ตอนที่ 31 เมื่อตัดสินใจได้
ตอนที่ 31 เมื่อตัดสินใจได้
ประชุมงานเปิดงานประลองก็เสร็จแล้ว งานเลี้ยงหรือก็จบแล้ว รู้สึกตัวอีกทีพวกเขาก็แยกย้าย กลับไปยังบ้านใครบ้านมัน นั่ง ๆ กิน ๆ นอน ๆ ไปแป้บเดียว ก็ผ่านมาเกือบสัปดาห์
จนตอนนี้เสวี่ยหงเยว่ก็ยังเข้าหน้าเหอไป๋หลานไม่ติด
ที่จริงแล้ว...ความตั้งใจเดิมของเขาก่อนหน้านี้คือจะใช้พลังมิตรภาพอย่างการถือคติทำชีวิตทุก ๆ วันให้คุ้มค่า เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดจนวาระสุดท้ายของเหอไป๋หลาน แต่ดันมาพบเส้นเรื่องที่ตัวเองเป็นส่วนหนึ่งในการทำให้เขาตายอัดเข้าหน้าไปจน K.O. เล่นเอาใจเสีย ใส่เกียร์เบรกเอี๊ยดให้ตัวโก่ง
บทบาทของตัวร้ายนั้นต้องฆ่าใครก็ได้ง่าย ๆ เป็นผักปลา ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำใจทำ เขาเลยไม่เข้าใจนักว่าทำไมพอถึงบทของเหอไป๋หลาน เขากลับรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ
ทั้งที่เส้นเรื่องนี้เป็นเส้นเรื่องสำคัญแต่เหมือนมีบางอย่างที่มันคาใจอยู่ เป็นเรื่องสำคัญอย่างมากที่ไม่อาจมองข้ามเสียด้วย...
เสวี่ยหงเยว่ใช้อ้างว่าตนไม่สบายเพื่อขลุกตัวอยู่กับในห้องเป็นฮิคิโคโมริทำงานหนักจนลืมวันลืมคืน สลัดความคิดมากออกจากหัวไปให้หมด กว่าที่เขาจะรู้ตัวอีกที ก็พบกว่าเมื่อตะวันขึ้นในวันพรุ่ง เขาก็ต้องเตรียมเดินทางลงไปเมืองโหย่วเผิงเพื่อไปร่วมพิธีงานประลองยุทธเสียแล้ว...
พอเวลาอย่างนี้ล่ะผ่านไปไวนักนะ
“ท่านประมุข...สีหน้าของท่านดูไม่ดีเลยขอรับ” เหมินจิ้นเค่อเอ่ยถาม ระหว่างที่ยื่นจอกสุราให้เสวี่ยหงเยว่ ซึ่งเขาก็รับมา กรอกพรวด ๆ เข้าปาก แล้วยื่นไปกลับไปหา คล้ายจะขอเพิ่มอีกจอกในตอนนี้ เขาต้องการพักผ่อนหรือไม่ก็ขอดื่มเอาฤกษ์เอาชัย ให้มีแรงใจในการประจันหน้ากับเหอไป๋หลานและเหอไป๋เทียนพร้อมกันในอีกไม่กี่วันที่จะถึง
“นั่นคงเป็นเพราะช่วงนี้งานข้ารัดตัวนัก” เขากล่าว ทว่าอีกคนที่อยู่ด้านข้างกลับแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“มิใช่ว่าท่านนำงานในส่วนของสัปดาห์หน้าและสัปดาห์ต่อไปมาทำทั้งหมดโดยมิได้จำเป็นต้องเร่งลงมือหรอกหรือขอรับท่านประมุข” เป็นหลานซิ่นหลิงนั่นเอง และนั่นทำให้เสวี่ยหงเยว่หน้าหดลงเหลือสองนิ้วอย่างคนโดนรู้ทัน
"หากแต่ได้พักผ่อนเช่นนี้บ้าง ก็ดีแล้วขอรับ" หลานซิ่นหลิงพยักหน้าให้ เขาไม่ได้ร่วมวงดื่มสุราด้วย ในมือนั้นจึงมือแค่จอกใส่ชาผลไม้เท่านั้น ซึ่งนั่นก็ทำให้เสวี่ยหงเยว่สงสัยอยู่ไม่ใช่น้อย หลานซิ่นหลิงนั้นแม้จะมีภาพลักษณ์แบบคนแก่หัวโบราณ ทว่าก็เป็นสิงห์สุราดื่มเหล้าไม่เมาราวกับเป็นน้ำเปล่าแต่อยู่ ๆ พักหลังนี้นอกจากจะดื่มน้อยลงแล้ว ยังดูรักษาสุขภาพมากกว่าปกติเสียจนเขาสงสัย
อาจจะเพราะว่าใกล้วัยทอง...
