บทที่ 13 ศาสตร์แห่งการคืนชีพ
บทที่ 13 ศาสตร์แห่งการคืนชีพ
เถี่ยซินหยวนรู้สึกสนใจอย่างยิ่งยวดว่า ถ้าหากตามหาศพของนักบวชนอกด่านจนพบแล้ว จะลองจุดไฟเผาดูสักหน่อย เพราะอยากพิสูจน์ดูว่าร่างของนักบวชที่โดนไฟเผาเป็นเถ้าถ่าน จะฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้อีกหรือไม่[1]
จะว่าไปแล้วก็ประหลาดนัก หลังจากเถี่ยซินหยวนมีประสบการณ์ผ่านเรื่องราวน่าอัศจรรย์มาแล้ว เขากลับอยู่ในสถานะไม่เชื่อถือในตำนานทวยเทพและพุทธองค์ที่มีอยู่มากมาย เพราะในการเดินทางที่เหลือเชื่อที่สุดครั้งหนึ่งนั้น เขาไม่พบเจอบุคคลลึกลับและทรงอำนาจตามตำนานเล่าขานแม้แต่คนเดียว
ฉะนั้นเขาไม่เชื่อแน่ว่านักบวชบำเพ็ญตบะผู้นั้นจะสิ้นใจอย่างง่ายดายดังปรารถนา เมื่อสังเกตจากใบหน้าที่แต้มด้วยสีสันเต็มไปหมด ก็รู้ว่าคนผู้นี้จะต้องมาจากอินเดียแน่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายศรัทธาศาสนาฮินดูหรือว่าศาสนาพุทธ
หลังจากเข้าใจที่มาที่ไปแล้ว เรื่องทั้งหมดจึงกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อขึ้นมาในทันที ดังนั้นเถี่ยซินหยวนจึงอยากให้เจ้านักบวชต้มตุ๋นตายไปจริงๆ การทะเลาะวิวาทกับคนเช่นนี้ไม่มีอะไรน่าสนใจควรคู่ให้กล่าวถึง...
ชาวต้าซ่งไม่มีทางเข้าใจความรวดเร็วฉับไวของการเข้าถึงข่าวสารที่มีมากมายในโลกอนาคตหรอก เพียงแค่ลงมือสืบค้น ผู้คนในยุคสมัยนั้นก็จะได้รับข่าวสารจากสถานที่สักแห่งบนโลกมาอย่างง่ายดาย โดยขั้นตอนระหว่างนั้นแทบไม่ต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงอะไรเลยสักนิด
ระยะห่างที่ถนนหน้ากำแพงเมืองเขตพระราชฐานขวางกั้น มีบ้านของครอบครัวหนึ่งอยู่ตรงข้ามบ้านตระกูลเถี่ย ชื่อของพวกเขาทุกคนต่างลืมไปจนหมดแล้ว แต่เรียกชายหัวหน้าครอบครัวนี้ว่าถงป่าน(แผ่นทองแดง) ส่วนหญิงที่เป็นภรรยาเรียกว่าอาซ้อถงป่าน สำหรับบุตรชายที่แข็งแรงดุจลูกวัวของครอบครัวนี้ย่อมเรียกเขาว่าถงจื่อ(บุตรชายของถงป่าน)
ครอบครัวของพวกเขาเปิดกิจการโรงพิมพ์หนังสือ ดังนั้นแต่ละวันเถี่ยซินหยวนจึงมองเห็นหน้าตาของคนครอบครัวนั้นดำเมี่ยมไปหมด เพราะเวลาที่พิมพ์หนังสือไม่อาจหลีกเลี่ยงการเปรอะเปื้อนหมึกพิมพ์ได้
