ตอนที่ 31: หนีจากยานเคพีเทส-02
ตอนที่ 31: หนีจากยานเคพีเทส-02
เฮเซคียาห์ลองไล่ดูรูปชายหนุ่มชาวมนุษย์ซึ่งสมรสกับหญิงสาวชาวซิริน่าไปสักพัก เขาเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าเขาพอทราบนามสกุลของมูนนี่ ดังนั้นเขาจึงสั่งให้ระบบปฏิบัติการค้นหาชายหนุ่มที่มีนามสกุลเมสัน แต่กลับได้รับการตอบกลับว่าไม่พบข้อมูลของมนุษย์ซึ่งมีนามสกุลตรงกัน ซึ่งนั่นอาจหมายความว่าน้องชายของมูนนี่ถูกบันทึกประวัติในระบบด้วยนามสกุลของภรรยา
“ทำไมฉันต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วย” เฮเซคียาห์บ่น มือเคลื่อนปัดไปในอากาศ ให้รูปภาพของมนุษย์ผู้ชายซึ่งไม่ใช่เป้าหมายในการค้นหาของเขาเคลื่อนหายไปจากหน้าจอสมมติตรงหน้า
เขาใช้เวลากว่าสามชั่วโมงไปกับการไล่สายตาดูรูปถ่ายและประวัติของมนุษย์ 300 คน
“คำเตือน: มียานไม่ทราบสัญชาติปรากฏขึ้นทางทิศตะวันออกของยาน” บรอธลอยขึ้นจากพื้นและประกาศเสียงดัง
ยานไม่ปรากฏสัญชาติมักเป็นยานอวกาศที่ใช้ในการปฏิบัติภารกิจลับของเผ่าพันธุ์ต่างๆ หรือไม่ก็พวกโจรสลัดอวกาศที่เกิดจากการรวมตัวกันของพวกนักโทษอวกาศ หรือเผ่าพันธุ์ที่ไม่ได้รับการรับรองในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาตามมาตรฐานของสหพันธ์อวกาศ
“แสดงภาพบนหน้าจอที่หอควบคุม” เฮเซคียาห์ต้องการตรวจสอบสถานการณ์อย่างรัดกุม
สิ่งที่เขาร้องขอปรากฏขึ้นแทนที่รูปภาพมนุษย์ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ทันที เป็นภาพอวกาศที่เคว้งคว้าง มองเห็นดาวเคราะห์หลายดวงอยู่ห่างออกไป และบนหน้าจอยังมีรายงานเกี่ยวกับยานอวกาศซึ่งมีขนาดแค่ประมาณหนึ่งในห้าส่วนของยานเคพีเทส-02 ด้วย
“แปลงภาษาเฉพาะภาษาเขียนบนหน้าจอเป็นภาษาอังกฤษ สิ่งอื่นๆ คงไว้” เฮเซคียาห์ออกคำสั่ง
ข้อมูลที่ถูกแปลออกมา คือ ยานแปลกหน้าที่เพิ่งปรากฏขึ้นไม่ได้มีความเกี่ยวพันกับยานลำนี้ และเจ้าหน้าที่จากยานเคพีเทส-02 กำลังพยายามติดต่อกับผู้ที่โดยสารมากับยานแปลกหน้า
ไม่มีการสื่อสารกลับจากยานดังกล่าว สิ่งที่ตอบกลับมาเป็นกระสุนปืนอานุภาพทำลายล้างสูง เฮเซคียาห์รับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือนขณะที่มีการแจ้งเตือนบนหน้าจอว่ายานที่กำลังโดยสารอยู่ได้รับความเสียหายอยู่บ้าง แต่ยังไม่ถึง 1%
“นี่ฉันฝันอยู่ หรือเรื่องจริง ทำไมชีวิตของฉันต้องมาเจอสถานการณ์ยุ่งยากไม่รู้จักหยุดจักหย่อน” เฮเซคียาห์บ่นแล้วไม่ใส่ใจการตอบกลับของบรอธ จากนั้นเขารีบออกคำสั่งให้ระบบปฏิบัติการดึงข้อมูลที่เรียกมาจากหอควบคุมไปไว้ทางด้านหนึ่งของหน้าจอ ก่อนจะสำรวจรูปภาพมนุษย์ในอารักขาของชาวซิริน่าต่อ
