บทที่ 38 แม่มดผู้สื่อสารกับมังกร
บทที่ 38 แม่มดผู้สื่อสารกับมังกร
มังกร
สิ่งมีชีวิตมายาที่แสนทรงอำนาจ ว่ากันว่ามังกรคือสัญลักษณ์ของกษัตริย์และอำนาจ หากผู้ใดสามารถทำให้มังกรสยบแก่ตนได้ คนผู้นั้นจักต้องถูกสรรเสริญเยี่ยงวีรบุรุษ โดยส่วนมากแล้วมังกรนั้นเป็นสัตว์ที่ค่อนข้างรักสันโดษและมักอยู่อาศัยเพียงลำพังในรังของตัวเอง และหากผู้ใดกล้าย่างกรายล้ำเขตแดนของมันเข้ามาล่ะก็ มันจะใช้ลมหายใจเพลิงทำลายเหล่าผู้บุกรุกจนสิ้นซาก
และในขณะนี้เบื้องหน้าของสไปค์และซิลเวอร์ได้มีมังกรแดงตัวหนึ่งยืนตระหง่านโชว์เสียงคำรามจนขนทั่วร่างลุกชูชัน เพียงแค่มันยืนอยู่ตรงหน้าก็รู้สึกเหมือนรับรู้ได้ถึงอำนาจพลังที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเทียบเคียงได้
ไอช่า แม่มดสาวน้อยผู้เป็นน้องสาวของฟาร์ชูลันเดินเข้าไปหามังกรแดงตัวนั้น เธอยื่นแขนเข้าไปและกางนิ้วออก มังกรแดงตัวนั้นโน้มคอลงต่ำ ก้มหัวให้กับฝ่ามือเล็ก ๆ ของเด็กสาว พลางปล่อยให้เรียวนิ้วทั้งห้าลูบไล้ศีรษะของมันอย่างว่าง่าย
“ไอช่าเป็นแม่มดเพียงคนเดียวที่สามารถสื่อสารกับมังกรได้ เธอมีพวกมันเป็นกองทัพเลยเชียวล่ะ”
แม่มดผู้พี่กล่าวออกมาเช่นนั้น พอได้ยินคำพูดดังกล่าวก็ทำให้สองหนุ่มถึงกับอ้าปากค้างเอาไว้ชั่วขณะหนึ่ง กระทั่งชายหนุ่มผมแดงนามซิลเวอร์พยายามมองสลับแม่มดทั้งสองไปมา สายตาเหมือนกำลังระแวดระวังภัยร้ายอย่างไรอย่างนั้น
“ความจริงแล้วพวกแม่มดนี่เป็นปีศาจสินะ ข้าว่าต้องใช่แน่ ๆ”
“พล่ามอะไรไร้สาระ ถ้ามีเวลามาคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องล่ะก็ หัดใช้ให้มันเป็นประโยชน์ซะมั่ง เตรียมตัวได้แล้ว” ฟาร์ชูลันแอบจิกกัดเล็กน้อย ทว่าคำพูดของเธอกลับทำให้ไอช่าผู้เป็นน้องสาวขมวดคิ้วขึ้นมา
“พี่ อย่าบอกนะว่าจะให้มังกรของฉันเป็นพาหนะให้เจ้าพวกนี้ด้วยน่ะ”
คำพูดของไอช่าแฝงแววเคลือบแคลงสงสัยปนความขุ่นเคืองใจเอาไว้ไม่น้อย เธอแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งว่าไม่ต้องการให้มีใครนอกเสียจากพี่สาวของตนมาขึ้นขี่บนหลังของมังกรที่ตนอุตส่าห์เลี้ยงดูฟูกฟักมาตั้งแต่ยังเล็ก แน่นอนว่าฟาร์ชูลันก็เข้าใจความรู้สึกของเธอ แต่ในสถานการณ์แบบนี้ยังไงก็เลี่ยงไม่ได้
“ถ้าเธออยากช่วยพี่ทำภารกิจให้เสร็จเร็ว ๆ ก็อย่าเรื่องมาก การให้มังกรพาบินไปน่ะ เร็วที่สุดแล้ว”
“ชิ...ยอมให้ครั้งนี้เท่านั้นนะ” ไอช่าตอบพลางเบือนหน้าหนี หลังจากนั้นทั้งสี่คนก็ขึ้นไปขี่อยู่บนหลังของมังกร พอมันกระพือปีกบินขึ้นมา ทัศนียภาพทุกอย่างก็เปลี่ยนไปในพริบตา พอเงี่ยหูฟังเสียงเบื้องล่างแล้วจะได้ยินเสียงคนแตกตื่นอยู่ไม่น้อย อาจเป็นเพราะมังกรเป็นตัวตนที่ควรค่าแก่การตกใจก็เป็นได้