ดูเหมือนว่าถงป่านจะไม่สนใจครอบครัวที่อยู่ตรงข้ามบ้านของตนเลยสักนิดเดียว ส่วนอาซ้อถงป่านเพียงแค่สอดส่องมาทางบ้านตระกูลเถี่ยด้วยความอยากรู้อยากเห็นเป็นครั้งคราว
ทว่าถงจื่อบุตรชายรูปร่างอวบอ้วนของบ้านนี้ กลับรู้สึกอิจฉาเถี่ยซินหยวนที่ครอบครองจิ้งจอกที่งดงามจนน้ำลายแทบหก
ขณะที่ร้านทังปิ่งของหวังโหรวฮวาเพิ่งเปิดกิจการ นางเคยเชื้อเชิญครอบครัวของถงป่านมาที่ร้านเลี้ยงอาหารมื้อใหญ่ เพราะนางตั้งใจว่าจะทำหน้าที่ของเพื่อนบ้านที่ดีให้ครบถ้วนสมบูรณ์
ในวันนั้นครอบครัวถงป่านสามคนเดินทางมาที่ร้าน พวกเขาหิ้วขนมมาด้วยห่อหนึ่ง ทั้งครอบครัวมานั่งกินบะหมี่ชามใหญ่ในร้านอย่างอิ่มหนำจึงกลับบ้านไป
ถ้าหากคาดหวังให้เพื่อนบ้านละแวกใกล้เคียงต่างช่วยเหลือพึ่งพาอาศัยกัน นับว่าเป็นเรื่องที่นางคาดหวังมากเกินไปสักหน่อย นิสัยเสียพิลึกพิลั่นของถงป่านผู้นี้ก็คือหลงใหลแผ่นทองแดงอย่างยิ่ง ขอเพียงเหรียญทองแดงเข้ากระเป๋าบ้านของตนแล้ว อยากจะล้วงกลับคืนเป็นได้แค่เรื่องเพ้อฝันเท่านั้น
เถี่ยซินหยวนเองก็เป็นเด็กนิสัยแปลกประหลาดเหลือเกิน ต่อให้มารดาทำอาหารรสชาติย่ำแย่เพียงไร เขาก็ขมวดคิ้วแล้วฝืนกลืนลงท้องโดยไม่ยอมแบ่งให้ผู้ใดทั้งสิ้น
ทว่าอาหารเลิศรสที่เจ้าจิ้งจอกได้มาจากในวังหลวง เขากลับไม่สนใจใยดีเลยสักนิด อีกทั้งรู้ตัวอยู่นานแล้วว่าเจ้าถงจื่อแอบมองตัวเองกินขนมโก๋ถั่ว(ทำจากแป้งถั่วเขียว) มีบางครั้งที่ทำขนมหล่นพื้นโดยไม่ใส่ใจ เจ้าหมอนั่นก็เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความริษยา ถ้าหากมิใช่รู้กฎว่าเข้าใกล้กำแพงจะโดนประหารอยู่ก่อน เขาคงวิ่งเข้ามาแย่งไปเสียนานแล้ว
ฉะนั้นมีอยู่วันหนึ่งเถี่ยซินหยวนไม่ทันระวังทำลูกเหอเถาหล่นนอกประตูบ้าน จนมันกลิ้งหลุนๆ ไปถึงกลางถนน ถนนตลอดสายที่เดิมทีว่างเปล่าไร้ผู้คนกลับมีคนปรากฏตัวพรวดพราดปานพายุหมุน เก็บลูกเหอเถาขึ้นมาแล้วโบกไม้โบกมืออวดเถี่ยซินหยวน
จากนั้นเจ้าหมอนั่นก็โยนเข้าปาก เสียงกัดกร้วมดังขึ้นก็ขบเคี้ยวเหอเถาจนแหลกละเอียดแล้ว เขากินอย่างเอร็ดอร่อยยิ่งนัก เถี่ยซินหยวนเห็นเข้าแล้วหัวเราะเอิ๊กอ๊ากดังลั่น ทำให้หวังโหรวฮวาตกใจจนต้องโผล่หน้าออกมาดูว่าบุตรชายทำอะไรอยู่กันแน่