เขาคิดในแง่ดีว่ายานลำนี้น่าจะมีระบบป้องกันตัวเองในระดับพอรับมือกับผู้บุกจู่โจมได้ เขาแค่ดูสถานการณ์การตอบโต้ระหว่างกองทัพของเผ่าพันธุ์ซิริน่าและผู้บุกจู่โจมอยู่ห่างๆ ไปก่อน ถ้าหากเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดฝันแล้วเขาต้องหนีไปจากยานลำนี้ อย่างน้อยเขาก็คงได้ข้อมูลของน้องชายมูนนี่ไปก่อน
“ค้นหาบรรณาการจากชาวมัสตินในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา” เฮเซคียาห์จำกัดขอบการค้นหาด้วยเงื่อนไขที่จู่ๆ เกิดนึกออก
ข้อมูลมนุษย์หลายพันคนเหลือเพียงประมาณ 1,000 กว่าคน และเฮเซคียาห์เริ่มมองหาคนที่มีสีผมสีแดงประกายทอง และดวงตาสีน้ำตาลเหมือนกับมูนนี่
“บรอธ นายว่าคนนี้ใช่หรือเปล่า” เฮเซคียาห์มั่นใจ แต่ยังถามหาความเห็นจากบรอธ “ซันนี่ เรนนีสัน”
“ดูจากชื่อ ก็เป็นไปได้สูง”
“เป็นชื่อที่เข้าคู่กันมาก มูนนี่ ซันนี่” เฮเซคียาห์ยิ้มออก เขาเรียกดูประวัติตัวเต็ม และพบว่าซันนี่ถูกมอบเป็นเครื่องบรรณาการแก่เผ่าพันธุ์ซิริน่าเมื่อตอนเขาอายุ 15 ปี ปัจจุบันเขาอายุ 19 ปี ทำงานรับราชการเป็นเจ้าหน้าที่บัญชีในพระราชวัง ดูเหมือนว่าชีวิตของซันนี่มีความเป็นอยู่ดี ผลการตรวจสุขภาพครั้งล่าสุดบอกว่าเขาแข็งแรง เขามีลูกสาวแล้วหนึ่งคนกับภรรยาชาวซิริน่าอายุ 3 ขวบ
“มูนนี่มีหลานสาวด้วย โอ้โห!” เฮเซคียาห์ตื่นเต้น เขานับว่าหลานของมูนนี่เป็นหลานของเขาเหมือนกัน
เฮเซคียาห์เรียกดูประวัติลูกสาวของซันนี่ เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่เหมือนนางฟ้าตัวน้อยๆ ผมสีทองได้จากทางแม่ ดวงตาสีน้ำตาลเหมือนมูนนี่และน้องชาย ตัวอวบอิ่ม แก้มยุ้ยเป็นสีชมพูน่าหยิก บนหลังของเธอมีปีกสีขาวเหมือนปีกของนกเขาที่กางออกพร้อมจะช่วยให้เด็กน้อยออกบิน
“อีฟ น่ารักจังเลย” เฮเซคียาห์จ้องเด็กตัวเล็กๆ อย่างเอ็นดู
“นายก็มีช่วงเวลาผ่อนคลายเมื่อได้มองสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ บ้างสินะ นึกว่าจะไม่ชอบอะไรแบบนี้เสียอีก” บรอธทัก
“นี่เป็นหลานของเพื่อนรักนะ ฉันไม่มีทางมองด้วยความเกลียดชังแน่นอน”
“ลืมไปแล้วหรือเปล่าว่าตอนนี้มูนนี่ไม่ได้นับนายเป็นเพื่อนแล้ว” บรอธดักคอเฮเซคียาห์