ฟาร์ชูลันบอกกับไอช่าว่าต้องไปที่ราชวังของจักรวรรดิก่อน ไอช่าพยักหน้ารับก่อนจะออกคำสั่งแก่มังกรแดง เพียงเท่านั้นมันก็กระพือปีกจนอากาศสั่นสะเทือนแล้วบินพุ่งไปทางราชวังในพริบตา ใช้เวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งนาทีก็มาถึงราชวังแล้ว ทั้งสี่คนลงจากหลังของมังกรก่อนจะเดินเข้าไปยังพระราชวังและรับมอบราชโองการจากซีลู่หนิง พร้อมทั้งบอกว่าจะมีคนที่เข้าร่วมทำภารกิจทั้งหมดสี่คนด้วยกัน พอเสร็จจากการรับมอบราชโองการก็ออกจากที่นี่แล้วเดินทางต่อทันที
ถ้ำทางเหนือคือเป้าหมายในครั้งนี้ ไอช่าสั่งมังกรของเธอให้ใช้ความเร็วแค่เพียงปานกลางเท่านั้น เพราะแค่ความเร็วระดับนี้ก็ทำเอาคนที่ยังไม่ชินกับการนั่งอยู่บนหลังมังกรแทบจะหล่นลงไปอยู่รอมร่อแล้ว
การบินบนท้องฟ้า ใช่ว่าสไปค์จะไม่เคยทำ เพราะตั้งแต่บรรลุระดับขั้นเทวการุณมาได้ก็ทำให้ร่างกายสามารถต้านทานต่อแรงโน้มถ่วงได้จนแทบจะไร้น้ำหนัก พอยิ่งใช้พลังปราณเข้าควบคุมด้วยแล้วก็ส่งผลให้ลอยตัวบนท้องฟ้าได้อย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร แต่อย่างไรก็ตาม การนั่งบนหลังมังกรแล้วปล่อยให้มันพาตัวเองบินไปให้ถึงจุดหมายนั้น ช่างเป็นอะไรที่แตกต่างจากการบินด้วยตัวเองยิ่งนัก
อย่างแรกเลยคือความเร็ว พลังการบินของมังกรนั้นรวดเร็วยิ่งกว่าพลังการบินของมนุษย์ตั้งไม่รู้กี่เท่า และยังมีเพดานบินที่สูงล้ำจนมนุษย์ธรรมดาไม่อาจก้าวข้ามได้ เพียงแค่สองข้อหลัก ๆ นี้ก็สามารถสร้างความแตกต่างให้กับมนุษย์และมังกรแล้ว
เมื่อออกบินมาได้สักพักก็พบว่าพิกัดตอนนี้อยู่ห่างออกจากจักรวรรดิมาไกลพอสมควร สไปค์รู้สึกเหมือนตัวเองได้เปิดหูเปิดตากับโลกภายนอกมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาเขาเคยใช้ชีวิตอยู่ที่หุบเขาวาตะก่อนที่จะออกมายังจักรวรรดิซี ยังไม่ได้รู้จักสถานที่อื่นนอกเหนือไปจากนี้เลย
“นี่ ถ้าน้องสาวเจ้าสามารถสื่อสารกับมังกรได้ แล้วเจ้าล่ะ” ทันใดนั้นซิลเวอร์ก็ตะโกนขึ้นถามฟาร์ชูลันที่นั่งไม่ห่างจากตนเท่าไหร่ สาเหตุที่ต้องตะโกนเป็นเพราะว่าแรงต้านของลมตอนนี้แรงมาก ถ้าไม่เพิ่มระดับเสียงก็คงจะคุยกันไม่รู้เรื่อง
แม่มดสาวหันหน้ามามองสหายหนุ่มก่อนจะขยับปากพึมพำอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นก็ปรากฏพื้นที่วงกลมโปร่งแสงครอบคลุมร่างของมังกรเอาไว้ ขณะนั้นทุกคนรู้สึกเหมือนกับว่าแรงลมที่ปะทะเข้ามาเมื่อครู่กำลังถูกดันออกไป และมีเล็ดลอดเข้ามาเพียงเล็กน้อยพอให้ได้หายใจหายคอเท่านั้น
และคนที่ตอบกลับมา กลับไม่ใช่ฟาร์ชูลัน หากแต่เป็นไอช่าผู้เป็นคนหนึ่งที่ได้ยินคำถามของซิลเวอร์ทุกถ้อยประโยค
“พี่ฟาร์ชูลันคือผู้สืบทอดตระกูลของเราไงล่ะ แน่นอนว่าพิเศษกว่าฉันเยอะ”
“ผู้สืบทอดตระกูลนี่พิเศษกว่าคนที่สื่อสารกับมังกรได้อีกเหรอ” ซิลเวอร์ไม่เข้าใจ
พอได้ยินดังนั้นก็เหมือนไปกระตุ้นต่อมอะไรบางอย่างเข้า ไอช่าถึงกับหันตัวมาทั้งตัวแล้วยืดอกขึ้นพร้อมกับพูดออกไปอย่างภูมิใจว่า
“โดยปกติแล้วการเป็นผู้นำตระกูลก็มีความพิเศษไม่เหมือนกัน แต่ตระกูลของพวกฉันคือตระกูลที่สืบทอดนามแห่งเอนด์เลสซึ่งจะมีฐานะที่ค่อนข้างสูงส่งหากต้องเทียบกับตระกูลอื่น ๆ”