หลังจากกินเหอเถาหมดเกลี้ยงแล้ว ถงจื่อก็นั่งจ๋องอยู่หน้าประตูบ้าน เฝ้ามองเถี่ยซินหยวนกินอาหารเลิศรสสารพัดอย่างสลับกันด้วยความหิวกระหาย มีอาหารบางชนิดที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนเลยด้วยซ้ำ
โชคดีที่มือเถี่ยซินหยวนยังเล็กอยู่มาก มักจะคว้าอะไรไม่ค่อยอยู่เป็นประจำ จึงเลี่ยงไม่ได้ที่มีอาหารบางอย่างร่วงลงพื้น อะไรที่หล่นแล้วกลิ้งไปไกลหน่อยก็จะเป็นลาภปากของถงจื่อ ถ้าหากกลิ้งไปไม่ไกลเท่าใด เจ้าจิ้งจอกก็จะคลานเข้าไปงาบกินอย่างเกียจคร้าน
เวลาผ่านไปเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น ถงจื่อเปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่อเจ้าจิ้งจอกจากรักใคร่เป็นโมโหเดือดดาล เขาเกิดความคิดเช่นนี้โดยไม่รู้ตัวว่า อาหารอะไรก็ตามที่เถี่ยซินหยวนทำร่วงลงพื้น ควรเป็นของเขาทั้งหมดถึงจะถูกต้อง
เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อยๆ หวังโหรวฮวาก็อุ้มเถี่ยซินหยวนเข้าบ้านแล้วปิดประตู ถงจื่อที่นั่งอยู่ข้างถนนฝั่งตรงข้ามพลันรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่ง
แต่ขณะที่มารดากำลังอุ้มเข้าบ้าน เถี่ยซินหยวนมักจะโยนของอร่อยชิ้นที่ใหญ่ที่สุดลงพื้นเป็นประจำ อีกทั้งยังฉีกปากยิ้มกว้างไปทางถงจื่อด้วย
สำหรับวิธีรับมือกับเด็กอายุเจ็ดแปดขวบ เถี่ยซินหยวนคิดว่าแค่ขนมกับถั่วนิดๆ หน่อยๆ ก็มากพอที่จะทำให้เด็กคนนั้นยอมทำทุกอย่างตามที่เขาสั่งได้แล้ว โดยเฉพาะในยุคสมัยที่ดินแดนต้าซ่งอดอยากขาดแคลนก็ต้องเป็นเช่นนี้แล
ชาวซ่งปฏิบัติตามธรรมเนียมการเลี้ยงบุตรสาวให้เพียบพร้อม เลี้ยงบุตรชายให้รู้จักความลำบาก ยิ่งไปกว่านั้นถงจื่อยังมีบิดาที่ขี้เหนียวเหลือเกินและมารดาที่นิ่งเฉยพูดจาไม่ค่อยเก่ง เขาอยากจะใช้ชีวิตในวัยเด็กให้เบิกบานเต็มที่เหมือนกับเด็กคนอื่นจึงเป็นไปไม่ได้เลย
ยามพลบค่ำในแต่ละวันเป็นช่วงเวลาที่เถี่ยซินหยวนไม่ชอบมากที่สุด เพราะว่าตอนนี้ในปากเขามีฟันงอกขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ทุกวันมารดาจะจับศีรษะเขาแนบลงกับโต๊ะ แล้วใช้ผ้าแพรผืนหนึ่งเช็ดทำความสะอาดฟันให้ราวกับกำลังเช็ดรองเท้าอย่างไรอย่างนั้น จนกระทั่งฟันแต่ละซี่ของเขาเปล่งประกายวาววับถึงได้ปล่อยตัวเขาไป...
“เหงือกฟันแข็งแรงถึงจะกินเนื้อได้ดี!”