“ก็จริง แต่สำหรับฉันเรายังเป็นเพื่อนกันเสมอ” เฮเซคียาห์ขยับมุมปากยิ้มน้อยๆ และเขาถอนหายใจออกมาได้อย่างโล่งอกเพราะได้พบข้อมูลทั้งหมดตามต้องการแล้ว สายตาของเขาไล่อ่านข้อมูลหลานของมูนนี่อย่างละเอียดถี่ถ้วน และเรียกดูข้อมูลของซันนี่อีกครั้ง พร้อมทั้งสั่งบรอธให้เก็บบันทึกข้อมูลที่หามาทั้งหมดเอาไว้ด้วย
“คราวนี้ เราต้องไปที่เครื่องมือสำหรับการเทเลพอร์ต” เฮเซคียาห์คุยกับบรอธเผื่อมันมีข้อมูลซึ่งจำเป็นให้กับเขาก่อนเขาจะเคลื่อนไหวไปตามที่คิดไว้เอง
บรอธนิ่งเงียบ
จู่ๆ ไฟในห้องโดยสารแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง พร้อมกับเสียงไซเรนเตือนภัยดังลั่น เฮเซคียาห์ตั้งสติและกวาดตามองบนหน้าจอซึ่งเขาใช้งานอยู่ ภาพที่ซ้อนทับกับหน้าจอในหอบังคับการ แสดงข้อมูลว่าถังบรรจุเชื้อเพลิงตัวหนึ่งของยานได้รับความเสียหายอย่างหนัก ขณะเดียวกันเกราะป้องกันการโจมตีของยานได้รับความเสียหายไปแล้วถึง 80%
“นี่มันเกิดบ้าอะไรกัน” เฮเซคียาห์เรียกดูประวัติการต่อสู้ที่เกิดขึ้นอย่างสดๆ ร้อนๆ
ดูเหมือนยานอวกาศลึกลับจะเป็นโจรสลัดอวกาศ มันส่งยานบินลำเล็กถึงสิบลำเพื่อโจมตียานเคพีเทส-02 และดูเหมือนว่านักบินของยานจู่โจมแต่ละลำจะฝีมือดีจึงไม่ถูกยิงโดน แต่ก็นั่นแหละ ยานเคพีเทส-02 ไม่ได้เป็นยานพร้อมรบแต่เป็นเพียงยานพาณิชย์ธรรมดา
“ในยานลำนี้มีอะไรน่าสนใจสำหรับพวกขโมย...”
“รายงาน: ยานลึกลับถูกควบคุมโดย...”
“หยุด!!!” เฮเซคียาห์ระงับการให้ข้อมูลจากบรอธ “ฉันไม่ได้สนใจไอ้ยานบ้านั่น ฉันแค่อยากออกไปจากที่นี่ เราต้องรีบไปยังเครื่องมือสำหรับเทเลพอร์ต”
บรอธยืนยันจุดที่มีเครื่องมือสำหรับเทเลพอร์ตในยานเคพีเทส-02 ซึ่งตามปกติเครื่องมือดังกล่าวอยู่ภายใต้การให้บริการของชาวมัสตินโดยสมาชิกสหพันธุ์อวกาศชำระสิ่งตอบแทนในรูปแบบและปริมาณตามที่ตกลงกันเป็นรายปี ดังนั้นเฮเซคียาห์ต้องเตรียมตัวให้พร้อมว่าเขาจะต้องเจอพวกเจ้าหน้าที่ชาวมัสตินภายใต้สังกัดของสมุหปราชญ์ในห้องที่ติดตั้งเครื่องมือสำหรับการเทเลพอร์ต
“ฉันไม่มีใบอนุญาตสำหรับการเทเลพอร์ต ดังนั้นจะเดินเครื่องเองไม่ได้ แต่นายทำได้ใช่ไหม” เฮเซคียาห์ต้องการมั่นใจว่าเมื่อเขาไปถึงจุดติดตั้งเครื่องมือสำหรับเทเลพอร์ต บรอธจะไม่ทำให้เขาผิดหวัง
“ยืนยัน: ฉันสามารถบังคับให้เครื่องทำงานได้”
“แล้วนายยืนยันด้วยได้ไหมว่าฉันสามารถเดินทางผ่านเครื่องนั่นได้ จะไม่ตายไปเสียก่อน” เฮเซคียาห์มีความกังวลจากการไม่เคยใช้เครื่องมือสำหรับเทเลพอร์ตมาก่อน ซึ่งมันอาจทำงานไม่เหมือนการที่เมเดียนพาเขาเทเลพอร์ตไปตามที่ต่างๆ