“พอได้แล้วไอช่า ใกล้จะถึงที่หมายแล้ว” ฟาร์ชูลันเอ่ยเสียงแทรกขึ้นมา สีหน้าเหมือนบ่งบอกว่าไม่ต้องการให้ไอช่ากล่าวอะไรเกินเลยมากไปกว่านั้น ผู้เป็นน้องสาวถึงกับอมลมไว้ในปาก ทำหน้าบูดบึ้งอย่างไม่พอใจ เธอยังอยากเล่าต่อแต่ก็โดนขัดคอเสียได้ จะว่าไปพอเป็นเรื่องแบบนี้เธอกลับยอมลดทิฐิลงแล้วสนทนากับมนุษย์ที่เธอทำท่าทางเกลียดหนักหนาไปโดยไม่รู้ตัว แสดงให้เห็นว่าเรื่องที่เธอตั้งใจจะเล่านั้น เป็นหนึ่งในเรื่องที่เป็นความภาคภูมิใจมากที่สุด
ถึงจะดูปากร้ายเอาแต่ใจ แต่ก็ดูเหมือนจะรักพี่สาวมากสินะเนี่ย
สไปค์แอบอมยิ้ม เขาไม่เคยมีพี่น้องมาก่อนดังนั้นจึงไม่อาจรับรู้ได้ว่าความรู้สึกแบบนี้มันอบอุ่นประมาณไหน
คณะเดินทางทั้งสี่คนกับมังกรหนึ่งตัวบินแหวกม่านอากาศมาด้วยความเร็วระดับสูง พวกเขามองเห็นบ้านเมืองเล็กน้อยและป่ามากมายที่ยังไม่ถูกเคลียร์ออก พื้นที่เหล่านี้แท้ที่จริงก็คือส่วนที่ยังไม่เจริญ ซึ่งนับเป็นพื้นที่เสี่ยงอันตรายอย่างมาก เพราะไม่มีการปกป้องดูแลที่ทั่วถึง
ฟาร์ชูลันหยิบแผนที่ที่จักรพรรดิซีลู่หนิงมอบให้ออกมากางออกดูอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจบอกกับไอช่าที่เป็นคนควบคุมมังกรอยู่
“ชะลอความเร็ว อีกไม่เกินสามกิโลก็ถึงที่หมายแล้ว”
สามกิโลสำหรับพวกเขาที่นั่งอยู่บนหลังของมังกรไม่ได้ถือว่าไกลมากเลย มันเหมือนเป็นระยะทางเพียงชั่วระยะเวลาหาวหวอดหนึ่งเท่านั้น ไม่นานนักทั้งสี่คนก็เดินทางมาถึงจุดที่เป็นทางเข้าของถ้ำแล้ว พวกเขาต่างพากันเปลี่ยนท่านั่งและหามุมบนหลังมังกรที่จะทำให้มองเห็นจุดหมายได้ชัดเจนที่สุด
ขณะที่มังกรกำลังร่อนตัวลงอย่างช้า ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดแรงกระแทกหนักหน่วงยามเมื่อถึงพื้นอยู่นั้น สายตาทุกคู่ที่อยู่บนหลังของมังกรก็มองไปเห็นโพรงถ้ำขนาดใหญ่โตมโหฬาร พอมองแค่ความยาวแล้วอาจจะเทียบได้กับตึกห้าชั้นตามมาตรฐานสากลโลก ส่วนความกว้างนั้นเพียงพอจะให้เครื่องบินเครื่องใหญ่มากกว่าห้าลำบินเข้าไปพร้อมกันเลยก็ยังได้
พอทั้งสี่คนลงจากหลังมังกรมายืนอยู่เบื้องหน้าถ้ำแล้ว ก็รู้สึกเหมือนร่างกายตัวเองเล็กจ้อยขึ้นมาทันที
“ตามที่องค์จักรพรรดิบอกเอาไว้ มังกรนิลกาฬจะอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของถ้ำ ตอนนี้มันคงจะจำศีลอยู่ พวกเราอาจจะอาศัยจังหวะนี้แอบตัดเขี้ยวมันออกมาได้โดยที่ไม่ต้องต่อสู้” ฟาร์ชูลันอธิบายแผนให้คนที่เหลือฟัง “แต่จำไว้ให้ดีว่าตอนหนีออกมา อย่าได้ลังเลเด็ดขาด เพราะจะไม่มีการหันหลังกลับมามองทั้งนั้น ใครพลาดก็โดนมังกรงาบไป”
“โหดร้ายชะมัด แบบนี้ข้าก็เป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งในเรื่องการหนีไม่ทันแน่ ๆ เลยน่ะสิ” ซิลเวอร์แย้งเหมือนกับต้องการขอความเมตตา
“นี่ก็ถือเป็นการฝึกฝนนะ เพราะนายน่ะฝีมือต่ำที่สุดแล้วในกลุ่มพวกเรา”
“มะ...ไม่ต้องพูดขนาดนั้นก็ได้น่า ข้ารู้ตัวอยู่หรอก!”
“แต่ว่า...ถ้าเกิดว่าเลี่ยงการต่อสู้ไม่ได้จริง ๆ ล่ะ” สไปค์แทรกคำถามเข้ามา
“ความจริงมันไม่มีทางจะเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นได้หรอก เพราะยังไงเราก็มีไอช่าที่เป็นกุญแจสำคัญในภารกิจครั้งนี้อยู่”
“ตายแล้ว! พี่ฟาร์ชูลันบอกว่าฉันเป็นกุญแจสำคัญด้วย!”
“...ก็เธอเป็นคนเดียวที่คุยกับมังกรรู้เรื่องนี่นา ยัยบื้อ”
เนื่องจากฟาร์ชูลันไม่อยากจะพูดอะไรนอกเรื่องอีก เธอแจกแจงแผนการให้ทุกคนทำความเข้าใจอย่างถี่ถ้วนและเน้นย้ำว่าต้องทำตามแผนให้ได้ เพราะถ้าหากพลาดขึ้นมาล่ะก็ อาจจะกลายเป็นเหยื่ออันโอชะของมังกรตัวนี้เลย ซึ่งการตัดสินใจวางแผนแบบนี้มันเกิดมาจากความคิดระแวดระวังที่ว่ายังไม่รู้กำลังรบของอีกฝ่าย ดังนั้นการจะประเมินความแข็งแกร่งของมังกรนิลกาฬไว้สูงกว่าตัวเองไว้ก่อน จึงถือเป็นความรอบคอบอย่างหนึ่ง
ทั้งสี่คนเดินเข้าไปในถ้ำโดยไม่ลืมที่จะระมัดระวังตัว บรรยากาศแรกที่สัมผัสได้จากในถ้ำคือความรู้สึกเย็นชื้นเป็นที่สุด มันเหมือนกับข้างในนี้มีธารน้ำอยู่อย่างไรอย่างนั้น ยังไงก็ตาม ก่อนจะเข้าถ้ำนั้นฟาร์ชูลันได้ร่ายเวทมนตร์เพิ่มพูนสติสัมปชัญญะการตอบสนองให้กับตัวเองและสามคนที่เหลือ เพื่ออย่างน้อยเวลาเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นจะได้ตัดสินใจถูกว่าควรต้องทำอะไรก่อนในพริบตานั้น
“เวทมนตร์แบบนี้ก็มีแฮะ” ซิลเวอร์พูดด้วยความรู้สึกประหลาดใจ เขารู้สึกเหมือนศีรษะของตัวเองเบาหวิวขึ้น แต่ไม่ได้เบาหวิวเพราะไม่มีอะไรอยู่ในนั้น หากแต่รู้สึกไปว่าสมองมีขนาดกว้างขึ้นจนมีพื้นที่เพียงพอให้ยัดอะไรลงไปได้อีกมากมาย
“ถ้าไม่ใช่พี่ฟาร์ชูลันก็ไม่มีใครทำได้หรอก” ไอช่ายังคงชมเชยพี่สาวโดยไม่สนใจใครทั้งสิ้น
“ดูนั่น” ฟาร์ชูลันซึ่งเดินนำหน้าคนอื่นอยู่ กล่าวบอกให้ทุกคนหยุดการเคลื่อนไหวกะทันหัน เธอขยายขอบเขตของก้อนเวทเปลวเพลิงเหนือฝ่ามือให้ใหญ่ขึ้นจนเกิดแสงสว่างเจิดจ้าไปทั่ว เบื้องหน้าที่ปรากฏบางสิ่งบางอย่างนั้น ถึงกับทำให้ไอช่าขมวดคิ้วออกมา ส่วนซิลเวอร์ได้แต่เอามือจับศีรษะตนเองอย่างไร้ความหมาย
ใบหน้าของสไปค์ปรากฏความเครียดออกมาอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อสิ่งที่ทุกคนเห็นนั้นก็คือ ร่างไร้ชีวิต
มันคือโครงกระดูกที่มีลักษณะรูปทรงเหมือนคนกำลังนอนหันข้าง รอบโครงกระดูกมีของเหลวสีแดงที่แห้งกรังกระจัดกระจายไปทั่ว บ่งบอกว่าความตายของบุคคลผู้นี้นั้นผ่านมาได้นานมากแล้ว สไปค์เดินตรงเข้าไปก่อนจะย่อเข่าลง ใช้ปลายนิ้วโป้งลูบผิวกระดูกเพื่อปาดเอาฝุ่นที่เกาะตัวแน่นหนาออกมา
“ทำอะไรของนายน่ะสไปค์?”
“ข้าแค่มาสำรวจดูว่าศพนี่เป็นศพของใคร แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่คนรู้จักล่ะนะ”
“คนรู้จักที่ไหนจะมานอนตายในถ้ำแบบนี้ได้ยะ อย่าพูดเหมือนตัวเองมีเพื่อนเยอะขนาดนั้นได้มั้ย?”
“เดี๋ยว เงียบก่อน”
“อะไร แค่ดุนิดหน่อยถึงกับกล้าบอกให้ฉันคนนี้เงียบเสียง?”
“ยัยบ้า ตั้งใจฟังให้ดีสิ!”
สิ้นสุดคำพูดนั้น ฟาร์ชูลันก็เริ่มจริงจังขึ้น และไม่ต้องรอช้าจนเกินไป ฟาร์ชูลันร่ายเวทตรวจจับพร้อมกับแผ่รัศมีของพลังเวทให้กระจายออกจากตัวเองที่ใช้เป็นจุดศูนย์กลาง เวทนี้มีพลังในการตรวจจับสิ่งมีชีวิตได้ โดยระยะทางของการตรวจจับจะขึ้นอยู่กับระดับพลังเวทที่ผู้ใช้เปล่งออกมา
เมื่อระยะตรวจจับขยายอาณาเขตออกไปกว้างไกลมากขึ้น ฟาร์ชูลันก็สะดุดเข้ากับสัมผัสบางอย่างที่สะท้อนกลับมาในเรดาร์พลังเวทของตนเอง ใบหน้าของเธอถึงกับผุดเม็ดเหงื่อออกมา
“แย่ล่ะสิ”
“อะไร เจออะไรเข้า?” ซิลเวอร์ร้องทักเมื่อเห็นเพื่อนทำสีหน้าไม่ดี
“มีอะไรรึเปล่าคะพี่?” แม้กระทั่งไอช่ายังอดถามไม่ได้
“พลังเวทของฉันตรวจจับความผิดปกติของถ้ำนี้ได้ ตอนนี้พวกเรากำลังตกอยู่ในอันตรายสองอย่างด้วยกัน” ฟาร์ชูลันเริ่มต้นอธิบายเป็นลำดับ “อย่างแรกเลยคือพวกเราตกอยู่ในขอบเขตลวงตาจากพลังเวทของมังกรนิลกาฬ”
สีหน้าของทุกคนแปลกไปทันที
“อย่างที่สองคือ ถ้าไม่รีบหาทางทำอะไรสักอย่างเพื่อหลุดออกจากม่านลวงตานี่ล่ะก็ ได้โดนฝูงก็อบลินที่รายล้อมตัวเราในโลกความจริงอยู่ตอนนี้ฆ่าตายแน่!”