นี่เป็นหลักการของมารดาเขาเอง นางคาดหวังว่าในวันหน้าบุตรชายจะเป็นคนที่ได้กินเนื้อ ไม่ใช่คนที่ได้แต่กินผักดอง จึงเก็บเงินทุนเอาไว้ให้เขาซื้อเนื้อกินอย่างเต็มอิ่มตั้งแต่ยังเล็ก เรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องสำคัญมากในชีวิตของนาง
เพราะว่าไม่มีคนในตระกูล ไม่มีญาติสนิท พิธีฉลองครบขวบของเถี่ยซินหยวนจัดขึ้นในบ้านหลังเล็กๆ มารดาต้มไข่ไก่ให้กิน คนหนึ่งกินไข่ขาวส่วนอีกคนกินไข่แดง ก็นับว่าได้เฉลิมฉลองให้กับวาระสำคัญของชีวิตแล้ว มารดารู้สึกเศร้าเสียใจอยู่บ้างเพราะรู้สึกผิดต่อบุตรชาย เถี่ยซินหยวนกลับคิดว่านี่เป็นวันเกิดที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งของตัวเอง เมื่อเขานับรวมชาติที่แล้วเข้าไปด้วย
เด็กทารกยังไม่มีสิทธิจะเอ่ยปาก และสิ่งที่เถี่ยซินหยวนต้องการที่สุดในเวลานี้ก็คือสิทธิในการพูดนั่นเอง จะให้เป็นเด็กชายหอยโข่งก็ไม่ได้แล้ว มารดาของเขาเข้าใจแล้วว่าวิธีการต้มน้ำพะโล้จะต้องเติมเครื่องเทศอย่างต่อเนื่อง และยังใช้เครื่องเทศที่เจ้าจิ้งจอกหามาเช่นเดิม เพื่อรักษารสชาติของน้ำแกงร้านตระกูลเถี่ยให้ได้มาตรฐานอยู่เสมอ
นักบวชจากนอกด่านผู้นั้นคงไม่มีทางตายง่ายๆ แต่ขอแค่คนที่มีสติปัญญาสักหน่อย เอาร่างของเจ้าหมอนั่นไปเผาทิ้ง เชื่อได้เลยว่าเขาจะต้องกลับไปเข้าเฝ้าพระพุทธองค์แน่
สมัยราชวงศ์ถังตอนต้นมีนักบวชจากอินเดียนำเพชรที่มีความบริสุทธิ์น้อยที่สุด มาสวมรอยว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุ แต่สุดท้ายกลับโดนฟู่อี้ขุนนางผู้มีชื่อเสียงในสมัยนั้นใช้เขาละมั่งมากระเทาะจนแตกเป็นเสี่ยง ทำลายแผนหลอกลวงต้มตุ๋นของนักบวชผู้นี้
ในวันนี้มีนักบวชจากนอกด่านทางตะวันตกมาเยือนดินแดนภาคกลางอีกครั้ง คราวนี้พวกเขาทำตัวลึกลับซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม เกรงว่าศาสตร์แห่งการคืนชีพคงเป็นการละเล่นปาหี่ฉากสำคัญที่สุด
นักบวชนั่นเลือกเขาเป็นการแสดงชุดแรก เหตุผลก็เพราะว่าบ้านตระกูลเถี่ยเป็นเพื่อนบ้านเพียงหนึ่งเดียวของวังหลวงอันใหญ่โตน่าเกรงขาม ถ้าหากมีเรื่องลี้ลับน่าอัศจรรย์เกิดขึ้นจริง ก็อาจรับรู้ไปถึงพระเนตรพระกรรณของโอรสสวรรค์ได้โดยง่าย
เถี่ยซินหยวนไม่ชอบการโดนหลอกใช้หาผลประโยชน์อย่างที่สุด อีกทั้งยังโดนผู้อื่นหาผลประโยชน์อย่างน่ารังเกียจด้วย ดินแดนต้าซ่งเวลานี้นับได้ว่าทุกแคว้นทั่วสารทิศต่างอยากทำการค้าด้วย แต่ยังห่างไกลจากคำว่าทุกแคว้นทั่วสารทิศต้องมอบบรรณาการและสวามิภักดิ์อยู่เล็กน้อย ส่วนผู้ที่คู่ควรกับประโยคดังกล่าวในเวลานี้มีเพียงชาวชี่ตัน
ด้วยเหตุนี้เองจึงมีผู้คนมากมายหลายเผ่าพันธุ์ปรากฏตัวขึ้นในเมืองหลวง มีหลายครั้งที่เถี่ยซินหยวนเห็นราชทูตต่างแคว้นหน้าตาผิวพรรณดำคล้ำราวกับลิง(อียิปต์) นำบรรณาการที่ไม่มีค่าสักเท่าใดไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ แต่ว่ากันว่าพวกเขาได้รับพระราชทานรางวัลกลับคืนมากทีเดียว
เถี่ยซินหยวนยอมรับอย่างเศร้าสลดใจว่า แม้กระทั่งชาวอียิปต์พวกนั้นมีผิวพรรณดำคล้ำหรือไม่ก็ยังไม่ทราบแน่ชัด แล้วจะเปิดโปงศาสตร์แห่งการคืนชีพของนักบวชอินเดียผู้นั้นได้อย่างไร?
