแลหลินยังเคยพบเหล่าเถียนมาก่อน รู้จักเบื้องหลังของเขาและให้ความเชื่อถือในตัวเขา
แต่เขาไม่ได้มีความแน่ใจในตัวเอง และไม่รู้อาการของเหล่าโจวเลยสักนิด!
“จิ้งจอกเจ้าเล่ห์นั่น!!”
ฟางหยวนรู้สึกกลัว “เป็นแผนที่ไร้ช่องโหว่ ตอนนี้ข้าแก้ต่างให้ตัวเองไม่ได้เลย!”
เหล่าโจวนั่นแทบจะเหลือแค่ลมหายใจสุดท้ายแล้ว และยังถูกหลอกให้ต้องเดินทางไกลมาถึงที่หุบเขานี่ เหล่าโจวอาจจะตายอยู่ในหุบเขานี่ และเขาก็จะถูกกล่าวโทษเรื่องการตายของเหล่าโจว!
แม้ว่าเขาจะแก้ต่างว่าจดหมายนี่เขาไม่ได้เขียน ก็คงไม่มีใครเชื่อ
จากสภาพไร้หนทางไปแล้วของตระกูลโจว ฟางหยวนก็ได้แต่เงียบ
เขาคิดกับตัวเองว่า ถ้าเขาเป็นผู้วางแผนอยู่เบื้องหลัง ก้าวสุดท้ายของเขาก็คือจะจัดการฆ่าปิดปากเหล่าเถียนเพื่อให้แผนการนี้ไร้ช่องโหว่อย่างแท้จริง!
“นี่คงถูกวางแผนมาเป็นอย่างดีเพราะว่าเหล่าโจวเป็นศัตรูเก่าแก่ของซ่งจง แต่ซ่งจื๋อเกาคงไม่กล้าทำเรื่องนี้...”
“ทำไมรึ คุณชายน้อย อย่าบอกข้านะว่า...”
ผู้ดูแลหลินนั้นฉลาดเฉลียวและดูจะเดาอะไรบางอย่างได้ เขามีท่าทางกังวลมากขึ้น
ดูเหมือนว่าตระกูลโจวนั้นจะหมดปัญญาแล้วและสุดท้ายก็ตัดสินใจฟังผู้ดูแลหลิน ทำสิ่งที่ไม่ใช่เรื่องปกติ และส่งเหล่าโจวมาถึงที่หุบเขานี่
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ล้วนเป็นผู้ดูแลหลินสาบานและให้การรับรองแก่ตระกูลโจวว่านี่เป็นทางเลือกที่ถูกต้อง
ถ้าเขากลับคำตอนนี้ สิ่งที่ตามมานั้นคงจะคิดภาพไม่ออกเลยทีเดียว!
“ให้ข้าตรวจอาการเขาก่อน!”
ฟางหยวนเหลือบมองผู้ดูแลหลินอีกครั้งและรู้ได้ว่าไม่สามารถโทษเขาได้เลย
อย่างไรเสีย มันก็จริงที่เขาให้เหล่าเถียนเป็นผู้ส่งสารหลายครั้งก่อนหน้านี้ เพราะว่าติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอกได้ลำบาก
“ได้แน่นอน!”
ผู้ดูแลหลินรู้สึกกลัวขึ้นมานิด ๆ และนำฟางหยวนไปที่เกี้ยว
“คุณชายฟาง ฝากเขาไว้ในมือเจ้าแล้ว!”
ที่ข้าง ๆ เกี้ยว โจวเหวินอู่กับโจวเหวินซินกับคนในตระกูลโจวอีกสองสามคนก็กล่าวทักทายเขา ยังมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงอีกหลายคนอยู่ใกล้ ๆ
ฟางหยวนเห็นแล้วก็หัวเราะกับตัวเอง นี่ไม่มีเหตุผลเลย เพราะว่าถ้าเขามีความสามารถจริงและรักษาเหล่าโจวได้นั้นก็คงจะดี แต่ถ้าเขาล้มเหลว... ความคาดหวังมากมายที่ฝากไว้ที่เขาก็คงจะพาเขาไปสู่ความตาย
ยังต้องอธิบายอะไรอีก?
สมาชิกในตระกูลโจวยังจะฟังคำแนะนำอื่นอีกหรือตอนนี้?
“โลงศพหลังใหญ่เลยทีเดียว ผู้บงการคงไม่พ้นซ่งจื๋อเกา!”
ตอนนี้ทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้แล้ว เขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากดำเนินต่อไป
ฟางหยวนก้าวไปข้างหน้า เปิดม่านออก กลิ่นเหม็นเน่าลอยออกมา
“นี่มันบ้าอะไรเนี่ย! เหล่าโจวต่างจากคนตายตรงไหนกัน?”
ฟางหยวนรู้สึกเย็นวาบลงไปตามสันหลัง ขณะที่บังคับตัวเองให้มองดู
ในเกี้ยวมีชายแก่คนหนึ่งนอนอยู่เหมือนว่าเขาจะกำลังหลับลึก มีลมหายใจแผ่วเบามากและเหมือนกับว่าจะตายได้ทุกเมื่อ
หมอมีประสบการณ์ที่ไหน ๆ ก็สรุปว่ารักษาไม่ได้แล้ว
บาดแผลอยู่ที่หน้าอกของชายแก่ และดูไม่ใช่แค่การบาดเจ็บเล็กนอก แต่มันดูดีขึ้นเมื่อได้ทำแผล
“เอ๋? นี่แปลก!”
ฟางหยวนสังเกตและพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว
“คุณชายน้อย ท่านพ่อของข้าเป็นอย่างไรบ้าง? มีหนทางรักษาหรือไม่?”
โจวเหวินอู่ถามอย่างกระวนกระวาย และคนในตระกูลที่เหลือทั้งหมดก็เหลือบมองฟางหยวนด้วย
ฟางหยวนทำให้คนคาดหวังในตัวเขาสูงเกินไป!
ความเย่อหยิ่งของเขาทำให้ทั้งตระกูลต้องเดินทางรอนแรมเข้ามาในป่าและหุบเขา ทำให้ทั้งหมดนั้นทั้งด่าทอและสาปแช่งฟางหยวนไปเรียบร้อยแล้ว ถ้าเขาเป็นแค่คนธรรมดาทั่วไป พวกเขาคงจัดการเขาไปแล้ว!
“ข้ามีความคิดบางอย่างแล้ว แต่ในเรื่องรายละเอียดนั้น ข้าต้องตรวจดูมากกว่านี้ก่อน!”
ฟางหยวนกลับเข้าไปในหุบเขา และไม่นานก็ออกมาพร้อมกับกล่องเข็มเงิน เขาคว้าแขนเหล่าโจวขึ้นมาอย่างและแทงเข็มลงไปง่าย ๆ
ควับ!
เพียงครู่เดียวเขาก็ดึงเข็มออกมาและมันดูเปลี่ยนไป ฟางหยวนเพ่งที่ปลายเข็ม หยิบคบเพลิงออกมาแล้วเผาเข็มเงินเล่มนั้น เขาดมที่ปลายเข็มและได้กลิ่นหอมสดชื่น
“เหล่าโจวไม่ได้บาดเจ็บ เหล่าโจวถูกพิษ!”
ฟางหยวนมองที่ชายชราอ่อนแรงและคิด “เป็นไปได้ไหมว่า... พิษคู่รักเมามายที่ท่านอาจารย์เคยพูดถึงเมื่อก่อนนี้...”
อาจารย์เวิ่นซินเป็นหมอที่เก่งกาจมีประสบการณ์การช่วยชีวิตคนมากมาย ท่านเคยเล่าการรักษาบางโรคให้ฟางหยวนฟังสั้น ๆ มาก่อน และพิษคู่รักเมามายก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ยังติดอยู่ในความทรงจำของเขา
พิษนี้ไร้สีไร้รส และยังไม่มีอาการแสดงในช่วงแรก มันแค่ทำให้ผู้ถูกพิษนั้นค่อย ๆ ผอมลง สับสน และค่อย ๆ ซึมลงคล้ายอาการอกหัก ซึ่งทำให้พิษนี้แปลกไปกว่าพิษอื่นมาก
และเมื่อได้รับพิษนี้ ก็ยากที่จะตรวจสอบเจอ มีแค่เมื่อลนไฟที่ปลายเข็มเงินแล้วจะได้กลิ่นอ่อน ๆ ที่บอกการมีอยู่ของพิษนี้
เพราะว่าฟางหยวนสนใจในพิษคู่รักเมามายนี้ เขาก็เลยจดที่อาจารย์พูดเอาไว้ แต่ก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะเจอผู้ถูกพิษคู่รักเมามายนี้เข้าเองกับตัว
“ว่าอย่างไรนะ?”
ฟางหยวนเครียดขึ้นมาทันที ก่อนจะผ่อนคลายลง และคนตระกูลโจวก็ไม่กล้ารบกวนตอนเขากำลังคิด
“ข้ารักษาเหล่าโจวได้!”
ฟางหยวนพยักหน้ากับตัวเอง
ถ้าเขาเผชิญกับการป่วยรุนแรงอื่นเขาอาจจะไม่มีความสามารถพอที่จะช่วย แต่นี่ต่างออกไป
ครู่ต่อมา ฟางหยวนก็พูด “แต่ข้ามีเงื่อนไขข้อหนึ่ง!”