ตอนที่แล้วตอนที่ 30 คนสำคัญ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 32 Level 7

ตอนที่ 31 การฝึกของธาวิน


ตอนที่ 31 การฝึกของธาวิน

 

        “นักสะกดวิญญาณกับนักปราบวิญญาณมีพื้นฐานที่เหมือนกันคือ มีพลังวิญญาณที่สามารถต่อต้านดิคเคนส์ที่ไม่เกินขอบเขตพลังของตัวเอง ดังนั้นพวกมีพลังวิญญาณเยอะยิ่งมีภูมิคุ้มกันเยอะ”

ธาวินทบทวนบทเรียนที่ได้เรียนเมื่อวานออกมาเมื่อถูกโซเฟียถาม เช้าวันนี้เด็กหนุ่มจากไทยก็เริ่มมาเรียนการใช้พลังของนักสะกดวิญญาณที่ศูนย์วิจัยเช่นเคย

ที่นี่ดูแตกต่างไปจากจินตนาการของธาวินลิบลับ เพราะนึกว่าจะเต็มไปด้วยห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์กับผู้คนที่ดูพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง ทุกอย่างดูธรรมดาๆ กว่าที่คิดเอาไว้มาก แต่อาจเพราะเขายังไม่เจอโซนที่เป็นศูนย์วิจัยจริงๆ ก็ได้

ศูนย์วิจัยถูกแยกเป็นหลายส่วน พื้นที่ในจุดที่เขาเข้ามานี้เหมือนกับโซนห้องเรียนซึ่งเอาไว้สำหรับทำการเรียนการสอนมากกว่า ที่นี่ไม่ได้มีการตั้งโรงเรียนสำหรับผู้ใช้พลังวิญญาณเป็นที่เป็นทางอะไรขนาดนั้น เพียงแต่ต้องคอยรับผู้คนที่ปะทุพลังมาดูแลในเบื้องต้นและสอนให้ใช้พลังให้เป็น

เมื่อวานนี้ธาวินได้เรียนรู้เกี่ยวกับพื้นฐานโดยทั่วไปของนักสะกดวิญญาณมากกว่า ว่ามีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร

สิบเก้าปีมานี้หลังจากที่ตระกูลชามันด์ล่มสลาย นักสะกดวิญญาณทั้งหลายทั่วโลกต่างก็เกาะกลุ่มกันเป็นกลุ่มเล็กๆ เพื่อแลกเปลี่ยนข่าวสารเพื่อความปลอดภัย ด้วยจำนวนที่ไม่ได้เยอะมากเท่านักปราบวิญญาณ และความสามารถเฉพาะทางที่ไม่ได้เหมาะสมกับการออกไล่ล่าดิคเคนส์โดยตรง ทำให้มีเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นที่ยังทำงานตามกองปราบวิญญาณทั่วโลก นอกจากนั้นก็เปิดกิจการเกี่ยวกับโหราศาสตร์ต่างๆ ที่ต้องใช้ความสามารถพิเศษนี้เข้าช่วย

ความสามารถโดยพื้นฐานของนักสะกดวิญญาณนั้นมีสองอย่าง

หนึ่งคือความสามารถในการสะกดดิคเคนส์ให้เป็นสิ่งต่างๆ ตามความถนัดของตัวเอง พลังสลายวิญญาณจะค่อยๆ เผาไหม้ดิคเคนส์ที่คงรูปเป็นสิ่งของเหล่านั้น จนเมื่อพลังงานหมดก็แตกสลายหายไปเอง หรือหากคิดว่าวิญญาณนั้นจะกลับใจได้ ก็ให้นำเอาสิ่งของสะกดเหล่านั้นเข้าเตาเผาวิญญาณ เพื่อชำระล้างคราบสีดำในวิญญาณออกไป และส่งวิญญาณนั้นไปชดใช้ตามวาระกรรมของตัวเอง จนกลับเข้าสู่ระบบเวียนว่ายตายเกิดอีกครั้ง

