บทที่ 15 ล่องเรือไม่ใช้ไม้พาย
บทที่ 15 ล่องเรือไม่ใช้ไม้พาย
ช่วงเช้า พระอาทิตย์ขึ้นสูงแล้ว จู่ๆ เฉินเสียวเลี่ยนก็ได้ยินเสียงครืดคราดกระหึ่มดังขึ้นมาจากพื้นดิน
จากนั้นพื้นดินก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงคล้ายกับว่าเกิดแผ่นดินไหว
การสั่นสะเทือนเกิดขึ้นไวมากและก็หายไปไวมากเช่นกัน ในค่ายดูเหมือนจะเดือดพล่านขึ้นมา นั่นไม่ใช่เพราะความตกใจ แต่เป็นเพราะความตื่นเต้นยินดี
มีคนจำนวนไม่น้อยส่งเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจ กระทั่งบางคนก็ผิวปากเสียงดัง
ตอนนั้นเอง นิวตันรีบขึ้นไปบนก้อนหินก้อนหนึ่ง เขาตะโกนเสียงดังไปก้องทั้งหุบเขา
“ได้เวลาดันเจี้ยนเปิด! ทุกคนเตรียมตัว!!”
ขณะเดียวกันนั้น เฉินเสี่ยวเลี่ยนก็ ‘มองเห็น’ การแจ้งเตือนที่สะดุดตาสุดๆ ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ
‘คำเตือน 1: ดันเจี้ยนปีศาจย่อย 72 ตนแห่งโซโลมอนเปิดแล้ว เป้าหมาย:สังหารผู้พิทักษ์วิญญาณ จะได้รับชิ้นส่วนเสาปีศาจ 72 ตนแห่งโซโลมอน ดันเจี้ยนนี้เป็นดันเจี้ยนทรัพยากรระดับ B อย่าลืมคอยเก็บรวบรวมทรัพยากรจากดันเจี้ยน ขอให้ทุกคนโชคดี’
‘คำเตือน 2: ดันเจี้ยนนี้เป็นดันเจี้ยนสายเวทย์ มีเงื่อนไขจำกัดการใช้งานอุปกรณ์สายเทคโนโลยี ขอให้ผู้เล่นดำเนินการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม’
‘คำเตือน 3: ดันเจี้ยนนี้ห้ามผู้เล่นต่อสู้กันเอง ห้ามสังหารผู้เล่นอื่น หากทำผิดกฎ ระบบจะดำเนินการลงโทษ’
ขณะที่เฉินเสี่ยวเลี่ยนกำลังตั้งใจอ่านคำเตือนอย่างละเอียดอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงนิวตันสบถด่าดังมาจากที่ไกลๆ
“แม่งเอ๊ย จำกัดสายเทคโนโลยี? แล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่แรกวะ!!”
เขาโกรธจัดจนโยนกระบอกปืนที่มีรูปร่างโอเวอร์เหมือนในภาพยนตร์ไซไฟอวกาศลงพื้นอย่างรุนแรง
เห็นได้ชัดว่า... การจำกัดสายเทคโนโลยีส่งผลเสียต่อทีมอย่างมาก
ค่ายอื่นๆ ก็มีเสียงร้องแสดงความไม่พอใจดังมาเช่นกัน
เฉินเสี่ยวเลี่ยนมองดูหานปี้ ก็พบว่าท่าทางหานปี้ดูผิดปกติเล็กน้อย คิ้วคมเข้มที่คล้ายกับถูกวาดขึ้นขมวดแน่น
“เกิดอะไรขึ้น? มีปัญหาอะไร?” เฉินเสี่ยวเลี่ยนเป็นฝ่ายขยับเดินเข้าไปใกล้ก่อน
“ฮึ ไม่ต้องมาคุยกับฉัน” หานปี้หันหน้าไปอีกทาง
“ฉันขอโทษ” เฉินเสี่ยวเลี่ยนรีบพูด “เป็นความผิดของฉันเองที่ปิดบังบางอย่างไว้ แต่ว่า...ฉันเองก็มีเรื่องลำบากใจ ฉันไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่ว่า...อย่างน้อย พวกเราก็พึ่งพากันได้นี่นา”
“...ฉันจะเชื่อนายได้ยังไง?” หานปี้ลังเลเล็กน้อย
“ถ้าฉันหลอกนาย หลังจากกลับไปแล้วนายไปด่าฉันที่ช่องคอมเมนต์หนังสือได้เลย แล้วก็เปิดโปงว่าฉันไม่ใช่ไอ้อ้วนอายุสามสิบ แต่เป็นไอ้หน้าอ่อนที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ แบบนี้เป็นไง?”
“ถุ้ย” หานปี้อดทนไม่ไหวอีกต่อไป มุมปากคลี่รอยยิ้มออกมา จากนั้นก็ถอนหายใจ “ช่างเถอะ อย่างน้อยก็มีเรื่องหนึ่งที่นายพูดไม่ผิด ในสถานการณ์แบบนี้ พวกเราได้แต่พึ่งพาอาศัยกัน”
เขามองเฉินเสี่ยวเลี่ยนแวบหนึ่ง “แล้วปีศาจ 72 ตนแห่งโซโลมอนนั่น...มันหมายความว่ายังไง นายรู้เรื่องบ้างหรือเปล่า? ฉันเคยได้ยินแต่กษัตริย์โซโลมอน เรื่องอื่นๆ ไม่รู้ด้วยแล้ว”
เฉินเสี่ยวเลี่ยนกำลังกังวลว่าจะคลี่คลายความสัมพันธ์ของทั้งคู่ยังไง พอได้ยินหานปี้มีเรื่องขอร้องตนก็ไม่ลังเลที่จะพูดออกมาทันที “ฉันพอรู้เรื่องอยู่จริงๆ นั่นแหละ ปีที่แล้วก่อนฉันลงมือเขียนนิยายเรื่องหนึ่งได้ศึกษาเกี่ยวกับตำนานเทพปรัมปราของต่างประเทศ อยากจะดูข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับโครงเรื่องสักหน่อย ปีศาจ 72 ตนแห่งโซโลมอนพวกนี้ ฉันเคยเห็นข้อมูลต่างๆ มาอยู่บ้าง”
“หือ? ไหนลองว่ามาซิ”
เฉินเสี่ยวเลี่ยนครุ่นคิด “รู้จักกษัตริย์โซโลมอนใช่ไหม?”
“เคยได้ยินชื่อนี้นะ แต่ว่าเขาทำอะไรบ้างก็ไม่รู้แล้ว”
“...” เฉินเสี่ยวเลี่ยนคิดเล็กน้อย “เอาเถอะ ฉันจะไม่ลงรายละเอียดมากไป นายต้องรู้แค่ว่ากษัตริย์โซโลมอนเป็นราชาผู้ยิ่งใหญ่ในตำนานของชาวยิวฝั่งตะวันตก ตามตำนานเล่าว่าเขาเป็นนักเวทย์ที่สุดยอด เขามีแหวนอาคมที่สุดยอดมากๆ วงหนึ่ง สามารถใช้แหวนอาคมที่สุดยอดวงนี้เรียกใช้ปีศาจสุดร้ายกาจทั้ง 72 ตนได้ ปีศาจทั้ง 72 ตนมีชื่อและความสามารถแตกต่างกันไป ว่ากันว่าร้ายกาจอย่างที่สุด”
“ทำไมฉันฟังแล้วมันเหมือนเดอะลอร์ดออฟเดอะริงเลยล่ะ?”
“อือ คล้ายๆ กันนิดหน่อย” เฉินเสี่ยวเลี่ยนยิ้ม “เจอาร์อาร์คนเขียนเดอะลอร์ดออฟเดอะริงคงได้อ่านตำนานของกษัตริย์โซโลมอนมาไม่น้อยแน่ๆ”
พอเห็นว่าหานปี้ไม่พูดอะไร เฉินเสี่ยวเลี่ยนก็พูดสิ่งที่เขาเข้าใจและคาดเดาไว้ออกมาอย่างไม่ลังเล
“ดันเจี้ยนนี้มีชื่อว่า ‘ปีศาจย่อย 72 ตนแห่งโซโลมอน’ ภารกิจสูงสุดก็คือการได้รับ ‘ชิ้นส่วนเสาปีศาจ’ เจ้าชิ้นส่วนเสาปีศาจนี่ ตามตำนานมันคือของที่กษัตริย์โซโลมอนใช้ผนึกปีศาจพวกนี้เอาไว้ ฉันเดาว่าน่าจะเป็นของที่คล้ายกับแท่งหินละมั้ง สังเกตคำว่า ‘ย่อย’ กับ ‘ชิ้นส่วน’ สองคำนี้แสดงว่าปีศาจทั้ง 72 ตนจะไม่ปรากฏออกมาทั้งหมด แต่จะออกมาแค่ 1 ใน 72 ตัว
ส่วนผู้พิทักษ์วิญญาณ คงจะเป็น BOSS ที่เฝ้าคุ้มครองอยู่”
หานปี้พยักหน้า “แล้วยังบอกว่าเป็นดันเจี้ยนทรัพยากรระดับ B อีก ระดับอะไรยังไงฉันไม่แน่ใจนัก แต่คำว่าทรัพยากรก็คงมีความหมายตรงตามตัวอักษรละนะ”
“ใช่แล้ว ฉันเดาว่า ‘ชิ้นส่วนปีศาจ 72 ตน’ ที่จะได้รับ เจ้าชิ้นส่วนนั่นก็คือ ‘รางวัลใหญ่’ ของดันเจี้ยนนี้ แต่นอกจากนี้แล้วในดันเจี้ยนยังมีทรัพยากรและไอเทมอีกมากที่สามารถเก็บได้... ถ้าดันเจี้ยนมีแค่ ‘รางวัลใหญ่’ มอบให้ คงไม่มีสมาพันธ์แห่กันมามากขนาดนี้”
หานปี้ฟังถึงตรงนี้ก็พยักหน้า แล้วมองเฉินเสี่ยวเลี่ยนทีหนึ่ง “นายยังมีเรื่องอะไรปิดบังฉันอยู่หรือเปล่า?”
“...มี” เฉินเสี่ยวเลี่ยนลังเลเล็กน้อย แล้วตัดสินใจพูดความจริง “แต่ว่า เพราะว่ามีบางเรื่องที่ฉันก็ยังคิดไม่ตก ดังนั้น... ขอโทษด้วยนะ ฉันยังบอกนายไม่ได้ชั่วคราว”
“...ฉันฝืนยอมรับคำพูดนี้ไว้ก็ได้” หานปี้ยิ้มขื่น “นายยอมรับว่ามีก็พอแล้ว อยากน้อยนี่ก็ถือว่ามีความซื่อสัตย์อยู่ ถ้านายไม่แม้กระทั่งจะยอมรับ ฉันก็จะไม่ร่วมมือกับนายอีกแล้ว กลัวอะไรกับการที่พวกเราสองคนเป็นพวกมั่วเข้ามา”
“ถ้างั้นก็...ร่วมมือกันนะ?” เฉินเสี่ยวเลี่ยนจดจ้องหานปี้
“...ร่วมมือกัน!” หานปี้มองเฉินเสี่ยวเลี่ยนอย่างลึกซึ้ง
......
ตอนนั้นเอง เสียงคำสั่งของนิวตันก็ลอยมา “ประตูดันเจี้ยนเปิดแล้ว! เตรียมตัวเข้าได้!”
ปีกด้านหนึ่งของหุบเขา ส่วนที่อยู่ใต้ยอดเขาที่สูงที่สุด บนผาหินไม่รู้ว่ามีถ้ำปรากฏขึ้นตอนไหน ดูเหมือนว่าก้อนหินจะ ‘ละลาย’ หายไปอย่างแปลกประหลาดได้เอง กลายเป็นถ้ำหินที่มีขนาดใหญ่ประมาณประตูเมือง
บนปากถ้ำยังมีม่านแสงสีเขียวอีกชั้นหนึ่ง
“ไปๆๆ! เข้าไป!”
สมาพันธ์ต่างๆ รวมตัวกันอยู่ที่หน้าปากถ้ำ แต่ไม่มีการต่อสู้ยื้อแย่งกัน ต่างทยอยเข้าไปในถ้ำอย่างเป็นระเบียบ
นิวตันยืนอยู่ตรงปากถ้ำ สมาชิกของสมาพันธ์ตัดวายุเดินเข้าถ้ำไปอย่างระมัดระวังทีละคนๆ
เฉินเสี่ยวเลี่ยนพบว่า พอมีคนเดินเข้าไปในถ้ำผ่านม่านแสงสีเขียวนั้น บนม่านแสงก็จะปรากฏลำแสงเส้นหนึ่งทำการสแกนคนนั้นตั้งแต่หัวจรดเท้ารอบหนึ่ง
ปรากฏการเปลี่ยนแปลงเพียงครั้งเดียวก็คือ ตอนที่ซารอสพาซูซูกับชิซูกะเข้าไป
ตอนที่ผู้หญิงทั้งสองถูกเร่งให้เข้าม่านแสง จู่ๆ ม่านแสงก็เปลี่ยนเป็นสีส้มเหลือง
หรือว่าเป็นเหมือนการแยกแยะตัวตน?
สีแตกต่างกัน แบ่งเป็น ‘ผู้เล่น’ กับ ‘NPC’ งั้นเหรอ?
พอถึงคิวของเฉินเสี่ยวเลี่ยน เขารู้สึกตึงเครียดถึงขีดสุด กระทั่งว่าได้ยินหัวใจตัวเองเต้นดังตึกตักๆ อย่างบ้าคลั่ง
อีกด้านหนึ่งนิวตันยืนอยู่ตรงนั้น คล้ายกลับว่ากำลังหรี่ตามองเฉินเสี่ยวเลี่ยนอยู่
เฉินเสี่ยวเลี่ยนทำคอตั้งเดินเข้าไป...
โชคดี หลังลำแสงสีเขียวแสกนเฉินเสี่ยวเลี่ยนทั้งตัวแล้ว... ม่านแสงก็ยังคงเป็นสีเขียวไม่เปลี่ยนแปลง
เฉินเสี่ยวเลี่ยนโล่งใจ ส่วนนิวตันที่อยู่อีกทาง สายตาก็ผ่อนคลายลง มองไปทางอื่นเรื่อยเปื่อย
......
ในถ้ำหิน
ภูเขาลูกนี้เหมือนถูกขุดจนกลวง ในถ้ำหิน ตรงผนังเห็นได้ชัดว่ามีรอยเซาะออกอย่างชัดเจน พื้นดินใต้เท้าราบเรียบมาก มองไปข้างหน้าตามทางเดินก็เห็นว่ามีพื้นยกสูงขึ้น
แต่ว่าทั้งหมดนี้ เต็มไปด้วยกลิ่นไอเก่าแก่ลึกลับอย่างเห็นได้ชัด
สมาชิกคนหนึ่งของสมาพันธ์ตัดวายุที่เฉินเสี่ยวเลี่ยนไม่รู้จักชื่อ แต่กลับจำได้ว่าบนใบหน้าของเขาทาสีน้ำมันเอาไว้มากมายเป็นลวดลายที่ดูคล้ายกับเปลวไฟ
ชายหน้าลายยืนอยู่ในถ้ำ เมื่อสมาชิกของสมาพันธ์ตัดวายุเดินผ่านเขา เขาก็จะส่งขวดให้ขวดหนึ่ง
ตอนที่เฉินเสี่ยวเลี่ยนกับหานปี้รับของมา ชายหน้าลายก็ดูออกว่าพวกเขาเป็นเด็กใหม่ เขาเอ่ยปากบอกเรียบๆ ว่า “น้ำยาสกัดจากกบหิ่งห้อย รับไปซะ ต้องได้ใช้แน่”
สมาพันธ์ตัดวายุมีสมาชิกรวมสิบคน มีเด็กใหม่ที่นับรวมเฉินเสี่ยวเลี่ยนด้วยแล้วห้าคน
นอกจากนี้มีสมาชิกเก่า คือ หัวหน้าทีมนิวตัน ซารอส เดม่อน ตู๋หยา ชายหน้าลาย... เฉินเสี่ยวเลี่ยนเพิ่งจะค้นพบว่าสมาชิกเก่าทั้งหมดของสมาพันธ์ตัดวายุ มีแค่ซารอสคนเดียวที่เป็นผู้หญิง
เรื่องนี้แตกต่างไปจากสมาพันธ์อื่น สมาพันธ์อื่นมีสัดส่วนหญิงชายที่ไม่ต่างกันมากนัก
เฉินเสี่ยวเลี่ยนค้นพบด้วยความประหลาดใจว่า ตอนที่ซารอสรับน้ำยาสกัดจากกบหิ่งห้อยจากมือของชายหน้าลาย ก็ส่งสายตาให้ทีหนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มมีเสน่ห์ จากนั้นก็ฉวยโอกาสหยิกเนื้อบนร่างกายล่ำสันของชายหน้าลายทีหนึ่ง...
ผู้หญิงคนนี้ ทำไมดูเหมือนมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับสมาชิกชายของสมาพันธ์ตัดวายุไปซะทุกคน?
เหมือนกับว่าเห็นความข้องใจของเฉินเสี่ยวเลี่ยน หานปี้ขยับมาอยู่ข้างเขา ยิ้มพลางพูดเสียงต่ำว่า “ซารอสคนนั้นไม่เบาเลย ในสมาพันธ์ใครๆ ก็ชอบ รู้รอบช่องทางเส้นสาย สมกับเป็นสาวงามชั้นยอด”
เฉินเสี่ยวเลี่ยนนึกถึงตอนที่ผู้หญิงคนนี้มองชิซูกะอย่างชั่วร้าย และท่าทางโรคจิตตอนที่คิดจะเอาซูซูไปเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงในกรง...
เขาถอนหายใจเบาๆ พึมพำพูดออกมาประโยคหนึ่ง
“นายพูดพึมพำอะไรคนเดียวน่ะ?” หานปี้ถาม
“ผู้หญิงหากินล่องเรือไม่ต้องใช้ไม้พาย[1]”
“หา? หมายความว่ายังไง? แล้วจะใช้อะไรล่ะ?”
“แค่แรดไปเรื่อยๆ ก็พอ”
“...” หานปี้กลอกตา “นายนี่สมกับที่เป็นนักเขียนจริงๆ!”
…………………………
[1] เป็นคำด่าที่ดัดแปลงมาจากสำนวน ล่องเรือไม่ใช้ไม้พาย อาศัยแค่คลื่น (划船不用桨,一生全靠浪) หมายถึง การอาศัยผู้อื่นหรือบางสิ่งในการใช้ชีวิต ไม่ยอมใช้ความสามารถของตนเอง