“ยืนยัน: 100% นายจะรอดตายจากการเทเลพอร์ต”
“งั้นไปกัน!” เฮเซคียาห์เดินกึ่งวิ่ง เขาพาตัวเองออกไปจากห้องพัก และรีบเร่งไปตามทางเดิน ระหว่างทางเขาต้องหลบตามเงามืดของยานเมื่อหญิงสาวชาวซิริน่าผู้มีโฉมงามและปีกใหญ่โตงอกจากกลางหลังพากันผ่านมาในทางซึ่งเขากำลังเดินไป
ใจของเฮเซคียาห์เต้นแรง แต่เขาไม่มีความหวาดกลัว ตอนนี้เขาเพียงแค่เคร่งเครียดกับการระแวดระวังตัวไม่ให้ถูกจับได้
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ขณะที่สัญญาณแจ้งเตือนดังระงมทั่วยานไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงสักที แถมบางครั้งยานลำนี้ก็สั่นสะเทือนต่อเนื่องเป็นจังหวะยาวๆ เฮเซคียาห์อดคิดไม่ได้ว่ายานลำนี้อาจระเบิดก่อนไปถึงจุดหมาย
“นั่นมัน เกิดอะไรขึ้น” เฮเซคียาห์ถามบรอธ ยืนหลบมุม
ประตูห้องที่เป็นจุดหมายของเขาถูกเปิดทิ้งไว้ มีร่างของหญิงชาวซิริน่านอนนิ่งอยู่บนพื้นด้านหน้าห้องหลายคน ทางเฮเซคียาห์ค่อยๆ ขยับไปหาร่างที่นอนนิ่งเหล่านั้น และยื่นมือไปแตะที่ร่างหนึ่งก่อนจะพบว่าเธอตายแล้วด้วยอาการขาดอากาศหายใจ เขาจึงค่อยๆ ลุกขึ้น และก้าวย่องๆ ไปเกาะอยู่ที่ข้างประตู ตาสอดส่ายมองเข้าไปในห้อง
ในห้องมีแต่ร่างหมดลมหายใจของชาวมัสติน กับสิ่งมีชีวิตไร้อารยธรรมที่มีรูปร่างคล้ายคลึงกับปลาหมึกหนึ่งตัวซึ่งกำลังใช้หนวดของมันค้นไปตามศพของชาวมัสตินคนหนึ่ง
“จะเอาชนะไอ้ตัวบ้านั่นได้ยังไง” เฮเซคียาห์ไม่มีเพนดูลัมอยู่กับตัว
“วิเคราะห์: ต้องตัดหนวดของมันออกให้หมด แต่เนื่องจากเนื้อของมันมีความเหนียวมากชนิดที่เลเซอร์ยังต้องใช้เวลาอยู่ถึง 10 นาทีถึงจะตัดหนวดได้ ดังนั้นการปล่อยให้มันได้ใช้เครื่องมือสำหรับการเทเลพอร์ตจึงเป็นผลให้เราปลอดภัยมากกว่าการเข้าต่อสู้” บรอธให้คำตอบที่ดีแต่ไม่ใช่คำตอบที่เฮเซคียาห์ต้องการ
ตอนแรกเฮเซคียาห์คิดว่าเขาอาจได้ต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตประหลาดตรงหน้า เขาเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับมันมาก่อน
เจ้าปลาหมึกเสียบบัตรสำหรับอนุญาตให้เทเลพอร์ตที่ได้มาจากเจ้าหน้าที่ชาวมัสตินเข้าไปในอุปกรณ์ และทันใดนั้นตัวของมันก็หายวับไปต่อหน้าต่อตาของเฮเซคียาห์
เฮเซคียาห์เข้ามาในห้อง สั่งปิดประตู และวิ่งเข้าไปดูที่อุปกรณ์ตัวอื่นซึ่งแสดงผลการเดินทาง
“มันไปทำอะไรที่โลก” เขาฉงนสนเท่ห์
ยานสั่นสะเทือนขึ้นมาอีกหน บรอธแจ้งเขาว่าถังบรรจุเชื้อเพลิงอีกอันหนึ่งระเบิดขึ้นมาเองจากการขัดข้องเพราะไม่มีการทำงานประสานกันของถังบรรจุเชื้อเพลิงที่ถูกระเบิดไปก่อนหน้า ตอนนี้ยานลำนี้เหลือถังบรรจุเชื้อเพลิงเพื่อขับเคลื่อนเพียงถังเดียวเท่านั้นและมีความเสี่ยงสูงที่ถังสุดท้ายจะระเบิด
“ฉันเผ่นก่อนละ” เฮเซคียาห์ตรงเข้าไปที่เครื่องมือสำหรับการเทเลพอร์ต
เขามองบรอธขยับไปแตะต้องบริเวณที่มีไว้เสียบบัตรสำหรับอนุญาตให้เทเลพอร์ต แล้วมองไปหน้าจอที่มีข้อความให้ระบุจุดหมายปลายทาง เฮเซคียาห์เปิดปากพูดถึงเมืองหลวงในเขตการปกครองที่ 1 ของชาวมัสตินบนดาวโลก แต่หน้าจอแสดงข้อความว่าเป็นพื้นที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางไปได้ด้วยเครื่องมือสำหรับเทเลพอร์ตตัวที่เขาใช้อยู่ เฮเซคียาห์จึงพยายามคิดถึงสถานที่อื่นซึ่งน่าจะมีเครื่องมือสำหรับเทเลพอร์ตอยู่
“ศูนย์พักฟื้นผู้ป่วยวอร์ซอ”
สิ้นคำ เฮเซคียาห์รับรู้ถึงสายลมเบาๆ รอบตัว พร้อมกับภาพภายในยานที่วูบหายไปตรงหน้าอย่างฉับพลัน
เฮเซคียาห์กะพริบตาถี่ๆ เขาไม่มีอาการเวียนศีรษะ พื้นใต้เท้าของเขามีลักษณะเหมือนฝาท่อขนาดใหญ่ แสดงว่าเป็นจุดที่มีไว้เป็นปลายทางของการเทเลพอร์ต ด้านหลังของเขาตอนนี้เป็นต้นไม้ใหญ่ ร่มเงาของมันกระตุ้นให้เขาเกิดความง่วงอย่างบอกไม่ถูก แต่เขารู้ดีว่าการล้มตัวลงนอนแถวนี้เป็นเรื่องโง่เง่า เพราะจะทำให้เขาถูกพบเห็นโดยชาวมัสตินในศูนย์พักฟื้นแห่งนี้ได้ และเขาคงโดนฆ่าตายแน่
คนส่วนใหญ่ที่มาจบลงที่นี่เป็นชาวมัสตินใกล้ตาย แต่พวกเขายังร้ายกาจและฆ่าสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์อื่นได้ง่ายดายอย่างไม่ด้อยไปกว่าชาวมัสตินที่สุขภาพแข็งแรงดี
“บรอธ...” เฮเซคียาห์หันมาหาบรอธ เขาต้องการคนนำทางออกไปจากที่นี่
“ขอโทษทีที่เงียบไป กำลังแสกนพื้นที่รอบข้างนี้”
“บอกเส้นทางมา เอาทางที่จะไม่เจอใครทั้งนั้น” เฮเซคียาห์มองไปยังตัวอาคารสีขาวเบื้องหน้าซึ่งอยู่ไกลออกไป นานมาแล้วเขาเคยมาเยี่ยมเยือนผู้ป่วยที่นี่ด้วยราชกิจในฐานะคนของราชวงศ์ เขาจึงมีชื่อสถานที่แห่งนี้ในความทรงจำ
“ยังไงก็ต้องเจอคนหนึ่ง” บรอธพึมพำตอบ
ตุ้บ... ตุ้บ... ตุ้บ...
ลูกบอลลูกหนึ่งกลิ้งมาชนกับเท้าของเฮเซคียาห์ ทางเขาเม้มปาก แต่อยู่นิ่งไว้ก่อน
คนที่วิ่งเข้ามาหาเขาเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ศีรษะของเธอเกลี้ยงไร้เส้นผม ร่างกายของเธอดูผ่ายผอมและอ่อนแอขี้โรค เธอเดินมาหยุดตรงหน้าเฮเซคียาห์และจ้องมองเขา
“ทำไมพี่ถึงไม่มีแสงเรืองรองล่ะคะ พี่ป่วยเหมือนกันเหรอ” เด็กหญิงถามอย่างไร้เดียงสา
“ใช่ พี่ก็ป่วยเหมือนกัน ตอนนี้ก็เลยหม่นแสงลง” เฮเซคียาห์ยิ้มเยือกเย็น เตรียมพร้อมที่จะหักคอเด็กตรงหน้าถ้าหากเธอสังเกตได้ว่าเขาเป็นผู้บุกรุก
“พี่ก็แอบออกมาเล่นข้างนอกเหมือนกันเหรอ” เธอเอียงคอมองเขา
“พี่อยู่ข้างนอก แค่แวะมาเยี่ยมใครบางคน แต่ก็ไม่แน่ อาจจะได้มาอยู่ที่นี่เร็วๆ นี้” เฮเซคียาห์โกหกไปส่งๆ แล้วพินิจมองเด็กหญิงตรงหน้าด้วยความสงสัย “เธออายุยังน้อยอยู่เลย ผ่านการเฉลิมฉลองการฝังเศษไลฟ์ควอตซ์ไปหรือยัง ทำไมมาอยู่ที่นี่”
เด็กหญิงชูนิ้ว 4 นิ้วให้กับเขา พร้อมกับยิ้มหวาน
“ยังเด็กอยู่...” เฮเซคียาห์หน้าเครียด เสียดายแทนเด็กหญิงที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกไม่นาน
“ทุกคนบอกแบบนั้นเหมือนกัน” เด็กหญิงยังยิ้มอยู่ได้ “แต่ความตายคงไม่น่ากลัวหรอก ยังไงเราทุกคนก็ต้องตาย”
“เธอพูดแบบนั้นได้ก็เพราะว่ายังไม่เคยสัมผัสรสชาติของความตายต่างหาก มันทั้งเจ็บปวด โดดเดี่ยว ทุกข์ทรมาน”
“เจ็บหน่อย แต่เดี๋ยวก็ได้พักสงบ” เด็กหญิงกอดลูกบอกหลากสีไว้แน่นในอ้อมแขน “หนูเบื่อกับการทำคีโมแล้ว ถ้าเป็นไปได้ หนูอยากจะนอนหลับไปตลอดกาลมากกว่า”
เฮเซคียาห์มองตามร่างของเด็กหญิงที่วิ่งไปยังอีกทางหนึ่ง ในทิศทางนั้นมีสนามเด็กเล่นอยู่ ทางเฮเซคียาห์เมื่อมองไล่ตามเด็กหญิงไปจนเธอหายลับไปจากสายตาแล้ว เขาหมุนกายไปมองอาคารใหญ่สีขาวโดดเด่นตรงหน้า แล้วค่อยๆ ปลีกกายไปยังอีกทางหนึ่ง ตรงเข้าไปในป่า
“บรอธ นายช่วยฉันหน่อย ตามหาจุดเทเลพอร์ตขาออก” เฮเซคียาห์เริ่มมีความหวังที่จะกลับไปยังเมืองหลวง
“ปกติจุดเทเลพอร์ตขาออกจะมีทหารชาวมัสตินประจำการอยู่ไม่ใช่เหรอไง นายตั้งใจจะประจันหน้ากับพวกเขาเพื่ออะไร อย่าบอกนะว่าคิดจะเทเลพอร์ตเข้าไปที่เมืองหลวงในเขตการปกครองที่ 1”
“ถ้าใช่แล้วจะทำไม นายจะไม่ช่วยฉันเหรอ” เฮเซคียาห์หรี่ตามองบรอธ
“ไม่ช่วย และเตือนไว้ด้วยว่านายมีโอกาส 100% จะพ่ายแพ้และถึงแก่ความตายหากประจันหน้ากับทหารชาวมัสตินภายใต้สังกัดสมุหกลาโหม”
“ฉันเคยต่อสู้กับเมเดียน โอกาสแพ้แค่ 50% ไม่ใช่เหรอ ทำไมพอจะสู้กับทหารชาวมัสตินที่น่าจะฝีมืออ่อนด้อยกว่า มันถึงกลายเป็น 100% ล่ะ” เฮเซคียาห์ชักสับสนกับผลการวิเคราะห์ของอีกฝ่าย เขากำลังสงสัยว่าบรอธแค่ข่มขู่เขา
“นั่นเพราะเมเดียนตั้งใจไว้แต่แรกที่จะให้นายสู้กับเขาภายใต้เงื่อนไขซึ่งนายได้เปรียบอยู่บ้าง หรือพูดภาษาชาวบ้านคือเขาต่อให้นายมาตลอด อย่างที่ผ่านมา เขาให้นายสู้กับเขาในป่าส่วนลึกของดาร์คเฮลฟอเรสบริเวณสุสานของเอเทรัสเพราะที่นั่นเป็นพื้นที่ซึ่งฝังอุปกรณ์ที่เป็นอุปสรรคต่อการเทเลพอร์ตของเขา มันป้องกันเขาไม่ให้เผลอตัวเทเลพอร์ตเวลาต่อสู้ ถ้านายต่อสู้กับเขาตามปกติ นายตายจริง 100% เพราะเขาจะทำเหมือนอย่างที่ผ่านมานั่นแหละ แค่เทเลพอร์ตนายไปอวกาศ”
เฮเซคียาห์สะบัดหน้าอย่างมึนงงกับคำตอบของบรอธ
“เดี๋ยวก่อนนะ แกไม่เคยบอกว่าผลการวิเคราะห์โอกาสชนะหรือแพ้ของฉันในการดวลก่อนหน้านี้ที่ทำให้ฉันต้องไปติดแหง็กอยู่กับเมเดีียน อยู่บนการต่อให้ของเมเดียนเอง”
“ก็ทำไมต้องบอกด้วยล่ะ นายไม่ได้ถามละเอียดนี่” บรอธตอบโต้ด้วยถ้อยคำที่คล้ายไร้เดียงสา แต่เฮเซคียาห์รู้ดีว่าบรอธเป็นเศวตศาสตราอัจฉริยะ มันให้ข้อมูลไม่ครบถ้วนกับเขาด้วยเจตนาของมันเอง
“บ้าจริง!” เฮเซคียาห์หัวเสีย
“มารู้ตอนนี้ก็ไม่ได้แย่หรอก ฉันไม่ได้โกหกอะไรด้วย สำเหนียกไว้ ฉันยังช่วยลุ้นด้วยนะตอนนายสู้กับเขาที่จำกัดตัวเองไม่ให้ใช้เทเลพอร์ต นายจะเอาชนะเขาได้ไหม แต่เขาช่ำชองการต่อสู้ ดังนั้นนายก็เลยแพ้ไป” บรอธพล่าม ดูเหมือนแก้ตัว แต่มันแค่พูดไปตามเนื้อผ้า “ฉันไม่คิดมาก่อนว่านายจะไปท้าทายเขาทีหลัง เลยโดนซะ เกือบซี้ม่องไปจริงๆ”
“ไอ้เศวตศาสตรางี่เง่า! ทำไมไม่รั้งฉันไว้หน่อย ฉันโง่เง่ามากรู้ไหม ฉันไม่เคยคิดว่าเมเดียนจะเทเลพอร์ตฉันไปอวกาศได้” เฮเซคียาห์หงุดหงิด
“โง่เง่าจริงๆ นั่นแหละ มันควรต้องคิดบ้างนะ ในเมื่อเมเดียนเทเลพอร์ตข้ามลีฟวิ่งแลนด์ได้ การส่งนายไปอวกาศก็ง่ายเหมือนเปลือกกล้วย”
“แล้วถ้าเป็นเมเดียน เขาจะตายหรือเปล่า ถ้าหลุดไปในอวกาศแบบนั้น” เฮเซคียาห์ถามอย่างต้องการความกระจ่าง
“ถ้าเขาแค่ลอยตัวเฉยๆ ก็คงตาย แต่เขาเคลื่อนย้ายมวลสารตัวเองที่เบาบางมากไปในอวกาศอย่างรวดเร็ว ด้วยวิธีการนั้นเขาไม่ตายหรอก”
“โอเค เข้าใจล่ะ”
“ว่าแต่...” บรอธพูดแล้วชะงักไป
“มีอะไร” เฮเซคียาห์เหลียวใบหน้าไปมองบรอธ เท้าก้าวเดินอย่างไม่มีจุดหมาย เขาคิดว่าจะหาเครื่องมือเทเลพอร์ตขาออกซึ่งกำลังคิดถึงอยู่ในใจให้เจอด้วยตัวเอง มันน่าจะอยู่ไม่ไกลจากเครื่องมือเทเลพอร์ตขาเข้าซึ่งเป็นอันที่อยู่ใต้ต้นไม้เมื่อครู่
“ฉันบอกเมเดียนแล้วว่านายกลับมาถึงโลกแล้ว”
“ห๊ะ!” เฮเซคียาห์อุทาน แล้วในจังหวะนั้นเองเขาชนกับบางคนที่จู่ๆ โผล่เข้ามา
เฮเซคียาห์ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น จากท่อนล่างของอีกฝ่ายที่ใส่กางเกงวอร์ม และสูงขึ้นมาเป็นเสื้อยืดสีขาว เฮเซคียาห์พอเดาได้ว่า คนที่อยู่ตรงหน้าเขาคือ เมเดียน!!!