สองคือการขับไล่สิ่งชั่วร้ายต่างๆ ออกจากร่างกายของสิ่งมีชีวิต ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นการไล่ผีที่สิงสู่ร่างกายของมนุษย์ออกไป

เมื่อทบทวนมาถึงหลักการใช้พลัง โซเฟียจึงเน้นย้ำเรื่องสำคัญขึ้นอีกครั้ง

“ใช่แล้ว สิ่งที่เหมือนกันของพวกเรากับพวกนักปราบวิญญาณคือขีดจำกัดในพลังของตัวเอง ดังนั้นคิดจะทำอะไรต้องประมาณตัวเองให้มากๆ เพราะถ้าทำอะไรฝืนมากเกินไปอาจจะไม่ใช่แค่ตัวเองเสียหาย อาจจะกลายเป็นภาระของสมาชิกในภารกิจนั้นๆ ด้วย”

“เข้าใจแล้วครับ ตอนมาที่นี่บ่อยๆ ผมต้องอยู่แผนกแพทย์วิญญาณนานมาก พวกคุณหมอบอกว่าเพราะพลังวิญญาณผมค่อนข้างน้อยเวลาเจออะไรเข้าก็เลยเป็นโน่นเป็นนี่ง่าย”

ธาวินลอบถอนใจทำหน้าเศร้าออกมาเลยทีเดียว เพราะผิดหวังกับพลังของตัวเองมากๆ

“เอาน่า อย่าเพิ่งถอดใจนะ วันนี้เราจะมาลองทดสอบการสะกดพลังวิญญาณเบื้องต้นกัน”

โซเฟียพูดพร้อมกับหยิบบางอย่างออกมาจากถึงขนาดใหญ่ด้านหลัง มันคือขวดโหลใสที่มีปากขวดกว้างๆ ข้างในมีอะไรบางอย่างคล้ายๆ ก้อนกลุ่มควันสีดำแบบเจือจาง

“นี่คือดิคเคนส์ประดิษฐ์ ขวดโหลนี้ทำขึ้นจากวัสดุที่อาบพลังต่อต้านพลังวิญญาณไว้น่ะ”

ธาวินเหยียดตัวถอยหลังไปพิงพนักเก้าอี้จนสุด เขาไม่อยากกลับไปนอนที่แผนกแพทย์วิญญาณอีกสามวันในตอนนี้แน่ๆ โซเฟียหัวเราะเมื่อเห็นอาการนั้น

“ไม่ต้องห่วง ที่อยู่ในกระปุกนี้มันมีพลังเจือจางมากๆ ถึงมากที่สุดแล้วล่ะ ต่อให้เป็นมนุษย์ธรรมดาอย่างเลวร้ายที่สุดก็แค่ชาหนึบๆ เหมือนเวลาเป็นเหน็บชาเท่านั้นแหละ”

คำยืนยันนี้ทำเอาธาวินใจชื้นขึ้นมา และโซเฟียก็ทำทุกอย่างทดสอบให้ดูเป็นอย่างแรก

“ก่อนอื่นขอทดสอบตามหลักการทั่วไปก่อนว่า พลังของเธอมีพลังสลายวิญญาณอยู่จริงหรือเปล่า เพราะมันเป็นพื้นฐานเนื้อพลังโดยทั่วไปของนักสะกดวิญญาณน่ะนะ”

โซเฟียเปิดฝาขวดโหลออกแล้วเอานิ้วชี้จิ้มลงไปในกลุ่มก้อนสีดำ ก่อนที่มันจะสลายไปเหลือแค่ความว่างเปล่าในทันที

“แบบนี้เป็นต้น ดิคเคนส์สลายไปเพราะพลังวิญญาณสลายวิญญาณที่ออกมาจากร่างกายของเรา ลองดูนะ”