“อาจารย์มิดื่มหน่อยหรือขอรับ” เสวี่ยหงเยว่เอ่ยถามยกไหใส่สุราขึ้นเล็กน้อยทีท่าคล้ายว่าจะรินให้ ทว่าหลานซิ่นหลิงกลับส่ายหน้าปฏิเสธ เขากล่าวว่าช่วงนี้ถูกแพทย์ประจำตัวสั่งให้งดเหล้าอยู่
“แล้วการฝึกคุณชายเหอคนน้องในช่วงนี้เป็นเช่นไรบ้างขอรับ ท่านเหมิน” เมื่อเห็นถึงสายตาหรี่จ้องอย่างคนสงสัยจัดจากเสวี่ยหงเยว่ หลานซิ่นหลิงจึงเปลี่ยนเรื่องสนทนาเป็นอีกเรื่องทันทีโดยเอาเรื่องของเหอไป๋เทียนขึ้นมาแทน เพราะนับตั้งแต่ศึกสาหร่ายหัวผีหลานซิ่นหลิงเป็นอีกคนหนึ่งที่ล่วงรู้ว่าเสวี่ยหงเยว่นำเหอไป๋เทียนมาเลี้ยง—เอ้ย มาฝึกสอน
“พัฒนาการดีขึ้นรวดเร็วจนน่าตกใจเลยขอรับ” เขากล่าว โคลงจอกเหล้าตัวเองเล็กน้อย ชายหนุ่มนึกถึงเหอไป๋เทียนในระยะเวลาที่สอนมาแล้วก็พยักหน้า “ทั้งทักษะทางกายที่ข้าสอน หรือทักษะทางการใช้มนต์ที่ท่านประมุขสอน ทุกอย่างล้วนทำได้ดีจนน่าตกใจ”
เสวี่ยหงเยว่พยักหน้า เนื้อหาช่วงเดินทางไกลจะทำให้เหอไป๋เทียนเก่งขึ้นแต่ทว่าหลังจากที่ครอบครองหานหลิ่งแล้วฝีมือที่เก่งอยู่แล้วจะเก่งกว่าเดิมไปอีกอักโข ซ้ำตอนนี้สตอรี่ใหญ่สองอันโคจรมาบรรจบกันไวกว่ากำหนด บอกเลยว่าพ่อพระเอกของเราจะเก่งขึ้นไวแบบคูณสองเลยทีเดียว
เพราะงั้น...แม้จะแสดงอาการแนว ๆ ‘ลูกฉันเจ๋งมากๆ ’ อย่างออกนอกหน้าไม่ได้ แต่บอกเลยว่าเขาภูมิใจในตัวเหอไป๋เทียนมาก
“งั้นหรือ...” หลานซิ่นหลิงพยักหน้า ก่อนจะมองชาในจอกตนที่เริ่มจะหมดลง ในหัวเขาคิดอะไรหลายอย่าง ทว่าก็ไม่มีอะไรสักอย่างที่สามารถพูดออกมาได้
“วันพรุ่งเขาจะเดินทางไปยังงานประลองหรือไม่” หลานซิ่นหลิงถาม
“ข้าจะเป็นผู้พาเขาไปเองขอรับ ฉะนั้นแล้ววันพรุ่ง ข้าจึงอาจจะตามไปทีหลัง” เหมินจิ้นเค่อเอ่ย สีหน้าและท่าทางเขาดูอึกอักทว่ามีเพียงแค่หลานซิ่นหลิงที่สังเกตเห็น เพราะจังหวะนั้นเสวี่ยหงเยว่นั้นกำลังครุ่นคิดว่าทำไมเหอไป๋เทียนจึงได้ให้เหมินจิ้นเค่อเป็นผู้พาไป แทนที่จะเป็นเขา ซึ่ง (คิดว่า) น่าจะเป็นคนที่สนิทมากที่สุด
