บทที่ 15 เจตนาที่แท้จริง
บทที่ 15 เจตนาที่แท้จริง
เช้าตรู่วันต่อมา ภายในตึกเล็กๆ ที่ภายนอกดูไม่มีอะไรพิเศษหลังนี้ก็เริ่มอลหม่านวุ่นวายขึ้นมาทันที
หลิวอวี่หาวแบ่งเฉลี่ยเสบียงอาหารตามจำนวนคน แล้วส่งให้กับมือของทุกคน ไม่เว้นแม้แต่หลิงม่อและเย่เลี่ยน
แน่นอนว่าสำหรับหลิงม่อที่มีอาหารอยู่เต็มกระเป๋าเป้แล้ว แค่น้ำแร่สองขวดกับขนมขบเคี้ยวสามสี่ห่อ มันไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเย่เลี่ยน เพราะเธอไม่สนใจอาหารที่คนทั่วไปกินอยู่แล้ว
แต่พอคนอื่นที่เหลือรับอาหารที่แสนจะน้อยนิดนี้ แล้วเห็นหลิงม่อทำสีหน้าไม่ยี่หระ พวกเขาก็รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย
ลู่ซินที่แก้มยังไม่หายบวมบ่นอุบอิบกับคนที่อยู่ข้างๆ ว่า “เขาไม่เห็นจะมาสนใจใยดีพวกเรา แล้วยังจะแบ่งเอาอาหารของเราไปอีก!”
“หยุดพูดได้แล้ว นายอยากจะโดนอีกเหรอไง...” หนุ่มแว่นหันไปพูดพลางขมวดคิ้ว
“ก็ไม่ใช่เพราะพวกนายขี้ขลาดตาขาวเหรอไง!” ลู่ซินใบหน้าแดงจัด หลังจากก่นด่าเสียงเบา เขาก็เงียบปากไปในทันที
แม้ว่าหลิงม่อจะไม่ได้มองเขาเลยแม้แต่แวบเดียว แต่พอลู่ซินเห็นหลิงม่อเดินเข้ามา เขาก็จัดการปิดปากเสียๆ และไม่ได้พูดอะไรอีก
“พวกนายมีอาวุธอะไรบ้าง” หลิงม่อไหนเลยจะสนใจคนอย่างลู่ซิน เขาเดินตรงไปหาหลิวอวี่หาวและเอ่ยถาม
หลิวอวี่หาวกำลังค้นหาอะไรบางอย่างในกระเป๋าเป้ใบใหญ่ทั้งหลาย เมื่อได้ยินหลิงม่อถาม เขาก็เงยหน้าขึ้นมาและควักมีดหั่นผักหนึ่งเล่มออกมาอย่างอายๆ “นี่นับว่าดีที่สุดแล้ว”
ที่จริงแล้ว ด้วยกำลังแขนของคนธรรมดาทั่วไป การจะใช้มีดหั่นผักบั่นหัวซอมบี้ในฉับเดียวเป็นอะไรที่ทำได้ยากมาก แล้วการจะทำให้บาดเจ็บจนถึงแก่ชีวิตหรือยับยั้งการเคลื่อนไหวของซอมบี้ก็คงไม่ง่ายด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ในการต่อสู้ระยะประชิด แม้ว่าจะมีอาวุธอยู่ในมือ แต่สำหรับคนทั่วไปแล้วนับว่าเป็นการทดสอบความมุ่งมั่นและปฏิกิริยาโต้ตอบครั้งใหญ่ทีเดียว หากตอนแรกหลิงม่อไม่ได้มีเจ้าหุ่นซอมบี้คอยช่วยเหลือล่ะก็ เขาเองก็คงพัฒนาฝีมือจากการอาศัยการต่อสู้ได้ยากเหมือนกัน
แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลย อย่างไรเสียมีมีดหั่นผักอยู่ในมือก็ดีกว่ามือเปล่าอยู่แล้ว
“แจกให้คนละเล่มดีกว่า ซอมบี้ตัวเดียวแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปแค่เล็กน้อยเท่านั้น ถึงแม้จะไม่มีความกล้าแต่คงไม่ถึงกับไม่มีความสามารถในการต้านทานเลย แต่ถึงยังไงซอมบี้ก็ชนะเรื่องจำนวนอยู่ดี”
หลิงม่อพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ เมื่อคนปกติทั่วไปคนหนึ่งเจอเข้ากับซอมบี้ธรรมดาตัวหนึ่ง ยังไงก็มีแรงกำลังที่จะต่อสู้กลับไหวอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้เอง หลิงม่อถึงได้ดูถูกพวกมอดในห้องนี้ที่แข็งแรง มีมือมีเท้าครบและเปี่ยมด้วยพละกำลัง แต่กลับเอาแต่พึ่งพาอาศัยเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง
“พูดง่ายดีนะ!”