ขวดโหลอีกขวดที่มีลักษณะเหมือนกันทุกประการถูกหยิบขึ้นมาใหม่แล้วส่งให้ธาวิน เด็กหนุ่มยื่นมือไปจับกระปุกนั้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่เมื่อสัมผัสนอกกระปุกแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาจึงกล้าที่จะเปิดฝานั้นออกมาแล้วเอานิ้วจิ้มลงไป

นิ้วของธาวินชาจนเหมือนรู้สึกเหน็บกิน แต่อาการก็ไม่มากไปกว่านี้อย่างที่โซเฟียบอกไว้ กลุ่มก้อนสีดำในขวดค่อยๆ สลายไปอย่างช้า

“ลองคนนิ้วไปมาดูสิจ๊ะ”

ธาวินทำตามที่โซเฟียบอก เมื่อลองขยับนิ้วไปมาก็ดูเหมือนกลุ่มคัวนสีดำนั้นจะสลายไปเร็วขึ้นจนทุกอย่างว่างเปล่าไป

“ขั้นตอนนี้ผ่านจ้ะ เท่านี้ก็ยืนยันแล้วว่าในตัวของเธอมีพลังที่จะสลายดิคเคนส์ได้จริงๆ เพราะฉะนั้นเราจะเข้าสู่ชั้นตอนต่อไปกันได้แล้ว”

“ต่อให้มันหายไปช้ากว่าตอนที่คุณโซเฟียทำก็ไม่เป็นไรใช่มั้ยฮะ เพราะสุดท้ายมันก็ยังหายไปอยู่ ความรวดเร็วในการสลายไปนี่เกี่ยวกับพลังของแต่ละคนที่มีมากน้อยใช่รึเปล่า”

“ใช่แล้วล่ะ เกี่ยวโดยตรงเลย แต่เธอเพิ่งจะลองทำเป็นครั้งแรก การทำให้หายไปได้สำเร็จก็คือประสบความสำเร็จแล้วล่ะ ต่อไปถ้าฝึกฝนมากขึ้นทุกอย่างจะค่อยๆ ดีขึ้น เร็วขึ้นไปเองนะ”

“งั้นแบบนี้ถ้าพี่เคนเซย์มาลองทำนี่แค่เปิดฝามันก็น่าจะหายไปเลยรึเปล่าครับเนี่ย”

“อืม...ถ้าเป็นเคนเซย์น่ะเหรอ จะว่ายังไงดีรูปแบบพลังมันคนละอย่างกันน่ะ นักปราบวิญญาณจะสร้างสื่อสลายพลังผ่านอาวุธของพวกเขา ต่อให้มีเป็นเคนเซย์ที่มีพลังวิญญาณเยอะมากแค่ไหน แต่เขาก็ไม่สามารถทำให้ดิคเคนส์สลายไปได้ด้วยมือเปล่านะ ต้องทำลายผ่านสื่อพลังอย่างอาวุธเท่านั้น”

“อ้าว แล้วถ้าแบบนั้นอาวุธพังหรือโดนทำลายไปล่ะครับ”

“อาวุธพวกนั้นก็สร้างมาจากพลังวิญญาณของตัวเองจ้ะ ตราบใดที่ยังมีพลังเหลือก็ซ่อมอาวุธหรือสร้างใหม่ได้เรื่อยๆ นั่นแหละ”

“เอ๊ะ จะว่าไปอย่างนี้ก็คล้ายๆ กับนักสะกดวิญญาณเลยสิครับ ที่ใช้พลังวิญญาณสร้างสิ่งของขึ้นมา จะว่าไปแล้วพลังของลุงฟแกนด์ก็เป็นแบบนี้นี่นา”