“ดูแลเด็กคนนั้นแทนข้า ในช่วงที่ข้าไม่สามารถดูแลให้ด้วยได้ไหม?” เสวี่ยหงเยว่เอ่ยเสียงอ่อนลงมาด้วยความเป็นห่วงราวกับพ่อที่ลูกกำลังไปทัศนศึกษา ซึ่งเหมินจิ้นเค่อก็พยักหน้าให้กับอีกฝ่าย
"ท่านประมุขไว้ใจข้าเถิดขอรับ..." เขากล่าว แล้วยิ้มให้คล้ายจะบอกย้ำให้เสวี่ยหงเยว่เชื่อใจ
เมื่อจันทร์คล้อยเคลื่อนเลื่อนสู่ที่สูงบนท้องฟ้า ช่วงเวลาตอนนี้ดึกสงัดนัก เหมินจิ้นเค่อที่เริ่มจะเมาแล้วจึงได้ขอตัวลากลับไปยังหอนอนของตัวเองเพราะต้องออกเดินทางไปรับเหอไป๋เทียนที่บ้านแต่เช้า ในเวลานี้จึฃเหลือเพียงแค่เสวี่ยหงเยว่และหลานซิ่นหลิงที่ยังคงนั่งชมจันทร์อยู่ที่ระเบียงเพียงสองคนเท่านั้น
“วันพรุ่งเดินทาง ท่านไม่ไปพักผ่อนหรือขอรับ” หลานซิ่นหลิงเอ่ยถาม
“ศิษย์ยังไม่ง่วงขอรับ อาจารย์” เสวี่ยหงเยว่ตอบ ซึ่งหลานซิ่นหลิงก็พยักหน้าตอบรับ ความเงียบนั้นโรยตัวอย่างเชื่องช้า เมื่อวงสนทนาขาดคนชวนคุยอย่างเหมินจิ้นเค่อ
“มีเรื่องอันใดค้างคาใจท่านอย่างงั้นหรือขอรับ...นายท่าน” แล้วหลานซิ่นหลิงก็เอ่ยออกมา ดวงตา และสีหน้าของเขานั้นคล้ายจะมองถึงความคิดของเสวี่ยหงเยว่อย่างทะลุปรุโปร่งจนเจ้าตัวเผลอหลุดปากถามว่าอาจารย์รู้ได้อย่างไรออกมา
“ข้าเลี้ยงท่านมาตั้งแต่ยังเล็กขอรับนายท่าน มีหรือที่ข้าจะไม่รู้” เขาตอบ ซึ่งนั่นก็ทำให้เสวี่ยหงเยว่ได้แต่ลอบหัวเราะอย่างแห้งเหี่ยวในใจ
“มันเป็นเรื่องที่ศิษย์ไม่สามารถปรึกษาใครได้ขอรับ” เขาเงียบลงเล็กน้อย
“แม้แต่กับข้าอย่างนั้นหรือขอรับ?” หลานซิ่นหลิงถาม ดวงตาสีดำขลับเหลือบมองคนที่นั่งด้านข้างตัวเองเล็กน้อย สายตาของเขานั้นบ่งบอกถึงความรู้สึกห่วงใยแม้สีหน้าจะไม่เปลี่ยนเลยก็ตาม
“ขอรับ...” เสวี่ยหงเยว่เอ่ย ต่อให้เขาไว้ใจหรือนับถืออาจารย์มากสักแค่ไหน แต่ทว่าเขาก็ไม่อาจบอกเล่าถึงสิ่งที่ตัวเองรู้ หรือสิ่งที่ตัวเองกำลังจะทำได้เลยแม้แต่น้อย เขาให้อาจารย์รู้เรื่องไทม์ไลน์ของโลกนี้ไม่ได้ พอ ๆ กับที่ให้รู้ว่าแท้จริงแล้วตัวเขานั้นคือวิญญาณจากต่างโลก
...และมันทำให้เขาอึดอัดใจเพราะไร้ซึ่งคนให้ปรึกษาหารือ..