ถ้าหากต้องการปฏิเสธเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงตรงหน้า อันดับแรกต้องมีความกล้าหาญและสติปัญญาเหนือชั้น อันดับที่สองต้องมีหนังหน้าหนาทนทานกว่าคนธรรมดาทั่วไป
ในยุคสมัยที่การศึกษาวิทยาศาสตร์ธรรมชาติยังไม่พัฒนาอย่างกว้างขวาง ส่วนใหญ่แล้วผู้ที่มีสติปัญญาเหนือชั้นจะไม่เปิดปากพูดกันง่ายๆ พวกเขามักชอบจับตามองผู้อื่นโดนคนที่เฉลียวฉลาดกว่ากลั่นแกล้งจนหัวหมุน จากนั้นก็ลอบหัวเราะเย้ยหยันอยู่เบื้องหลัง แล้วแยกตัวเองออกจากคนโง่เขลาพวกนั้นอย่างชัดเจน
ต้าซ่งมีคนหนังหน้าหนาทนทานอยู่มากโดยเฉพาะในแวดวงขุนนาง แต่เนื่องจากนักบวชมุ่งร้ายกับทุกคน ดังนั้นก่อนที่ผลประโยชน์ของตนจะถูกล่วงล้ำ พวกเขาไม่มีทางใช้ประโยชน์จากหนังหน้าไปลอยหน้าลอยตากล่าวความเท็จเพื่อใครแน่
เถี่ยซินหยวนไม่ใส่ใจหรอกว่าพวกคนโง่งมในราชสำนักต้าซ่งจะโดนใครหลอกลวง สิ่งที่เขาสนใจก็คือนักบวชสมควรตายนั่นคิดจะหาประโยชน์จากเขาต่างหาก ซึ่งเท่ากับว่ามารดาของเขาจะโดนทำร้ายไปด้วย
ส่วนเรื่องราวในราชสำนักใครจะคาดเดาได้แม่นยำกันเล่า ไม่แน่ว่าฮ่องเต้ทรงรู้ดีว่าโดนหลอกเข้าแล้ว แต่กลับเต็มพระทัยให้คนพวกนั้นหลอกต่อไป ต่างแคว้นแดนไกลส่งทูตเดินทางมาถวายเครื่องราชบรรณาการ แสดงเจตนารมณ์ว่ายอมอยู่ใต้อำนาจ อย่างน้อยก็กล่าวได้ว่าอำนาจบารมีของพระองค์แผ่ไพศาลยิ่งแล้ว
ถ้าหากว่าฮ่องเต้ทรงรู้สึกเสียพระพักตร์จนกริ้วอย่างหนัก ไม่ประสงค์จะสังหารพวกต้มตุ๋น แต่เปลี่ยนพระทัยมาสังหารคนที่เปิดโปงแผนหลอกลวงแทน ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ซวยแย่เลยน่ะสิ
เถี่ยซินหยวนต้องการช่องทางในการสื่อสารความคิดของตน คำพูดของเด็กที่อายุยังไม่ถึงสองขวบไม่มีใครยอมฟังแน่ ต่อให้มารดาของเขายอมฟัง นางคงเห็นเป็นแค่คำพูดเหลวไหลของเด็กเท่านั้น
ประจวบเหมาะนักที่ตรงข้ามบ้านของเขาเป็นโรงพิมพ์หนังสือ และบังเอิญว่าครอบครัวของถงป่านเจ้าของโรงพิมพ์ มีเจ้าหนูที่กล้าทำทุกอย่างเพื่อของกินเพียงเล็กน้อยคนหนึ่ง
เถี่ยซินหยวนจึงวางเป้าหมายไว้ที่เจ้าหนูคนนี้ ถ้าหากสามารถใช้ประโยชน์จากโรงพิมพ์ของครอบครัวนั้นได้ เขาก็จะมีช่องทางสื่อสารแทนคำพูดของตัวเองในทันที
ถ้าหากได้ตัวอักษรเรียงพิมพ์อย่างง่ายๆ มาจากเจ้าเด็กนั่นสักชุด ช่วงชีวิตเด็กน้อยที่แสนยาวนานของตนก็คงไม่ต้องทุกข์ทรมานเท่าไรแล้ว
----------------------------
[1] ผู้เขียนชี้แจงไว้ว่านักบวชเครายาวในเรื่องนี้มีต้นแบบคือ นักบวชที่บำเพ็ญตบะด้วยการทรมานร่างกายและมีความเชื่อเรื่องการฟื้นคืนชีพของอินเดีย