“มันแค่คล้ายจ้ะ แต่ไม่เหมือนกันหรอก เดี๋ยวจะค่อยๆ อธิบายให้ฟังนะ สิ่งที่เหมือนกันของผู้ใช้พลังวิญญาณทั้งสองแบบก็คือเรื่องภูมิต้านทานต่อวิญญาณน่ะ ทังนักสะกดวิญญาณทั้งนักปราบวิญญาณจะมีภูมิต้านทานต่อดิคเคนส์มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับปริมาณพลังวิญญาณของตัวเอง พวกสายพิเศษนั่นยิ่งแล้วใหญ่ เพราะพวกเขาคือพลังวิญญาณรูปแบบพิเศษที่ไม่ส่งผลต่อดิคเคนส์เลย พวกแพทย์วิญญาณก็เหมือนกัน มีแค่พวกพวกเราเท่านั้นนะที่จะตบดิคเคนส์ด้วยมือเปล่าเหมือนตบยุงได้น่ะ เป็นไงรู้สึกว่าพวกเราก็เจ๋งขึ้นมานิดนึงแล้วใช่มั้ยล่ะ”

เคนเซย์รีบหยักหน้ารับหงึกๆ อย่างตื่นเต้น โซเฟียได้แต่หัวเราะกับท่าทางนั้น

“กลับมาเรื่องของเราต่อนะ”

โซเฟียหยิบของสิ่งเดิมออกมาอีกกระปุก เปิดฝาแล้วปล่อยดิคเคนส์ให้ลอยขึ้นมา ก่อนจะใช้ฝ่ามือจับกำไว้ แล้วแบมือออกมาให้เห็นว่าเป็นเศษก้อนหินก้อนเล็กๆ แทน

“โห”

ธาวินอ้าปากค้างอย่างรู้สึกตื่นตา แทบอยากจะปรบมือให้เหมือนได้ดูโชว์มายากลระดับเทพ

“จริงอยู่ที่ถ้าเราจับดิคเคนส์ที่มีพลังน้อยกว่าเรามากๆ มันจะสลายไป แต่หากปรับโหมดการใช้พลังของร่างกายได้เมื่อไร เราจะสามารถเลือกได้ว่าจะทำให้มันสลายไปเลย หรือแปรสภาพดิคเคนส์ให้กลายเป็นสิ่งของแทน เหมือนพลังฟื้นฐานของเราคือทำให้มันสลายน่ะ ดังนั้นการแปรสภาพให้มันเป็นสิ่งของจึงจำเป็นต้องใช้การฝึกฝนอย่างหนัก”

“แล้วทำไมเราต้องทำให้มันกลายเป็นสิ่งของด้วยล่ะครับ ทั้งที่มันก็สลายไปได้เลยนี่นา”

“อืม...คงเพราะพวกเราประนีประนอมกว่าสายนักปราบวิญญาณล่ะมั้งนะ ถ้าดิคเคนส์ถูกทำลายมันจะสลายไปเลย แต่ถ้าอยากให้โอกาสกลับใจเราก็แค่ส่งพวกเขาเข้าเตาเผาวิญญาณ”

“อย่างนี้นี่เอง สุดท้ายก็อยู่ที่เราเลือกได้สินะครับว่าจะให้โอกาสหรือเปล่า”

“ใช่จ้ะ แต่ก็ไม่แน่เสมอไป อันนั้นมันก็คล้ายๆ คำพูดทำให้เราดูดีน่ะ ฮะฮะฮะ แต่มีอีกสาเหตุที่ต้องแปรสภาพของพวกนี้เป็นสิ่งของ เพราะว่าลักษณะการใช้พลังของพวกเรานั้นคือการใช้มือสัมผัสโดยตรง ว่ากันตามจริงแล้วมันอันตรายมาก เพราะดิคเคนส์ที่เราเจอก็ไม่ใช่ว่าจะอ่อนแอกว่าเราทั้งหมดจริงมั้ย”

“อ๊ะ จริงด้วยครับ ถ้าเจอตัวที่มีพลังเยอะกว่าเรามากนี่อาจตายได้เลยรึเปล่าครับเนี่ย”