“ถึงกระนั้น...หากท่านมีสิ่งใดอึดอัดใจ ข้าสามารถรับฟังท่านได้ขอรับ” แต่แล้วเสวี่ยหงเยว่ก็ชะงักไปเมื่อฝ่ามือของหลานซิ่นหลิงค่อย ๆ ขยับขึ้นมาลูบเส้นผมของเขา มันแผ่วเบา ทว่ากลับหนักแน่นและอบอุ่น ชะล้างตะกอนความคิดของเขาออกไปได้ราวกับเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์
"ไม่จำเป็นต้องบอกข้าทุกอย่าง ทว่า...ขอแค่ให้ข้าทราบว่าท่านมีสิ่งใดผิดปรกติ ได้โปรดอย่างได้พะวงใจเพียงผู้เดียวเลย"
เขาไม่แน่ใจว่าเพราะบรรยากาศพาไป หรือว่าความเมาในสุราที่ดื่มไปหลายจอกก็ไม่อาจทราบได้ ทำให้เขายอมเอ่ยออกมาแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ฟังแล้วชวนประหลาดใจหรือไม่เข้าใจมากสักแค่ไหนก็ตาม
แต่...ต่อจะให้เป็นอย่างนั้น แปลกประหลาดสักแค่ไหน เขากลับมั่นใจได้ว่าหลานซิ่นหลิงจะรับฟังโดยไม่หัวเราะเขา
“อาจารย์....หากท่านต้องฆ่าใครสักคนต่อหน้าน้องของเขา ท่านจะรู้สึกอย่างไรหรือขอรับ”
แต่แล้วมือนั้นของหลานซิ่นหลิงก็ชะงักลง ท่าทีของเขาดูคิดหนัก คล้ายกับว่าอะไรบางอย่างมันทำให้เขามีสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไป และสิ่ง ๆ นั้นนั้นก็คือคำที่เสวี่ยหงเยว่พูดออกมา
“เจ็บปวดขอรับ” เขาตอบไปตามตรง
“ยิ่งหากผู้ที่ข้าต้องสังหารและน้องชายคนนั้นเป็นคนสำคัญของข้าด้วยแล้ว ข้าคงจมไปกับความรู้สึกผิด และหวาดกลัวที่จะต้องถูกคนสำคัญเกลียดไปชั่วชีวิตและที่สำคัญกว่านั้น...ข้าพะวงว่าหลังจากที่ตนลงมือไปแล้วจะทำให้ชีวิตของคนสำคัญของข้าแปรเปลี่ยน และไม่อาจจะทำให้เขาคนนั้นมีความสุขกับชีวิตได้อีก”
หลานซิ่นหลิงเอ่ยกล่าว น้ำเสียงนั้นช่างแผ่วเบา และคำพูดนั้น ก็ดูราวกับเป็นคำตอบให้กับเสวี่ยหงเยว่ที่ครุ่นคิดราวกับหลงทาง ในที่สุดเขาก็เข้าใจเสียที ว่าทำไมการทำให้เหอไป๋หลานตาย ตัวเองถึงต้องมาทุกข์ใจมากถึงขนาดนี้ เขาเข้าใจเสียที ว่าทำไม ถึงได้พะวงจนไม่อาจจะตั้งหลักตั้งตัวได้
สิ่งที่อาจารย์พูดนั้นมันแทนใจและความคิดของเขาแทบหมด ความคิดเพียงแค่ว่าไม่ต้องการให้ 'คนที่ยังมีชีวิตอยู่' จะต้องเสียใจ
เพราะว่าสำคัญมาก...
"มันคง...เจ็บปวด" เสวี่ยหงเยว่พึมพำเสียงแผ่วเบา ส่วนหลานซิ่นหลิงก็ได้แต่รับฟังเงียบ ๆ ปล่ยอเวลาให้ผ่านไปสักระยะให้คนข้างตัวครุ่นคิด เขาจึงได้เริ่มพูดอีกครั้ง
“นั่นคือสิ่งที่คาใจของท่านหรือขอรับ” เขาเอ่ยถาม พลางมองดูสีหน้าของอีกฝ่าย ไม่บ่อยนักที่เสวี่ยหงเยว่ผู้ซึ่งมักทำตัวโตเป็นผู้ใหญ่จะมีสีหน้าที่สับสนราวกับเด็กน้อยหาทางออกไม่ได้เช่นนี้ “และเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ท่านไม่สามารถเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมากับข้าได้”
“ขอรับ...ศิษย์ ต้องขออภัยจริง ๆ ที่ความเหล่านี้เป็นที่ศิษย์ไม่อาจจะเอ่ยบอกให้อาจารย์ทราบได้” เสวี่ยหงเยว่กล่าว แม้จะไม่อาจปริปากปรึกษาได้ทว่าฝ่ามือที่แสนอบอุ่นนั้น ก็ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายลง...ราวกับได้รับคำปลอบโยนจากญาติผู้ใหญ่ในครอบครัว
“ท่านไม่ต้องขอโทษข้าหรอกขอรับ” หลานซิ่นหลิงละมือออกมา เขาหันไปรินสุราใส่จอก ยื่นส่งให้ เพื่อว่าอีกฝ่ายดื่มแล้วผ่อนคลาย คนเป็นอาจารย์นั้นไม่ได้ถามซ้ำ ไม่ได้เซ้าซี้ต้องการให้สารภาพ สิ่งที่เขาทำคือรับฟังและคอยอยู่เคียงเสวี่ยหงเยว่ ในจุดที่สมควร
หลานซิ่นหลิงพ่นลมหายใจออกมาเบาบาง หากเป็นเขา คงไม่อาจจะทำให้ความมัวหมองนี้คลายไปได้นัก แต่หากว่าเป็นอีกคน...ไม่แน่ว่าอาจจะทำได้
เขาหวังว่าจะเป็นเช่นนั้น
"แล้ว...หากเป็นจ้าวหาน ท่านจะพูดกับเขาได้ไหมขอรับ ข้าคิดว่าคน ๆ นั้น คงจะสามารถช่วยเหลือท่านได้” เขาเอ่ยถาม ในระหว่างนั้นเสวี่ยหงเยว่ก็ชะงักมือ ดวงตาสีแดงของเขาเป็นประกาย ริมฝีปากนั้นขยับคล้ายอยากจะเอ่ยอะไรบางอย่าง และนั่นทำให้หลานซิ่นหลิงพยักหน้าเบาๆ ให้เท่านั้น
และนั่นก็ทำให้เสวี่ยหงเยว่ได้คิดทบทวนความรู้สึกของตัวเองให้ละเอียดถี่ถ้วน..
เมื่อเวลาผ่านไปสักพักหนึ่ง หลานซิ่นหลิงก็เดินตามเสวี่ยหงเยว่ที่แม้จะเมาแล้วแต่ก็ยังวางมาดไปส่งที่เรือนนอน เขายืนคุมอยู่เช่นนั้น เพื่อให้มั่นใจว่าอีกฝ่ายเข้านอน อยู่บนเตียงเป็นที่เรียบร้อยแล้วถึงได้กลับไปยังเรือนนอนของตัวเองบ้าง
สายลมเย็นยามราตรีพัดผ่านบ่งบอกได้ว่าใกล้สู่ช่วงใบไม้ผลัดใบเข้าสู่งฤดูใบไม้ร่วง หลานซิ่นหลิงกระชับเสื้อคลุมตัวนอกเล็กน้อย ทอดสายตามองท้องฟ้ายามราตรีแล้วได้แต่นึกขันในตัวเอง ทั้งที่วันพรุ่งต้องตื่นแต่เช้าแท้ ๆ ทว่าต้องอยู่ยาวจนถึงช่วงหลังป้านเยว่ (เที่ยงคืน) แบบนี้เสียได้
ดวงตาสีดำขลับทอดมองฝ่ามือตัวเอง กลีบดอกไม้กลีบจ้อยลอยวนบนฝ่ามือ มันส่องประกายแสงเรืองนวลยามต้องกับแสงจันทร์ ก่อนที่ลมจะพาพัดให้มันปลิวไปไกลยังที่แห่งหนใด...แห่งหนหนึ่ง
กรณีเช่นนี้ข้า...คงต้องฝากเด็กคนนั้นให้เจ้าดูแลแล้วล่ะ...จ้าวหาน
ในราตรีคืนนั้น เหอไป๋เทียนได้กลิ่นจางจากดอกไม้ฤดูร้อนลอยอบอวลอยู่ในห้อง ดวงตาสีทองถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาจากความฝัน เขาหันมองไปทางซ้ายทีหันไปทางขวาที ความคุ้นเคยที่เคยผ่านเหตุการณ์เช่นนี้ทำให้เขาไม่รู้สึกตกใจกับบรรยากาศความเงียบงันนี้อีกต่อไปแล้ว
“ท่านหานหลิ่งมีอะไรหรือขอรับ” เหอไป๋เทียนเอ่ย และแล้วร่างของหานหลิ่งก็ปรากฏตัวมานั่งที่เก้าอี้ปลายเตียง จิตวิญญาณแห่งดาบนั่นกอดอกนั่งไขว่ห้าง ทีท่ายังคงหยิ่งยโสไม่แปรเปลี่ยน ซึ่งนั่นก็ทำให้เหอไป๋เทียนหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อย พอเริ่มคุ้นเคยด้วยแล้ว คน(?)ตรงหน้าเขาก็มักจะเป็นเช่นนี้เสมอ
เพราะนับตั้งแต่คืนที่เมืองโหย่วเผิงคืนนั้น หานหลิ่งก็โผล่มาหาเขาในบ่อย ๆ ไม่ว่าจะทั้งเสียงในหัว หรือในยามราตรีเช่นนี้ พอรู้ตัวอีกที เขาก็รู้สึกเหมือนได้หานหลิ่งเป็นผู้ปกครองมาคอยดูแลใกล้ชิดเพิ่มอีกคนไปเสียแล้ว
“จำเป็นต้องมีเหตุหรือ ข้าถึงมาหาเจ้าได้” ดวงตาสีฟ้าสวยของหานหลิ่งหรี่มอง ใบหน้าหล่อเหลานั้นดูไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก
“ไม่หรอกขอรับ ท่านมาหากข้าบ่อยแล้ว และข้าคิดว่าถึงท่านไม่มีเหตุท่านก็มาอยู่ดี” ว่าแล้วเหอไป๋เทียนก็หลุดหัวเราะออกมา เขาเป็นคนใสซื่อจริงๆ นะ เพราะงั้นคำพูดที่พูดออกมาทุกอย่าง แม้มันจะแทงใจดำสักแค่ไหนแต่เจ้าตัวก็พูดด้วยความไร้เจตนาร้ายสักนิด
แต่มันหานหลิ่งก็ทำหน้าเบ้ คิ้วกระตุกใส่จริง ๆ
“แต่ว่าที่ท่านมาหาข้าในคืนนี้...นั่นก็คงเพราะว่า...” เหอไป๋เทียนสบดวงตาสีฟ้านั้น พลันเด็กชายก็ยิ้มออกมา ร่างเล็กค่อย ๆ ลุกขึ้นมาจากเตียงนอนนั่งที่ปลายเตียงไปนั่งประจันหน้ากับหานหลิ่ง “ท่านคงรู้แล้วใช่ไหมขอรับว่าวันพรุ่งนี้ข้าต้องการที่จะทำอะไร”
หานหลิ่งไม่ตอบแต่จ้องเหอไป๋เทียนแทน ซ้ำยังจ้องด้วยด้วยดวงตาที่ครบกริบปานจะฉีกเนื้อเถือหนังเด็กชายให้สาสมกับความหงุดหงิดนี้
“ไม่ส่องกระจกชะโงกดูเงา”
“อุก...”
เหอไป๋เทียนอุทานออกมาเบาๆ คำพูดของหานหลิ่งนั้นช่างแทงใจเสียจนเจ็บแปลบ หากแต่เขาก็ทำใจแข็งยิ้มรับกับสายตาและคำพูดที่แสนทำร้ายจิตใจนั่น ดวงตาสีทองจับจ้องไปทางหานหลิ่ง สีหน้าของเขาเปี่ยมเต็มไปด้วยความจริงจัง
“ถึงท่านจะไม่อนุญาตข้าก็จะทำให้ได้ขอรับ”
“คราวหน้าก็ยังมี” จิตวิญญาณแห่งดาบหรี่ตาลง ในเมื่อเหอไป๋เทียนไม่ยอมแพ้ก็มีแต่ฝ่ายเขาที่ต้องทำใจตนให้สงบ หานหลิ่งมองเด็กชายที่ทำสีหน้าจริงจังตรงหน้านั้นแล้วก็ไม่รู้จะโต้ตอบเช่นไร นึกอยากจะซัดให้สงบปากก็ใช่ อยากจะด่าให้ร้องไห้ ก็...ใช่อีกนั่นแหละ
“แต่คราวหน้า ข้าอาจจะไม่สามารถมาทำอะไรเช่นนี้ได้อีกแล้วก็ได้ขอรับ ท่านหานหลิ่ง” เด็กชายถอนหายใจออกมา สบสายตาของหานหลิ่งอีกครั้ง คราวนี้จริงจังไม่มีเคลื่อนหลบ “เพราะเมื่อข้ากลับไปบ้านแล้ว คงจะไม่มีโอกาสได้ทำอะไรเช่นนี้อีกแล้ว ท่านหานหลิ่งได้โปรดอย่าได้ห้ามข้าเลยนะขอรับ”
หานหลิ่งเงียบ ทบทวนอะไรในหัว เขารับใช้เจ้านายมามาก ทว่ายังไม่เคยรับใช้เจ้านายที่มีสถานะอันยุ่งยากซับซ้อนในวงสังคมเช่นนี้มาก่อน ชายหนุ่มค่อย ๆ ถอนหายใจออกมา ในเมื่อดื้อรั้นขนาดนั้น ต่อให้ยังไม่ยอมรับเป็นนายอย่างเต็มตัวแต่เขาก็ต้องจำยอมทำสิ่งที่เหอไป๋เทียนต้องการอย่างเสียไม่ได้
“เจ้ารู้ใช่ไหมว่าข้ายังไม่ไม่ยอมรับเจ้าเป็นเจ้านายอย่างเต็มตัว”
เหอไป๋เทียนพยักหน้า จริงอยู่ที่ระยะหลังนี้หานหลิ่งจะมาหาเขาในสภาพจิตวิญญานค่อนข้างบ่อย ซ้ำยังพูดคุยกันได้ดังเช่นคนปรกติคุยกัน แต่มันตรงข้ามกับตอนที่เป็นสภาพดาบ คุ้นเคยมากกว่าเมื่อครั้งแรกพบสักเท่าไร ทว่าเขาก็ยังคงควบคุมพลังของมันได้อย่างไม่เต็มร้อยนัก
“หากเกิดอะไรขึ้น เจ้าจงรับผิดชอบตัวเอง ข้ายังไม่อยากเปลี่ยนนายใหม่” หานหลิ่งพูดได้แค่นั้น แล้วลุกขึ้นมาก ท่าทางยังคงหงุดหงิดอารมณ์เสีย
ซึ่งนั่นก็ทำให้เหอไป๋เทียนหัวเราะออกมา เด็กชายพยักหน้า และบอกกับหานหลิ่งว่าตนจะพยายามทำตามที่อีกฝ่ายต้องการให้มากที่สุดก็แล้วกันนะ
เมื่อหานหลิ่งหายวับไปแล้วในยามฟ้าใกล้รุ่ง เหอไป๋เทียนก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นมาจากเตียงนอน เปิดบานหน้าต่าง ดวงตาสีทองทอดมองบรรยากาศเมืองในยามเช้ามืด เขาเฝ้ารอคอยให้ดวงอาทิตย์ฉายแสงด้วยใจอันเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้นกับสิ่งที่กำลังจะเกิด
เด็กชายรู้ดีว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำนั้นไม่เหมาะสมกับคำว่าเด็กดีเลยแม้แต่น้อย
ทว่า...
เขาก็อยากพิสูจน์ตัวเอง