“อะไรนะ ก็อบบลินเรอะ?” ซิลเวอร์พยายามนึกถึงใบหน้าของก็อบลินที่ตัวเองเคยเห็นในหนังสือบันทึกสัตว์มายาเอาไว้ หน้าตาและร่างกายที่ใกล้เคียงกับมนุษย์ หากแต่อัปลักษณ์กว่า ไม่มีทางที่เขาจะจำไม่ได้
“ถ้าจะให้ฉันทำลายม่านลวงตานี้ก็คงทำได้อยู่ แต่จะต้องอาศัยระยะเวลาพักใหญ่เพื่อรวบรวมพลังเวทในปริมาณที่เพียงพอจะทำลายมัน ซึ่งเราไม่มีเวลามากถึงขนาดนั้น” ฟาร์ชูลันพ่นลมหายใจออกมา สีหน้าของเธอเหมือนมีคำพูดประดับอยู่ว่าคงจะเลี่ยงทางนี้ไม่ได้แล้วสินะ แล้วหลังจากนั้นก็หันหน้าไปหาไอช่าผู้เป็นน้องสาวทันที
เหมือนไอช่าจะรู้ว่าฟาร์ชูลันต้องการจะสื่ออะไร เธอก้าวขาออกมาจากกลุ่มแล้วยืนเด่นอยู่ในระยะที่ห่างออกมาไม่ต่ำกว่าห้าถึงหกเมตร ซึ่งถ้าเป็นโลกความจริงที่ไม่ติดม่านลวงตาล่ะก็ ตอนนี้กำลังมีปลายหอกแหลมเล่มหนึ่งของก็อบลินกำลังจี้ไปที่คอของไอช่าอยู่ ซึ่งแน่นอนว่าถ้ายังไม่หลุดจากม่านลวงตาล่ะก็ จะไม่มีทางมองเห็นคมหอกนี้แน่
“จัดการเลย” ก่อนพูดคำนี้ฟาร์ชูลันได้สร้างบาเรียหนาแน่นกว่าห้าชั้นขึ้นมาปกคลุมร่างกายของตัวเองและสหายหนุ่มอีกสองคนไว้แล้ว ไอช่าพยักหน้าให้ก่อนจะเผยรอยยิ้มแสยะออกมา
แล้วในชั่วระยะเวลาเพียงไม่ถึงครึ่งวินาที บาเรียของฟาร์ชูลันก็ปรากฏรอยแตกร้าวขึ้น พอผ่านไปถึงหนึ่งวินาทีบาเรียสามชั้นรอบนอกก็พังทลายเป็นเศษกระจก หลังจากนั้นทัศนียภาพที่เป็นอยู่ก็เปลี่ยนไป เพียงชั่วระยะเวลาที่กระพริบตาเพียงหนึ่งครั้ง ชายหนุ่มทั้งสองก็มองเห็นร่างของก็อบลินตัวสีเขียวจำนวนมากนอนตายเกลื่อนกลาดอยู่เต็มพื้น
“เล่นแรงไปหน่อยมั้ย บาเรียของฉันกั้นไว้หกระดับก็จริง แต่ก็เล่นพังไปจนถึงระดับที่สี่เลย”
“ขอโทษค่ะพี่ ฉันพยายามคุมพลังให้ออกมาน้อยที่สุดแล้วนะ”
บทสนทนาของสองพี่น้องที่ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องปกตินี้ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มผมแดงรู้สึกดีขึ้นมาเท่าไหร่นัก
“อย่างน้อยถ้าพวกเจ้าบรรยายสิ่งที่เกิดขึ้นให้พวกข้าฟังหน่อย ข้าจะขอบคุณมาก”
“พลังเวทของไอช่าไง แค่ปล่อยออกมากระจึ๋งเดียวก็เพียงพอจะฆ่าก็อบลินแล้วล่ะ ต่างจากฉันที่ถ้าจะทำแบบนั้นได้จะต้องอาศัยการรวบรวมพลังเวทอยู่นานพอสมควร นี่ก็คือข้อแตกต่างของเราทั้งสองคน”
“อะไร พลังเวทของพวกเจ้ามันมีอะไรที่ต่างกันด้วยเหรอ”
ดูเหมือนคำถามของซิลเวอร์จะละลาบละล้วงมากเกินไป ฟาร์ชูลันถึงกับจิกตามองแรงใส่จนชายหนุ่มรู้สึกตัวว่าได้ทำอะไรผิดพลาดไปซะแล้ว แต่แน่นอนว่าเหตุการณ์นี้ไม่ได้อยู่ในสายตาของไอช่า เธอทำเหมือนไม่รู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วกล่าววาจาออกไปเหมือนกับเด็กน้อยที่ไม่ประสีประสา
“จะบอกให้มนุษย์อย่างพวกนายรู้ไว้ก็แล้วกัน แม่มดอย่างพวกเราแม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ใช้เวทมนตร์เหมือนกัน แต่เวทมนตร์ก็ยังมีแบ่งแยกออกเป็นสามชนิดที่ไม่เหมือนกันอยู่อีก อย่างแรกก็คือพลังเวทมนตร์ปกติทั่วไปที่ใคร ๆ ก็มีกันได้ อย่างที่สองคือพลังเวทมนตร์ไร้ขอบเขต ส่วนอย่างสุดท้ายคือพลังเวทมนตร์เหนือขอบเขต” ไอช่าเริ่มต้นอธิบาย เธอไม่ได้สนใจซากก็อบลินรอบข้างเลยสักนิด
“ของพี่ฟาร์ชูลันคือพลังเวทไร้ขอบเขต ส่วนของฉันคือพลังเวทเหนือขอบเขต”
“ไอช่า เธอพูดเยอะเกินไปแล้ว” ฟาร์ชูลันแทรกเข้ามา “กฎของพวกเราชาวเอทาเนียร์คือห้ามแพร่งพรายเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเองให้คนภายนอกรู้ ลืมไปแล้วรึไง”
“อ๊ะ จริงด้วย งั้นพี่ใช้เวทลบความทรงจำกับเจ้าพวกนี้ทีสิ”
“เฮ้อ ช่างเถอะ ลบยังไงสักวันก็รู้อีกอยู่ดี” ฟาร์ชูลันกล่าวอย่างเอือมระอา
“พวกเจ้าสองพี่น้องนี่...ยังไงข้าก็มองไม่เห็นเป็นเด็กผู้หญิงเลย พวกเจ้ามันเหมือนปีศาจร้ายซะมากกว่า ข้าล่ะไม่อยากเป็นศัตรูกับพวกเจ้าจริง ๆ” แม้ประโยคคำพูดจะหยาวเหยียด แต่ก็ไม่กล้าส่งเสียงดัง ซิลเวอร์ได้แต่หันไปมองทางสไปค์ก่อนจะบีบขอบเขตเสียงให้เล็กพอจะให้สไปค์ได้ยินแค่คนเดียวเท่านั้น
หลังจากนั้นไอช่าก็ใช้พลังเวทของตนอีกครั้ง ร่างของก็อบลินจำนวนไม่ต่ำกว่ายี่สิบสลายหายไปในพริบตาเดียว ชวนให้รู้สึกตกตะลึงยิ่งนัก พลังเวทเหนือขอบเขตของไอช่าช่างมหัศจรรย์ยิ่ง ถ้าหากเธอมีพลังเวทร้ายกาจปานนี้แล้วยังจะต้องกลัวอะไรอีก?
แต่ยังไงก็ตาม ในสถานการณ์แบบนี้สีหน้าของฟาร์ชูลันก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยเป็น นั่นทำให้ไอช่าอดสงสัยไม่ได้ว่าเรื่องอะไรกันที่ทำให้พี่สาวต้องตีหน้าเครียดแบบนี้
“ดูเหมือนเราจะต้องเสียเวลาอยู่ที่นี่อีกพักใหญ่เลยล่ะ” ฟาร์ชูลันถอนหายใจในขณะที่บอกเรื่องนี้กับทุกคน “เจ้ามังกรนิลกาฬนั่นมันเล่นอะไรก็ไม่รู้ ถึงได้ใช้พลังเวทของตัวเองสร้างกลไกกับดักภายในถ้ำขึ้นในรูปแบบที่น่ารำคาญที่สุด”
“น่ารำคาญ?”
“ใช่ ตั้งแต่นี้ต่อไปจะมีอะไรอีกมากมายปรากฏตัวมาหาพวกเราทีระลอก ๆ และถ้าพวกเราไม่กำจัดไอ้พวกนั้นทิ้งไปซะทั้งหมดล่ะก็ จะไม่มีทางผ่านไปต่อได้แน่ นี่มันเป็นกฎของถ้ำแห่งนี้”
“น่ารำคาญจริง ๆ ด้วย” ไอช่าเห็นด้วย
“เสียเวลาอีกต่างหาก” ซิลเวอร์กล่าวเสริม
“แต่ก็ไม่มีทางเลือกใช่มั้ยล่ะ” สไปค์เริ่มขยับแขนขาเพื่อยืดเหยียดกล้ามเนื้อทันที “ข้าอยากจะลองอะไรหน่อย ทุกคนช่วยหลบไปทีสิ”
ทั้งสามคนมีสีหน้าประหลาดใจแต่ก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย สไปค์เดินเข้าไปหาปากทางเข้าอีกแห่งภายในความมืดมิดเบื้องหน้า เขาสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างกำลังเคลื่อนขบวนใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ปราณไร้ลักษณ์ของสไปค์เริ่มสำแดงออร่าออกมาทันที แต่เขากลับยังไม่ลงมือ สายตาแน่วนิ่งที่จ้องมองไปยังปากทางเข้าอันมืดมิดเบื้องหน้า ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่
เสียงภายในนั้นเริ่มดังมากขึ้น ที่แท้มันก็ใกล้จะวิ่งออกมาจากที่นั่นได้แล้ว และในวินาทีนั้นเองที่มีดวงตาสีแดงของพวกมันฉายลอดออกมาผ่านเงามืด สไปค์ขยับท่าร่างพุ่งเข้าไปใกล้มันทันทีก่อนจะเปล่งพลังปราณไร้ลักษณ์ขึ้นเต็มสูบ มือขวากำหมัดแน่นรวบรวมออร่าพลังไว้ที่จุดเดียว
“ปราณไร้ลักษณ์ระดับห้า”
สำหรับคนหูไม่ดีหรือหูปกติจะไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย แต่ถ้าคนหูดีขึ้นมาหน่อยจะพอทันได้ยินเสียงหวีดแหลมเบา ๆ ของสายลมที่ถูกกรีดออกมาในพริบตา หมัดของสไปค์เพียงหนึ่งครั้งแต่กลับขับเคลื่อนออกมาด้วยความเร็วหนึ่งส่วนร้อยของวินาที โจมตีใส่สิ่งมีชีวิตปริศนาที่ยังไม่ทันได้วิ่งออกมาสู่พื้นที่กว้างก็โดนอัดกระแทกปลิวกลับเข้าไปยังทิศทางเดิมอย่างไม่อาจขัดขืนได้
“เกิดอะไรขึ้น หมอนั่นทำอะไร?” ไอช่าไม่ทันสังเกตเห็นด้วยซ้ำว่าก่อนหน้านี้สไปค์ได้ทำอะไรลงไปกันแน่ เพราะมันรวดเร็วเกินกว่าจะมองด้วยตาเปล่าทัน
“ยังไม่จบแค่นี้หรอก” สไปค์พึมพำกับตัวเอง เขาทาบฝ่ามือเข้ากับผิวอากาศของทางเข้าด้านหน้า ปราณไร้ลักษณ์เปล่งอำนาจออกมาจนสร้างแสงเงาที่ขับเคลื่อนเลี้ยวลดประดุจฝูงอสรพิษจำนวนมากกำลังเลื้อยไปมาอยู่กลางเวหา
“เคล็ดสยบมังกร!”
หลังจากเอ่ยชื่อกระบวนยุทธ์ออกมา ถ้ำก็เกิดแรงสั่นสะเทือนเลือนลั่นขึ้นมาทันที สไปค์ถึงกับกัดริมฝีปากแน่นเมื่อสัมผัสได้ถึงอำนาจพลังบางอย่างที่มหาศาลเกินความคาดหมายตน พลังที่ว่านั้นมันกำลังดันเอาปราณไร้ลักษณ์กลับไป แต่สไปค์ก็ไม่ยอมง่าย ๆ เช่นกัน
“พลังปราณระดับหก!”
ความเข้มข้นของปราณเมื่อสูงขึ้น พลังของกระบวนยุทธ์ก็ถูกเพิ่มพูนประสิทธิภาพมากขึ้นไปอีก
ในตอนนั้นทุกคนมองเห็นอากาศรอบตัวปริร้าวและแตกกระเจิงออกเหมือนกับเศษกระจก ภาพที่เห็นทำให้ทุกคนในที่นี้ต่างรู้สึกกันไปว่านี่ตัวเองยืนอยู่ในกล่องกระจกมาตลอดหรือไร
“ได้ผล ข้าทำลายกฎของที่นี่เรียบร้อยแล้ว!”
“ปะ...เป็นอะไรรึเปล่า!”
แม้จะทำได้ แต่ก็ทำได้อย่างยากลำบาก สไปค์ใช้พลังปราณไปมากจนต้องพักฟื้นอย่างน้อยก็อีกหลายชั่วโมงถึงจะทำให้พลังกลับคืนมาดังเดิมได้ ฟาร์ชูลันรีบวิ่งเข้าไปประคองร่างของสไปค์เอาไว้ แววตาของเธอสั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด
“เฮ้ ๆ ทำลายกฎที่เจ้ามังกรนิลกาฬสร้างขึ้นได้มันก็ดีอยู่หรอก แต่หลังจากนี้จะเอาไงล่ะ” ซิลเวอร์พูดเสียงสั่น เมื่อสายตาของเขาจ้องไปเห็นบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ไกลออกไปไม่เท่าไหร่ “ยังอยากจะทำตามแผนที่วางไว้อยู่มั้ย ว่าไง?”
“ดูเหมือนจะทำแบบนั้นไม่ได้แล้วล่ะ” ไอช่ากล่าวเสริม กระทั่งเธอเองยังรู้สึกกดดันต่อภาพที่เห็นเบื้องหน้า
ร่างสีดำขนาดมหึมาพ่นลมหายใจออกทางจมูกอย่างเป็นจังหวะ มันเปิดเปลือกตาขึ้นจนมองเห็นนัยน์ตาสีส้มแดงข้างในนั้น หนำซ้ำเมื่อเห็นผู้บุกรุกทั้งสี่คนแล้วตัวมันเองก็ใช้ขาหลังทั้งสองข้างยันร่างอันใหญ่โตให้ลุกขึ้นมายืนอีกครั้ง ปีกทั้งสองข้างจากที่ปกติแนบชิดติดกับลำตัว ขณะนี้มันกางออกอย่างรุนแรง
เสียงคำรามที่มันปล่อยออกมา แทบจะทำให้ถ้ำแห่งนี้พังทลายลง...
ทุกคนต่างก็อุทานออกมาเป็นเสียงเดียวกัน
“มังกรนิลกาฬ!”