“ใช่แล้ว อาจถึงตายได้เลยล่ะ การใช้พลังให้สลายไปได้เลยคือในกรณีที่พลังของเรามีมากกว่าเท่านั้น แต่ถ้าพอๆ กันหรือน้อยกว่าการใช้วิธีนี้ก็เป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะการแปรสภาพพลังวิญญาณเราไม่จำเป็นต้องมีพลังเหนือกว่าคู่ต่อสู้ก็ได้ อาจจะยกเว้นพวกที่มีพลังสูงมากๆ แตกต่างกันมากๆ จริงๆ จนพลังของพวกเราอาจจะไม่ส่งผลอะไรเลย”

“ก็ไม่ใช่ว่าจะใช้ได้ทุกกรณีสินะครับ อย่างนั้นก็คงจะแข็งแกร่งเกินไป”

“อื้อ การแปรสภาพวิญญาณของพวกเราเหมือนการบีบอัดวิญญาณให้รวมเป็นจุดๆ เดียว แล้วใช้พลังสลายวิญญาณเคลือบไว้รอบๆ พลังสลายวิญญาณมันก็จะค่อยๆ กัดกร่อนก้อนวิญญาณนั้นจนสลายไปในท้ายที่สุด ดังนั้น พลังการแปรสภาพวิญญาณสะกดเป็นสิ่งต่างๆ จึงเป็นพลังรูปแบบพิเศษ ที่มีแต่คนในสายตระกูลชามันด์เท่านั้นที่ทำได้ เราถึงได้ถูกเรียกว่านักสะกดวิญญาณยังไงล่ะ”

“เข้าใจแล้วครับ จากนี้ไปคือผมต้องฝึกฝนการแปรสภาพวิญญาณสะกดเป็นสิ่งต่างๆ แล้วค้นหาอะไรที่ตัวเองถนัดสินะครับ ว่าแต่คุณโซเฟียถนัดการกะสดเป็นหินเหรอฮะ”

โซเฟียหัวเราะเมื่อได้ฟัง

“เปล่าหรอกจ้า คำพูดที่ว่าสะกดเป็นสิ่งของตามที่ถนัดคือเป็นการฝึกระดับสูงแล้ว ที่จริงเราจะสะกดเป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ ถ้าเป็นของที่เรารู้จักมันดีทุกซอกมุมทั้งภายในและภายนอก คุ้นเคย เห็นภาพในหัวชัดเจน เหมือนนึกภาพปุ๊ปสิ่งนั้นจะปรากฏอยู่ตรงหน้าเราได้เลย ที่ทำให้กลายเป็นเศษหินเมื่อกี้เพราะมันง่ายต่อการฝึกเบื้องต้นน่ะ ยิ่งเรารู้จักสิ่งนั้นมากๆ มันก็จะยิ่งง่ายต่อการนึกภาพตามในหัวแล้วสร้างรายละเอียดของสิ่งนั้นขึ้นมา สร้างตามความถนัดที่ว่ามันก็มีที่มาจากเรื่องนี้นี่แหละ”

“เห็นภาพเลยครับ ผมเข้าใจแล้ว จนกว่าจะคิดว่าตัวเองรู้จักอะไรดีที่สุด ผมก็จะฝึกทำให้มันเป็นก้อนหินไปก่อนก็ได้ใช่มั้ยครับ”

“ใช่จ้ะ เอาล่ะทีนี้เราจะเปิดจุดพลังกัน ก่อนอื่นคงจะถามความเต็มใจของเธอก่อนว่า ยินดีจะรับฉันเป็นอาจารย์รึเปล่า”

“เอ๊ะ แน่นอนอยู่แล้วสิครับ เพราะอย่างนั้นเราถึงนั่งกันอยู่ตรงนี้ไม่ใช่เหรอฮะ”

โซเฟียอมยิ้ม ก่อนจะยกมือเอื้อมไปลูบหัวธาวินเบาๆ

“การเปิดจุดพลังเป็นเรื่องที่ค่อนข้างอันตราย เราต้องอาศัยความไว้เนื้อเชื่อใจกันมากๆ นักสะกดวิญญาณทุกคนถึงได้มีครู ซึ่งจะเป็นคนที่เราเชื่อใจให้เปิดจุดพลังให้”