แม้ว่าจะมีคนบ่นไม่พอใจ แต่ทุกคนก็ยังคงรุมล้อมอยู่ตรงหน้าหลิวอวี่หาวและหยิบอาวุธไป
ดูจากท่าทีของหลิงม่อแล้ว ถึงแม้พวกเขาจะตกอยู่ในอันตราย เขาก็คงไม่มีทางยื่นมือมาช่วย แล้วถ้าเกิดถึงตอนนั้นซย่าน่ากับหลิวอวี่หาวไม่มีเวลามาดูแล พวกเขาก็คงเอาแต่รอความตายไม่ได้หรอก...
ไม่นานนักก็แจกจ่ายอาหารและอาวุธเสร็จเรียบร้อย ส่วนซย่าน่าก็ถือดาบยาวที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดกลับเข้ามา
เธอออกไปข้างนอกเพื่อจัดการพวกซอมบี้ที่เดินเตร่อยู่บริเวณแถวนั้นก่อน ซึ่งนับเป็นการเปิดทางไว้ล่วงหน้า
“ไปกันเถอะ เราจะต้องไปถึงโรงเรียนซานจงก่อนบ่าย” ซย่าน่ายืนอยู่ที่ประตู ใบหน้าที่ดื้อรั้นหยิ่งยโสนั้นเผยให้เห็นถึงความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่
ทันทีที่ซย่าน่าพูดออกมา คนกลุ่มนี้ต่างก็มองหน้ากัน แล้วเดินลงบันไดตามหลังหลิวอวี่หาวไป ส่วนหลิงม่อและเย่เลี่ยนเดินรั้งท้ายสุด
พอผลักเปิดประตูออก ภาพซากซอมบี้สองตัวที่นอนขวางอยู่ด้านนอกก็ปรากฏต่อสายตาทันที เด็กผู้หญิงสามสี่คนพากันกรีดร้องตกใจ
“เงียบ! เดี๋ยวซอมบี้จะพากันมา!” ซย่าน่าขมวดคิ้วแล้วหันไปพูด
เด็กผู้หญิงสามสี่คนนั้นรีบปิดปากทันที แล้วถึงแม้เด็กผู้ชายคนอื่นจะไม่ได้ส่งเสียงร้อง แต่สีหน้าก็ดูไม่ค่อยดีสักเท่าไร ส่วนหลิงม่อที่เห็นภาพนี้แอบส่ายหัว เป็นมอดมานาน แม้แต่ผู้รอดชีวิตทั่วไปก็ยังเทียบไม่ได้เลย จนถึงเวลานี้คงมีผู้รอดชีวิตไม่กี่คนที่ตกใจกลัวเพียงเพราะเห็นซากซอมบี้
“ซานจงอยู่ทางนี้ ระหว่างทางจะต้องผ่านย่านที่พักอาศัยสามย่านและถนนใหญ่สองสาย แล้วก็ยังมีโรงพยาบาลอีกหนึ่งแห่งซึ่งจะต้องมีซอมบี้อยู่เพียบ นายแค่ช่วยตอนที่ฉันรับมือกับพวกมันไม่ไหวก็พอแล้ว” ซย่าน่าหันไปพูดกับหลิงม่อ
หลิงม่อพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ แล้วจูงมือเย่เลี่ยนด้วยสีหน้าเรียบเฉย การที่เขารับปากตามที่ซย่าน่าร้องขอ ที่จริงแล้วมีหลายปัจจัยอยู่ในนั้น เขารู้สึกชื่นชมเลื่อมใสเด็กผู้หญิงคนนี้ ขณะเดียวกันก็อยากทำอะไรให้กับหวังหลิ่นบ้าง อย่างไรเสียมีดสั้นเล่มนี้ก็ใช้งานดีมาก แต่หวังหลิ่นตายจากไปแล้ว จึงได้แต่ช่วยเหลือญาติของเธอแทน...
แต่อีกด้านหนึ่ง นี่ก็เป็นโอกาสสำหรับหลิงม่อเองด้วย ไม่เพียงจะได้ดูลาดเลาสถานการณ์ในเมือง เขายังจะได้ลับฝีมือการควบคุมหุ่นซอมบี้ของตัวเองและเพิ่มประสบการณ์การต่อสู้
อันที่จริง ปกติเวลาที่ร่วมมือกับเย่เลี่ยน และเมื่อวานที่ลองควบคุมซอมบี้หลายตัวพร้อมกัน หลิงม่อก็แอบสังเกตเห็นว่าแม้ว่าความสามารถในการควบคุมหุ่นซอมบี้ของตัวเองจะเชี่ยวชาญขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็มักจะรู้สึกว่ามีบางอย่างขวางกั้นอยู่ นี่สินะที่เรียกว่าภาวะคอขวดน่ะ...
ไม่รู้ว่าหลังจากบุกทะลวงเจ้าคอขวดนี้ไปได้แล้ว จะก้าวไปสู่ขั้นไหนนะ ยิ่งความสามารถของเขาพัฒนาไปเร็วมากเท่าไร เขาก็ยิ่งช่วยเย่เลี่ยนวิวัฒนาการได้เร็วมากขึ้นเท่านั้น ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้เธอฟื้นคืนสติกลับมาในเร็ววันนี้ด้วยก็ได้
นับตั้งแต่ที่กลืนกินก้อนเหนียวหนืดในสมองของซอมบี้กลายพันธุ์และมีเค้าว่าได้สติขึ้นมาเล็กน้อย เย่เลี่ยนก็ไม่ค่อยสนใจก้อนเหนียวหนืดในสมองของซอมบี้ทั่วไปแล้ว นอกจากนี้ผลลัพธ์หลังจากที่กลืนกินเข้าไปก็ไม่มากมายสักเท่าไร
ซึ่งนี่ก็หมายความว่าเขาจะต้องพาเย่เลี่ยนไปตามหาซอมบี้กลายพันธุ์ให้มากกว่านี้...
จากประสบการณ์ที่ได้เจอเข้ากับซอมบี้กลายพันธุ์สองครั้ง บวกกับการวิเคราะห์ของเขา หลิงม่อคิดว่าโดยทั่วไปแล้วสถานที่ที่พวกซอมบี้กลายพันธุ์ปรากฏตัวนั้นล้วนค่อนข้างเป็นสถานที่ปิด อีกทั้งมีคนอยู่จำนวนหนึ่ง
ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลหรือว่าโรงเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงเรียนประจำ ล้วนแล้วแต่เป็นไปได้อย่างมากที่จะมีซอมบี้กลายพันธุ์ปรากฏตัว!
วินาทีที่รับปากซย่าน่า หลิงม่อก็ได้ตัดสินใจแล้วว่า ทันทีที่ไปถึงประตูทางเข้าโรงเรียน เขาก็จะแยกย้ายกับพวกซย่าน่า พวกเขาไปช่วยพวกเพื่อนๆ ในโรงเรียน ส่วนเขาก็จะพาเย่เลี่ยนไปหาซอมบี้กลายพันธุ์บริเวณภายในรั้วโรงเรียน!
เมื่อพาตัวภาระกลุ่มใหญ่ไปด้วย ซย่าน่าและเพื่อนๆ จึงเคลื่อนขบวนไปได้ไม่เร็วนัก แต่พอได้เห็นซย่าน่าสังหารเหล่าซอมบี้อย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าผ่อนคลาย คนพวกนี้ก็หวาดกลัวน้อยลงไปมากทีเดียว แล้วแม้หลิวอวี่หาวจะต่อสู้ไม่เก่งเท่าซย่าน่า แต่เขาก็ต่อสู้เข้าขากันได้ดีกับซย่าน่า ทุกครั้งที่ซย่าน่าไล่ต้อนฝูงซอมบี้ เขาก็จะวิ่งพรวดไปจัดการซอมบี้สักตัวสองตัว แล้วพอทำสำเร็จแล้ว เขาก็จะถอยมาอยู่ข้างหลังซย่าน่าทันที
ในทางกลับกัน ถึงแม้คนอื่นจะถืออาวุธอยู่ในมือ แต่กลับไม่กล้าลงมือแต่อย่างใด...
หลังจากผ่านย่านแรกมาได้อย่างค่อนข้างราบรื่นแล้ว ในที่สุดก็ปรากฏผู้รับเคราะห์รายแรก
ตอนที่เดินผ่านร้านค้าร้านหนึ่ง จู่ๆ ก็มีมือข้างหนึ่งยื่นออกมาจากด้านหลังชั้นวางสินค้าที่ล้มครืน แล้วคว้าดึงตัวเด็กหนุ่มคนหนึ่ง
แต่เด็กหนุ่มคนนี้แค่ทันได้ส่งเสียงร้องตกใจ จากนั้นก็โดนดึงเข้าไปท่ามกลางชั้นวางสินค้าทันที
ตอนที่หลิงม่อซึ่งอยู่ใกล้เขาที่สุดถีบชั้นวางสินค้าออกไป เด็กหนุ่มก็ได้ถูกซอมบี้ตัวน้อยอายุเจ็ดแปดขวบตัวนั้นกัดคอขาดแล้ว เด็กหนุ่มดวงตาเบิกโต เลือดไหลทะลักออกจากปาก ไม่สามารถพูดอะไรได้ เวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งวินาที คอของเขาก็ถูกฉีกออกเป็นรูขนาดใหญ่ แม้แต่หลอดลมก็ถูกลากออกมาด้วย
ซอมบี้ตัวน้อยเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับเลือดเต็มปาก เมื่อมองผ่านผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงสกปรก ก็จะเห็นดวงตาคู่แดงก่ำจ้องมองหลิงม่อด้วยความเย็นยะเยือกราวกับมองคนตาย แล้วกระโดดเข้าหาทันที
สำหรับหลิงม่อแล้ว การรับมือกับซอมบี้ตัวเดียวเป็นเรื่องที่สบายมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขารู้วิธีใช้ความสามารถการควบคุมหุ่นซอมบี้ในชั่วพริบตา
ช่วงวินาทีที่ประสานสายตากับซอมบี้ตัวน้อย หลิงม่อก็เข้าควบคุมมันเป็นการชั่วคราว แม้แต่อากัปกิริยาที่กระโดดเข้าหาเขาเหมือนกับจะจู่โจม ที่จริงแล้วก็เป็นฝีมือหลิงม่อควบคุมเอง
เมื่อเห็นว่าซอมบี้ตัวน้อยกำลังจะพุ่งชนเขา อีกทั้งคนที่อยู่ข้างหลังก็กรีดร้องตกใจ หลิงม่อก็ตวัดมีดสั้นที่อยู่ในมือด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ฟึ่บ!”
เลือดสาดกระเซ็นไปบนกำแพงตามการตวัดมีดของหลิงม่อ ส่วนซอมบี้ตัวน้อยร่วงจากกลางอากาศมาอยู่ที่ข้างเท้าของหลิงม่ออย่างแรงทันที
“เขาตายแล้ว”
หลิงม่อไม่แม้แต่จะมองซากซอมบี้ตัวนี้ เขามองข้ามมันไปยังเด็กหนุ่มที่นอนจมอยู่ในกองเลือด จากนั้นก็พูดสรุปสั้นๆ
ทุกคนนิ่งเงียบทันที หลังจากนั้นไม่กี่วินาที จู่ๆ เด็กผู้หญิงคนหนึ่งก็ร้องห่มร้องไห้ แต่เนื่องจากหวาดกลัวพวกซอมบี้ เธอจึงรีบปิดปากตัวเองทันทีที่เสียงลอดออกมา อุดเสียงร้องไห้ไว้ในปาก ทำให้เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นฟังดูอู้อี้
เด็กผู้หญิงสามสี่คนที่เหลือต่างก็มองซากศพที่ยังคงกระตุกเล็กน้อยด้วยความหวาดผวาสุดขีดเช่นกัน ขอบตาแดงไปเกือบหมดแล้ว ส่วนท่าทีของพวกเด็กผู้ชายก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
...................................................................................