“ผมยินดีอยู่แล้วครับ กลัวด้วยซ้ำว่าจะเป็นลูกศิษย์คุณโซเฟียได้มั้ย เพราะดูเหมือนพลังของผมจะกระจอกเอามากๆ”

โซเฟียหัวเราะเบาๆ อีกครั้งพร้อมกับส่ายหน้าอยางอารมณ์ดี

“อย่าว่าตัวเองแบบนั้นเลย พวกเราเหลือกันอยู่ไม่มากเท่าไหร่แล้ว ขอฝากความหวังการกอบกู้วงการนักสะกดวิญญาณไว้ที่พวกเธอแล้วล่ะ”

“ได้ยินแบบนี้แล้วผมเสียดายมากเลยครับ คุณโซอีน่าจะมาเรียนด้วยกันจริงๆ ผมพยายามชวนแล้วล่ะ แต่เขาปฏิเสธบอกว่าไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับพลังพวกนี้อีกแล้ว แต่ก็นั่นแหละนะ เรื่องเมื่อสิบเก้าปีก่อนมันร้ายแรงจริงๆ เป็นผมผมก็อาจจะไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับอะไรพวกนี้อีกเลยเหมือนกัน”

รอยยิ้มของโซเฟียหายไป เป็นครั้งแรกที่ธาวินได้เห็นว่าใบหน้านั้นเกือบจะบึ้งตึงขึ้น

“สิบเก้าปีก่อนฉันเองก็ถูกรับไปดูแลอยู่ที่ตระกูลชามันด์”

น้ำเสียงที่เรียบเย็นและความหมายของประโยคนั้นทำเอาธาวินขนลุกวาบ

“แต่ที่รอดมาได้เพราะแค่หนึ่งวันก่อนหน้านั้น ฉันลากลับบ้านไปเยี่ยมพ่อกับแม่ที่ฝรั่งเศสพอดี ฉันกลับมาที่คาเรมทันทีที่รู้ข่าว การได้เห็นคนเกือบร้อยชีวิตที่โตมาด้วยกัน หายไปพร้อมกันหมดทีเดียวมันก็ทำเอาประสาทเสียไปพักใหญ่เลยล่ะ”

“ขะ...ขอโทษครับ ผมจะพยายามไม่พูดถึงอีกแล้ว”

“ไม่เป็นไรจ้ะเพราะเธอไม่รู้อะไร แต่ก็เล่าให้ฟังไว้ดีกว่า เพราะถ้ารู้แล้วจะได้ไม่ถามขึ้นมาอีกน่ะนะ ฉันถูกรับไปฝึกที่นั่นตั้งแต่ตอนสิบขวบ ที่นั่นถูกแบ่งการฝึกออกเป็นสิบกลุ่มตามระดับพลังของตัวเอง ระดับต่ำสุดคือกลุ่มสิบ จะมีพวกอาจารย์ที่มีความสามารถตามลำดับขั้นพลังขึ้นไปมาสอนตามกลุ่มต่างๆ”

“แล้วคุณโซเฟียอยู่ในกลุ่มไหนเหรอครับ”

“ตอนอายุสิบหกฉันได้เลื่อนขั้นเข้าไปอยู่ในกลุ่มห้าน่ะ ในตอนนั้นโซอีก็ถูกรับมาพอดี เป็นที่ฮือฮามากเพราะเธอได้เข้าไปอยู่กลุ่มหนึ่งเลยทันที โดยกลุ่มนั้นมีท่านเจ้าตระกูลเป็นผู้สอนด้วยตัวเอง ตอนอยู่ที่นั่นก็ไม่ได้มีโอกาสเห็นพวกกลุ่มหนึ่งมากนักหรอก รู้ว่ามีอยู่แค่ไม่กี่คน การที่เข้ากลุ่มหนึ่งได้เลยตั้งแต่แรกเริ่มต้น นั่นแปลว่าเธอต้องมีอะไรบางอย่างที่ทรงพลังมากๆ ไม่ก็อันตรายมากแน่ๆ ได้ยินมาว่าเธอเหมือนจะจำอะไรขึ้นมาได้บ้างแล้ว แล้วถ้าจำได้ว่าตัวเองมีพลังอะไร การที่ไม่อยากเรียนอาจจะดีกว่าก็ได้นะ”

ธาวินกลืนน้ำลายอึกใหญ่ จะว่าไปแล้ว...ถึงจะตัวแค่นั้นแต่คุณโซอีก็มีความน่ากลัวบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกเกร็งๆ ขึ้นมาเหมือนกัน

“ที่จริงฉันแอบโล่งอกที่โซอีไม่มานะ เพราะถึงจะรับปากไปแล้วก็เถอะ แต่เอาเข้าจริงๆ ฉันก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าถ้าโซอีมาฉันจะสอนเธอแบบเต็มใจได้รึเปล่า ฉันรู้ว่าโซอีไม่ผิด เพราะรู้เกี่ยวกับตระกูลหลักพอที่จะเชื่อได้ว่า ต่อให้เก่งแค่ไหนแต่เด็กผู้หญิงตัวแค่นั้นไม่มีทางจัดการทุกคนได้เองหรอก ท่านเจ้าตระกูลน่ะแข็งแกร่งที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นนักสะกดวิญญาณคนไหนมาเลย เธอคงจะต้องถูกสิงจากวิญญาณที่มีพลังอำนาจยิ่งใหญ่มากพอจริงๆ อย่างไวท์แอชน่ะแหละ แต่ถึงจะพยายามคิดในแง่ดีแบบนั้นก็เถอะ คนที่จากไปแล้วก็ไม่ฟื้นคืนมาอยู่ดี ทั้งครูของฉัน เพื่อนสนิท รวมถึงคนรัก…”

ห้องเงียบสงัดขึ้นมาทันตา เป็นภาวะที่ผู้ฟังย่อมต้องประหม่าไม่รู้ว่าจะสนทนาโต้ตอบกลับอย่างไร

แปะ! โซเฟียประสานฝ่ามือตัวเองเข้าหากันราวกับพยายามจะเปลี่ยนบรรยากาศ รอยยิ้มที่หายไปเริ่มกลับมาอีกครั้งแม้มันจะดูเศร้าลงไปมากก็ตาม

“ทุกคนต่างก็ลำบากและสูญเสียมากมายเพราะเจ้าวิญญาณร้ายนั่นจริงๆ ตอนนี้ดูเหมือนจะมีอะไรคืบหน้าไปมากแล้ว ขอให้พวกเคซีโร่จัดการเจ้านั่นให้ได้ไวๆ เถอะ”

“นั่นสิครับ ทุกคนที่ในหน่วยนั้นเก่งมาก พวกพี่เขาต้องจัดการได้แน่ๆ ครับ”

โซเฟียยิ้มรับก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้ามาที่ด้านหลังเก้าอี้ที่ธาวินนั่งอยู่

“เอาล่ะ เรามาเปิดจุดพลังกัน อาจจะเจ็บตัวสักหน่อยนะ ถ้าวูบหน้ามืดตาลายหรือรู้สึกจะเป็นลมก็ไม่ต้องตกใจหรือพยายามฝืนอะไรนะ ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ”

หญิงสาวผู้เป็นอาจารย์เอามือสองข้างวางบนท้ายทอยของเด็กหนุ่มผู้เป็นศิษย์

ธาวินมีลางสังหรณ์แปลกๆ ว่า เขาอาจจะถูกหามไปแผนกแพทย์วิญญาณแล้วฟื้นหลังนี้อีกสามวันให้หลัง...

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด